ตอนที่ 559 เจอคนไข้แปลกๆ อีกครั้ง / ตอนที่ 560 เชิญร่วมงานเลี้ยง

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 559 เจอคนไข้แปลกๆ อีกครั้ง

 

 

อวี๋กานกานกุมมือเธอแล้วพูดขึ้นเบาๆ “เธออย่ากดดันตัวเองเกินไป ลูกแข็งแรงมาก ต่อไปดูรายการทีวีที่ทำให้เธอร้องไห้น้อยลงหน่อย หากว่างๆ ก็ให้ลู่เสวี่ยเฉินพาเธอออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง”

 

 

“ได้สิ ไม่มีปัญหา”

 

 

หลินจยาอวี่ตอบอย่างลังเล ทั้งสองคุยกันไม่กี่คำเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลินจยาอวี่มองโทรศัพท์ครู่หนึ่งแล้วทิ้งกลับไปเหมือนเดิม

 

 

อวี๋กานกานชะโงกข้ามโต๊ะถาม “ลู่เสวี่ยเฉินเหรอ”

 

 

“อืม”

 

 

“เรียกเขามาด้วยกันดีไหม เดี๋ยวฉันโทรตามฟังจือหันมั่ง นานแล้วที่พวกเราไม่ได้ออกไปกินข้าวด้วยกัน คืนนี้ก็…”

 

 

ไม่รอให้อวี๋กานกานพูดแนะนำจบ หลินจยาอวี่ก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “ไม่ต้อง!”

 

 

เสียงค่อนข้างดัง อวี๋กานกานจึงมองเธออย่างตกใจ “เป็นอะไร เธอทะเลาะกับลู่เสวี่ยเฉินมาเหรอ”

 

 

“เปล่า”

 

 

หลินจยาอวี่ยืนกรานปฏิเสธ

 

 

แต่อวี๋กานกานไม่เชื่อ รู้สึกว่าวันนี้หลินจยาอวี่มีอาการแปลกๆ คล้ายกับว่ากำลังหลบหน้าลู่เสวี่ยเฉิน

 

 

ต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้แน่

 

 

เป็นจริงดั่งที่อวี๋กานกานคิดไว้ไม่มีผิด ช่วงนี้หลินจยาอวี่ไม่อยากอยู่ตามลำพังกับลู่เสวี่ยเฉินและมักจะหาข้ออ้างต่างๆ เพื่ออยู่ให้ห่างจากลู่เสวี่ยเฉิน

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินที่ไข้ขึ้นในวันนั้นทำให้หลินจยาอวี่ตกใจมากเกินไป เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นไข้จนเพ้อเลยคิดว่าเธอเป็นฟังจือหันหรือเพราะเหตุผลอื่น

 

 

ถึงอย่างไรก็คือการจูบกันและสัมผัสกันจึงทำให้เธออดเขินและหวั่นไหวไม่ได้ รู้สึกจนปัญญาจะสู้หน้าเพื่อนสนิทผู้ชายคนนี้ได้สักพักหนึ่งแล้ว

 

 

เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งไข้ก็แทบจะลดลงเป็นปกติแล้ว หลังจากนั้นดูเหมือนเขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนเป็นไข้ เขาขอบคุณเธอที่ลำบากดูแลเขาด้วยสีหน้างุนงง

 

 

อวี๋กานกานให้หลินจยาอวี่ไปรอเธอด้านนอกก่อน

 

 

หลังจากหลินจยาอวี่ออกไป คนไข้คนสุดท้ายก็เข้ามา

 

 

ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำและแว่นกันแดดท่าทางเคร่งขรึมน่าเกรงขาม

 

 

เมื่อเข้าไปแล้วเขาก็เปิดประตูให้กว้างสุด จากนั้นยืดตัวตรงต้อนรับชายชราผมหงอกคนหนึ่งเข้ามา

 

 

 อวี๋กานกานก้มหน้าตลอด เธอกำลังจัดเรียงรายการอยู่จนกระทั่งชายชรานั่งลงตรงข้ามเธอจึงเงยหน้าขึ้นและถามว่า “คุณตาไม่สบายตรงไหนเหรอคะ”

 

 

เมื่อเขาจ้องมองชายชราที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อวี๋กานกานก็ผงะเล็กน้อย ชายคนนี้สวมชุดเสื้อคลุมจีน รู้สึกคุ้นตากับชายชราที่ถือไปป์ในมือ

 

 

ชายชราเคาะไปป์ในมือแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ถ้าฉันรู้ว่าไม่สบายตรงไหน ฉันจะมาหาเธอทำไม”

 

 

อวี๋กานกาน “…”

 

 

ประโยคแบบนี้ทำไมถึงคุ้นหูจังเลยล่ะ

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมองชายในชุดสูทสีดำที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเธอก็จำคนไข้ที่เธอพบในเมืองไป๋หยางได้และยิ้มกว้าง “คุณเป็นคุณตาที่เป็นโรคนอนไม่หลับใช่ไหมคะ”

 

 

เธอพบคนไข้จำนวนมากทุกวันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะจำพวกเขาได้ทั้งหมด เหตุผลที่เธอประทับใจชายชราคนนี้ก็ต้องขอบคุณคุณตาที่มาคลินิกในวันนั้น “จงใจมาหาเรื่องกันชัดๆ!”

 

 

“แม่หนู ความจำดีนี่”

 

 

“คำตอบของคุณตาไม่เหมือนใคร ในบรรดาคนไข้ของฉันมีแบบนี้แค่คนเดียว ฉันจะลืมมันไปได้ยังไง ตอนนี้อาการนอนไม่หลับของคุณตาดีขึ้นหรือยังคะ” อวี๋กานกานพูดพลางเอื้อมมือไปแตะชีพจรและวางไว้ตรงหน้าชายชรา

 

 

ชายชราวางมือลง “งั้นเธอก็ลองสัมผัสดูว่าดีขึ้นหรือยัง”

 

 

อวี๋กานกานยิ้มให้ไม่พูดอะไรต่อแล้วจับชีพจรให้เขาอย่างละเอียด เมื่อตรวจถี่ถ้วนแล้วเธอก็พยักหน้า “ดูแล้วคุณตากินยาตามใบสั่งจึงทำให้อาการดีขึ้นมากแล้วค่ะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 560 เชิญร่วมงานเลี้ยง

 

 

“ช่วงนี้การนอนหลับดีขึ้นมากจริงๆ วันนี้เลยตั้งใจมาขอบคุณเธอ” ชายชราเอ่ยขึ้นแล้วเหลือบมองผู้ชายสูทดำข้างกายแวบหนึ่ง

 

 

ตอนแรกอวี๋กานกานตั้งใจจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ยังไม่ทันได้พูด ผู้ชายสูทดำก็นำบัตรเชิญมาวางไว้ตรงหน้าอวี๋กานกานเสียก่อน

 

 

ชายชราเชิญไปงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีซึ่งไม่ว่าอย่างไรวันนั้นเธอต้องไปงานให้ได้

 

 

อวี๋กานกานเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะเชิญเธอไม่งานเลี้ยงครบรอบวันเกิด เธอจะไปหรือไม่ไปดีล่ะ

 

 

ชายชราท่านนี้ไม่ปล่อยโอกาสให้เธอลังเลแล้วทิ้งคำพูดเอาไว้ “เจอกันที่งาน” จากนั้นก็เดินนำบอดี้การ์ดแล้วออกไป

 

 

อวี๋กานกานมีสีหน้างุนงง

 

 

มองไปที่ชายชรารีบมารีบในวันนี้

 

 

ร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้

 

 

ชายชราท่านนี้เป็นคนแปลกจริงๆ ใครๆ ต่างก็คาดเดาแกไม่ได้

 

 

ตอนตรวจคราวก่อนสีหน้าดูไม่ค่อยเต็มใจนัก รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่ได้ป่วยแต่ก็ยังจะหาหมอจนได้

 

 

วันนี้ส่งบัตรเชิญมาเพื่อแสดงเจตนารมณ์แทนคำขอบคุณ…

 

 

เรื่องนี้คิดอย่างไรก็ดูแปลก

 

 

เธอเอาบัตรเชิญใส่กระเป๋า คิดไว้ว่ากลับบ้านแล้วค่อยถามฟังจือหัน

 

 

หากต้องไปงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดของคุณตาท่านนี้จริงๆ เธอก็อยากให้ฟังจือหันไปเป็นเพื่อนด้วย

 

 

อวี๋กานกานเก็บของแป๊บหนึ่งก่อนจะออกไปกินข้าวกับหลินจยาอวี่

 

 

ทั้งสองสั่งอาหานมาหนึ่งโต๊ะภายในร้านอาหารสไตล์ตะวันตกที่เงียบสงบ หลินจยาอวี่ค่อนข้างกินเยอะแถมยังคอยคีบอาหารให้อวี๋กานกานเรื่อยๆ อวี๋กานกานมองอาหารในชามที่กองพะเนินราวกับภูเขาจึงรีบเอ่ยขึ้น “เลิกคีบให้ฉันได้แล้ว ช่วงนี้ฉันอ้วนขึ้นมาตั้งห้ากิโล เดี๋ยวนี้ฉันกินข้าวเย็นค่อนข้างน้อย”

 

 

“งั้นก็อย่าปล่อยให้ฉันกินคนเดียวสิ หรือว่า…” หลินจยาอวี่พูดพลางมองไปยังบอดี้การ์ดหญิงที่ยืนคุมอยู่ไม่ไกล

 

 

อวี๋กานกานส่ายหน้า “เมื่อก่อนฉันก็เคยเรียกมา แต่ฉันกินข้าวอยู่คนเดียว หล่อนไม่มากินเป็นเพื่อนฉันหรอก”

 

 

“แล้วเธอชินหรือยัง”

 

 

“ตอนแรกก็ไม่ชิน แต่เดี๋ยวนี้โอเคขึ้นแล้ว ตอนฉันทำงานหล่อนก็ตามอยู่บ้าง บางทีก็คุยกับฉันไม่กี่คำ แต่ปกติหล่อนก็ไม่ค่อยสนใจฉันหรอก”

 

 

อวี๋กานกานขมวดคิ้วจนน่าขัน บอดี้การ์ดสาวคนนี้มีความเป็นมืออาชีพมากมักจะละเว้นเธอโดยสิ้นเชิงหากไม่มีเรื่องจำเป็น

 

 

เธอเคยถามข้อมูลบอดี้การ์ดสาวคนนี้กับฟังจือหัน ฟังจือหันกลับบอกว่าไม่จำเป็น

 

 

อวี๋กานกานคีบเนื้ออกไก่เข้าปากเคี้ยวพลางถามเธอ “วันนี้เธอเป็นอะไร หรือว่าเธอทะเลาะกับลู่เสวี่ยเฉินจริงๆ”

 

 

หลินจยาอวี่ส่ายหน้า “ระหว่างฉันกับเขาจะไปทะเลาะกันได้ไง เธอคงไม่ลืมใช่ไหมว่าเราแต่งงานกันหลอกๆ”

 

 

แม้เธอจะพยายามปิดบังสุดฤทธิ์แค่ไหน แต่อวี๋กานกานก็ไม่ยินความเปลี่ยนแปลงในคำพูดของเธอ

 

 

อวี๋กานกานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็นำความสงสัยในใจถามออกมา “แต่ว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลู่เสวี่ยเฉินดีมาก ดีว่าคู่สามีภรรยาจริงๆ ซะอีก”

 

 

หลินจยาอวี่อ้ำอึ้ง “…”

 

 

อวี๋กานกานเป็นใคร เธอเป็นคนละเอียดอ่อนละช่างสังเกต

 

 

มิฉะนั้นทุกคนถึงไม่รู้ว่าเธอป่วยเป็นอะไรแต่อวี๋กานกานกลับสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนรู้ว่าเธอป่วยเป็นโรคอะไรได้

 

 

เธอเล่าช้าๆ “ระหว่างเราไม่ได้เป็นแบบที่เธอคิด เพียงแต่ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยอยากเจอหน้าลู่เสวี่ยเฉินเท่าไหร่”

 

 

“ทำไม่ล่ะ เขาทำไม่ดีกับเธอเหรอ”

 

 

“เปล่า เขาดีกับฉันมากต่างหาก”

 

 

อวี๋กานกานยิ้มขำแล้วมองเธออย่างไม่เข้าใจนัก “งั้นไม่ใช่เรื่องดีเหรอ เขาดีกับเธอทำไมเธอถึงไม่อยากเห็นหน้าเขาล่ะ”

 

 

หลินจยาอวี่ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับอวี๋กานกานในตอนนี้จึงลดสายตาลงกินข้าวเงียบๆ