ตอนที่ 523 รอพันปีพบเพียงครั้ง
สวี่ชิงจือนั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ในขณะที่มือก็กำลังกำที่วางแขนบนเก้าอี้ไว้ด้วยใบหน้าที่เริ่มจะซีดขาว
เมื่อได้ยินที่เฉินฝานซิงถาม เธอก็ยกยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”
เฉินฝานซิงเห็นสีหน้าเธอไม่สู้ดีนัก หันไปมองดูกับข้าวที่อยู่บนโต๊ะก่อนจะพูดรบเร้าขึ้นมา
“หิวแล้วใช่ไหม รีบกินอะไรหน่อยสิ”
สวี่ชิงจือพยักหน้าแล้วเหยียดตัวขึ้นมานั่งหลังตรงก่อนถอนหายใจเพื่อแสร้งทำตัวให้ดูผ่อนคลาย พลางหันไปมองทางป๋อจิ่งชวนแล้วพูดเย้า
“เพื่อที่จะได้ร่วมงานกันระยะยาวกับประธานบริหารสูงสูดแห่งป๋อซื่อ ครั้งนี้ทำฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาด คืนนี้คุณเลี้ยงใช่ไหม ถ้าใช่ ฉันจะได้กินให้เยอะหน่อย เอาพลังและสารอาหารที่ถูกเค้นออกไปในช่วงหลายวันมานี้เสริมกลับคืนมาสักนิด”
ป๋อจิ่งชวนชายตามองเธอด้วยแววตานิ่งเรียบปราดหนึ่ง “คนที่เหนื่อยที่สุดคือคุณ?”
สวี่ชิงจือเลิกคิ้วยิ้มๆ ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อหนึ่งชิ้นไปวางในจานของเฉินฝานซิง
“นั่นสินะ เป็นนักปรุงน้ำหอมอันดับต้นๆ ของเรา เฉินฝานซิงสุดน่ารักของคุณต่างหากที่เป็นคนลำบากที่สุด มา ฝานซิง กินเยอะๆ หน่อยนะ”
เฉินฝานซิงได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “อย่ามัวแต่เล่นอยู่น่า รีบกินเข้าไปสิ พรุ่งนี้มีเรื่องให้ต้องยุ่งอีกเยอะ”
ป๋อจิ่งชวนขมวดคิ้วมุ่นมองไปทางเธอ “ยุ่งอีกแล้วเหรอ ยุ่งเรื่องอะไร”
อินรุ่ยเจวี๋ยหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบเนื้อปลาที่เลือกก้างออกแล้วในจานของจี้อี้ยัดเข้าปากตัวเองโดยไม่สนใจจี้อี้ที่กำลังฉุนเฉียว เขาเพียงแค่หันไปพูดกับเฉินฝานซิงต่อ
“อาซ้อ เป็นผู้หญิงก็ต้องทำตัวให้เหมือนผู้หญิงบ้างสิ ทำไมรู้สึกว่าคุณยุ่งกว่าพี่ป๋ออีกนะเนี่ย ทำงานกับพักผ่อนต้องสมดุลกันสิ คุณนี่นะ พอยุ่งขึ้นมาที พี่ป๋อของผมใช่ว่าจะอัดอั้นไปได้ตลอดนะ ผมจะบอกอะไรคุณให้ ผู้ชายน่ะ ถ้าความต้องการไม่ได้รับการสนอง น่ากลัวยิ่งกว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน…เอ่อเอิงเอย รอพันปีพบเพียงครั้ง…”
เมื่อเห็นสายตาเยือกเย็นของป๋อจิ่งชวนมองมากะทันหัน อินรุ่ยเจวี๋ยจึงรีบแก้คำพูด ประโยคสุดท้ายจู่ๆ ก็ชะงักไปแล้วร้องเพลงคลาสสิกโบราณขึ้นมาแทน
“พรวด…ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”
เมื่อได้ยินทำนองเพลงที่งุ่มง่ามเก้กังนั้น จี้อี้ที่ทนฟังอยู่ข้างๆ ก็กลั้นเอาไว้ไม่ไหว หลุดหัวเราะออกมายกใหญ่ ระหว่างนั้น เธอเองก็พยายามควบคุมตัวเองแล้ว แต่ก็ยังกลั้นไว้ไม่อยู่อยู่ดี
หันไปมองอินรุ่ยเจวี๋ยที่หน้าแดงเถือก เธอก็ถึงกับกุมท้องแล้วฟุบลงไปบนโต๊ะขำจนน้ำหูน้ำตาไหล
“เสียง…เสียงห่วยมาก…”
อินรุ่ยเจวี๋ยได้แต่กัดฟันกรอดมองไปยังหญิงสาวที่เมื่อกี้นี้ยังมีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ อยู่เลย “หัวเราะอะไร ห้ามขำนะ ถ้าขำอีก เชื่อไหมว่าฉันจะหั่นเธอเป็นชิ้นๆ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ซื่อบื้อจริงๆ เลยนะ…ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”
ยิ่งจี้อี้มองไปที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นของอินรุ่ยเจวี๋ยก็ยิ่งควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ เสียงเพลงกับใบหน้านี้มันตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง
อินรุ่ยเจวี๋ยมองดูหญิงสาวที่กำลังเอาใหญ่ขึ้นทุกที แค่เห็นก็อยากจะอุดปากเธอเอาไว้ เขาจึงก้มลงคีบกับข้าวหนึ่งคำยัดเข้าปากของจี้อี้
“ใครใช้ให้เธอขำ”
ฉีน่าและสวี่ชิงจือก็หัวเราะออกมาด้วย อินรุ่ยเจวี๋ยทำท่าทางเคร่งขรึม มองดูจี้อี้กลืนอาหารคำนั้นลงไป เมื่อเห็นว่ากำลังจะหัวเราะออกมาอีกเขาก็รีบใช้ตะเกียบคีบอาหารอีกคำป้อนเข้าไปทันที
เฉินฝานซิงมองดูทั้งสองคนพลางส่ายหน้าอย่างระอา ขณะนั้นเองก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะถามออกมาอย่างปุบปับ
“ไหนบอกว่าลี่ถิงเซินก็จะมาด้วย แล้วอยู่ไหนล่ะ”
“เขาน่ะเหรอ บอกว่าที่บริษัทยังมีเรื่องที่ทำให้ปลีกตัวออกมาไม่ได้ ไม่มาแล้ว”
“งั้นเหรอ” เฉินฝานซิงพูดด้วยท่าทางใช้ความคิด ดวงตาฉายประกายความสงสัยออกมาแวบหนึ่ง
ถาดหมุนบนโต๊ะอาหารกำลังหมุน หอยแมลงภู่หมุนมาอยู่ตรงหน้าเฉินฝานซิงพอดี เธอหยิบตะเกียบคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้นเพื่อนำไปวางไว้ในจากของป๋อจิ่งชวน
ป๋อจิ่งชวนขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาขยับเล็กน้อย
นอกจากอินรุ่ยเจวี๋ยและจี้อี้ที่อาจจะพูดขัดคอกันบ้างเป็นบางครั้ง มื้อค่ำคืนนี้นับว่าเป็นมื้อที่ราบรื่นเลยทีเดียว
เพียงแต่ในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น สวี่ชิงจือที่นั่งเงียบมาตลอดจู่ๆ ก็ทนไม่ไหว พลันยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วอาเจียนออกมา…
ตอนที่ 524 เธอคิดว่าจะปิดฉันได้เหรอ
เพียงแต่ในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น สวี่ชิงจือที่นั่งเงียบมาตลอดจู่ๆ ก็ทนไม่ไหว พลันยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วอาเจียนออกมา…
เธอวางตะเกียบลงด้วยความรีบร้อน แล้วลุกขึ้นออกไปจากที่นั่งทันที
เฉินฝานซิงเองก็ตอบสนองรวดเร็วมาก เธอรีบลุกขึ้นยืน “ชิงจือ เป็นอะไรไป”
สวี่ชิงจือโบกมือให้กับเธอ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอีก สวี่ชิงจือหลับตาพลางทำท่าอาเจียนออกมาแต่ก็ไม่มีอะไรออกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปจากห้อง
เฉินฝานซิงก็รีบสาวเท้าตามเธอไปอย่างไว
คนที่เหลืออยู่ในห้องอีกสี่คน นอกจากป๋อจิ่งชวนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ที่เหลืออีกสามคนต่างก็หันมามองหน้ากันด้วยความตะลึงกับภาพเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้านี้
จู่ๆ สวี่ชิงจือก็เป็นแบบนี้ ท่าทางแบบนั้น สาเหตุเป็นเพราะอะไร ความคิดที่ผุดพรายขึ้นมาภายในใจของแต่ละคนล้วนแต่เป็นเรื่องคลุมเครือไม่อาจพูดได้
ล้วนแต่ไม่ใช่เด็กๆ ที่ไม่ประสีประสากันแล้วทั้งนั้น หากจะบอกว่ากินอาหารจนอาเจียน นั่นจะต้องเป็นพวกสมองทึบแน่ๆ
ถึงแม้จะเป็นอาการของอาหารเป็นพิษ แต่นั่นก็ต้องมีระยะเริ่มต้น อาหารที่กินเข้าไปไม่ใช่ยาพิษที่เข้าไปทะลวงไส้สักหน่อย จะเกิดอาการตอบสนองเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
นอกเสียจากว่า เริ่มมีระยะฟักตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว
ในห้องน้ำ สวี่ชิงจือฟุบอยู่บนอ่างล้างมือพลางกุมหน้าอกไว้ หลังจากที่อาเจียนแห้งออกมาตลอด อาหารที่กินเข้าไปเมื่อครู่ก็ไม่ได้มากมายอะไรเลยสักนิด เวลานี้คงอาเจียนออกจนหมดไปนานแล้ว
เฉินฝานซิงยืนลูบหลังให้เธออยู่ข้างๆ ใบหน้าที่งดงามนั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
จนกระทั่งสวี่ชิงจืออาเจียนออกมาใกล้จะหมดแล้ว ทั้งเนื้อตัวดูเหมือนจะใช้กำลังกายที่มีไปจนหมด มือสั่นเทายื่นออกไปวักน้ำมาล้างปากก่อนจะออกแรงค้ำอ่างล้างมือไว้พลางก้มหน้าลงด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ
เฉินฝานซิงมองดูเธอทั้งตัวสั่นสะท้าน อีกทั้งใบหน้าที่ขาวซีดนั้น สีหน้าของเฉินฝานซิงยิ่งดูเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม
เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่รอให้เรี่ยวแรงของสวี่ชิงจือกลับคืนมาและใจเย็นลงอยู่อย่างเงียบๆ
หลายนาทีให้หลัง สวี่ชิงจือถึงจะเริ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
เฉินฝานซิงมองใบหน้าที่ซีดเซียวไร้เลือดฝาดนั้นของสวี่ชิงจือบนกระจกพลางถามด้วยเสียงเย็นชา สีหน้ายากจะคาดเดาอารมณ์
สวี่ชิงจือพยักหน้า “ดีขึ้นเยอะแล้ว”
เฉินฝานซิงขมวดคิ้วมุ่น พลันดึงมือของสวี่ชิงจือขึ้นมาแล้วพาเดินออกไปจากห้องน้ำ
“ฝานซิง? เธอจะทำอะไร”
“ไปโรงพยาบาล”
สวี่ชิงจือตื่นตกใจขึ้นมาทันที ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ก้าวเดินไปตามเฉินฝานซิงอีก
“ฉันก็แค่ท้องไส้ไม่ค่อยดี ฉันไม่ไปโรงพยาบาล”
เฉินฝานซิงหันมามองเธอ สายตาแหลมคมลึกล้ำ
“ท้องไส้ไม่ดี ? งั้นเธอกินยาแล้วเหรอ”
นัยน์ตาของสวี่ชิงจือเคลื่อนไหวเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางโดยที่ไม่ได้ตอบอะไร
“ฉันจำได้ว่าวันที่สามเดือนนี้เป็นวันที่ประจำเดือนของเธอจะมา มาหรือยัง”
“…” มือของสวี่ชิงจือกำแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังคงไม่ยอมพูดอะไรอย่างเดิม
เห็นท่าทางแบบนี้ของเธอ เฉินฝานซิงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ประจำเดือนไม่มา ปากก็พูดไม่หยุดว่าตัวเองไม่สบายแต่กลับไม่ยอมกินยาเลย ชิงจือ เธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอคิดว่าจะปิดฉันได้เหรอ”
สวี่ชิงจือลอบกัดริมฝีปาก ก่อนจะหันหน้าหนี ใบหน้าที่ดื้อรั้นในที่สุดก็เผยความอ่อนแอออกมา
“ฝานซิง…”
สวี่ชิงจือที่เป็นคนแข็งแกร่งมาตลอด ในเวลานี้ ท่าทางอ่อนแอและไร้ที่พึ่งในตอนนี้นั้นทำให้เฉินฝานซิงรู้สึกปวดใจแปลบขึ้นมาทันที
เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เธอกลับเลือกที่จะแบกรับมันไว้คนเดียวอยู่เงียบๆ จะถอยหรือก้าวเดินต่อไปก็ไร้หนทางหมดทั้งสิ้น แบบนี้จะไปทนได้อย่างไรกัน
คนที่เด็ดเดี่ยวพึ่งพาตัวเองได้มาเป็นเวลานาน เรื่องที่ยากลำบากสำหรับคนทั่วไป สำหรับพวกเขาแล้วไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย เรื่องที่ทำให้พวกเขาล้มได้จะต้องเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่าอะไรทั้งนั้น
ความรู้สึกก็เป็นแบบนี้แหละ ซึ่งก็อาจจะพูดได้ว่า คนที่ภายนอกดูแข็งแกร่ง แต่ภายในใจนั้น แท้จริงแล้วเทียบกันไม่ได้เลย
ต่อให้อาจจะเป็นแค่การทำร้ายจิตใจเพียงเล็กน้อย สำหรับพวกเขาแล้วก็ล้วนแต่เป็นการโจมตีที่รุนแรงถึงชีวิตทั้งสิ้น
เฉินฝานซิงดึงสวี่ชิงจือไว้ พลันเก็บสีหน้าสงสารนั้นกลับไป “ไปโรงพยาบาลกับฉัน”