ตอนที่ 53 วุ่นวายเพราะผักหนึ่งคันรถ

“อาสะใภ้หกของซานหยา เธอไปได้ผักดี ๆ แบบนี้มาจากที่ไหนเหรอ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวยื่นหน้าเข้ามาถาม

“พี่สะใภ้สี่เองเหรอคะ นี่เป็นของที่เหวินเทาซื้อมาจากในเมืองน่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่มองหล่อนปราดหนึ่งแล้วแอบแค่นเสียงเย็นเบา ๆ อยู่ในใจ เป็นเพราะหล่อนนี่เองที่นำคำพูดนั้นของเหวินเทาไปป่าวประกาศบอกคนอื่น ๆ จนรู้กันถ้วนหน้า

แหม! ซื้อมาหรอกเหรอเนี่ย เพิ่งจะอวดเสร็จก็เริ่มทำตัวเป็นครัวเรือนหมื่นหยวนแล้ว? ทั้งยังคิดจะดำเนินการฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้นั่นอีก!

พี่สะใภ้สี่จ้าวแอบดูถูกภายในใจ ทว่าต่อให้ดูถูกมากกว่านี้ก็ไม่อาจดูถูกผักดี ๆ จำนวนมากเหล่านี้ได้ หล่อนเอ่ยถามขึ้น “น้องสามีหกซื้ออะไรมาเหรอ? ได้ยินว่าใช้รถลากกลับมาด้วย?”

เย่ฉูฉู่สัมผัสได้ถึงความอิจฉาจากพี่สะใภ้สี่คนนี้ เธอจึงแอบรำพึงในใจว่าจงอิจฉาต่อไปเถอะ อิจฉาให้ตายไปเลย ทว่าปากกลับทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้ซื้ออะไรมาหรอกค่ะ ก็อยู่นี่หมดแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”

“โอ้โห ต้นหอมนี้ก็หนามากเลย พริกนี้ก็ใหญ่มากด้วย เอ๋ หัวไชเท้านี้ใหญ่ขนาดนี้ ปลูกที่ไหนเนี่ย? อย่าว่าแต่ในบ้านเราเลย ต่อให้เป็นที่ปลูกอยู่ในทีมเราก็สู้ไม่ได้แม้แต่ครึ่ง!” พี่สะใภ้สี่จ้าวหยิบชิ้นนี้ขึ้นมาดู จากนั้นก็หยิบชิ้นนั้นขึ้นมาดู ไม่ยอมปล่อยสักอย่างเดียว

“ได้ยินว่าเป็นของทางฝั่งหมู่บ้านไท่ผิงทางนั้นน่ะค่ะ เป็นผักที่พวกเขาปลูกขึ้นมา ฉันเองก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไร เหวินเทาเหนื่อยไปหน่อยก็เลยหลับไปแล้ว” เย่ฉูฉู่กล่าว “แต่ของพวกนี้ไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะคะ พี่สะใภ้สี่อยากได้ไหมล่ะคะ? ถ้าอยากได้เดี๋ยวฉันไปถามเหวินเทาให้ ซื้อมาเท่าไรก็จะขายให้พี่เท่านั้น”

ประโยคนี้หยุดความคิดของพี่สะใภ้สี่จ้าวที่คิดจะฉวยโอกาสในทันที

พี่สะใภ้สี่จ้าวจะยอมควักเงินซื้อของเหล่านี้โดยไม่เสียดายได้อย่างไร หล่อนจึงทำเป็นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันควัน “หมู่บ้านไท่ผิงนั่นพี่ก็รู้จัก ได้ยินมาว่าร่ำรวยกว่าพวกเราทางนี้เยอะเลย ก่อนหน้านี้ทางนั้นก็มีชื่อเสียงมากเลยนะ ได้รับการชื่นชมถึงความก้าวหน้าจากชุมชนไปไม่น้อยเลย…”

ระหว่างที่ฟังพี่สะใภ้สี่จ้าวพูดเรื่องนู้นทีเรื่องนี้ที เย่ฉูฉู่ก็คุยบ้างไม่คุยบ้าง ถึงอย่างไรพี่สะใภ้สี่คนนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะเอาเปรียบกันแม้แต่นิดเดียว

พูดจาเสีย ๆ หาย ๆ แต่คิดอยากจะให้เธอมอบผักให้ เธอไม่ได้โง่ขนาดที่มีคนมาตบหน้าแล้วจะยื่นหน้าอีกข้างให้ตบหรอกนะ!

เธอเริ่มคิดถึงเรื่องอาหารค่ำ เหวินเทาลำบากขนาดนี้ก็ต้องรับประทานของดีสักหน่อย เขาบอกว่าอยากรับประทานบะหมี่ใส่ไข่ ถ้าเช่นนั้นก็ทำบะหมี่หมูสับใส่ไข่แล้วกัน รับประทานคู่กับไชเท้าขูดฝอยอีกจาน

“ของพวกนี้เธอจะเอามาทำผักดองเหรอ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวยังไม่ยอมไป ทั้งยังหาบทสนทนามาพูดคุยต่อ

“ค่ะ จะเอาไปดอง” เย่ฉูฉู่กล่าวเสียงเรียบ

“เยอะขนาดนี้พวกเธอกินไม่หมดหรอก” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

“ฉันยังต้องกังวลว่าจะกินผักพวกนี้ไม่หมดด้วยเหรอคะ? มากกว่านี้พวกเราก็กินหมด”เย่ฉูฉู่ตอบกลับ

พี่สะใภ้สี่จ้าวจึงรู้สึกไม่ดีที่จะพูดออกไปว่า ‘ขอฉันสักสองสามหัวสิ’ และพอจะรู้สึกได้ว่า บ้านหกไม่คิดจะให้หล่อน!

ดังนั้นหล่อนจึงเดินหน้ามุ่ยออกไป

พี่สะใภ้รองจ้าวเองก็คิดว่าที่น้องสามีลากผักกลับมาหนึ่งคันรถนั้นก็เพราะจงใจทำให้คนอิจฉา

ตอนที่ได้เห็นผักกาดขาวอวบ ๆ นั้น ก็ไม่ต้องพูดถึงความอิจฉาที่อยู่ภายในใจของพี่สะใภ้รองจ้าวเลย

ยังมีความยุติธรรมอยู่อีกหรือเปล่า? ไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ วัน ๆ เอาแต่คุยโว แต่กลับใช้ชีวิตดีกว่าพวกเขาที่รับผิดชอบต่อหน้าที่เนี่ยนะ?

ถ้าจะพูดว่าขายถั่วงอกแล้วสามารถซื้อผักกลับมาได้หนึ่งคันรถ หล่อนไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดเลย!

“เหวินเทาซื้อผักกลับมาเยอะแยะเลยค่ะ ฉันเห็นด้านล่างหน้าต่างก็ยังมีวางกองกันอีกหลาย 10 ชั่งเลย แล้วนั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่มีนะ คุณว่าถั่วงอกมีราคาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?” พี่สะใภ้รองจ้าวเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ ครั้นกลับมาถึงก็พูดลอย ๆ ขึ้นกับพี่รองจ้าว

ทว่าพี่รองจ้าวกลับไม่เข้าใจความหมายของภรรยา เขาเพียงแต่ขัดล้างหินที่ใช้กดผักดอง จากนั้นก็พูดด้วยท่าทางสบาย ๆ “ถั่วงอกมันจะไปมีราคาได้ยังไง มากสุดก็แค่ 0.8 เหมานั่นแหละ”

“แล้วเหวินเทาเอาไปซื้อผักเยอะแยะขนาดนั้นมาจากที่ไหน?” พี่สะใภ้รองกล่าว เงินที่ได้จากการแยกบ้านก่อนหน้านี้ เขาคงใช้ไปจนเกือบหมดแล้วกระมัง?!

พี่รองจ้าวไม่ตอบ เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

พี่สะใภ้รองจ้าวนั่งเลือกผักกาดขาวเพื่อเตรียมทำผักดองด้วยความโกรธเคือง ทว่าเมื่อเห็นผักกาดขาวที่ทั้งเล็กและบาง และนึกถึงผักหัวใหญ่ที่กองอยู่ด้านล่างหน้าต่างห้องของน้องสามีคนเล็ก ภายในใจก็คล้ายกับเกิดดวงไฟปะทุขึ้น ผักเน่า ๆ แบบนี้จะเลือกหาสวรรค์วิมานอะไร!

หล่อนโยนผักลงไปบนกองผัก ก่อนจะลุกขึ้นพรวดพราด พูดด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “ผักหนึ่งคันรถนั้นถ้าไม่จ่ายด้วยเงินสิบกว่าหยวนก็คงซื้อมาไม่ได้หรอก ไหนจะรถจักรยานนั่นอีก ต่อให้มันจะดูเก่าก็เถอะ แต่ก็ต้องใช้เงินร้อยกว่าหยวนเลยมั้ง? ยังมีอีกนะ คุณเองก็เห็นแล้ว วัน ๆ พวกเขาเอาแต่กิน ทั้งข้าวทั้งบะหมี่ไหนจะเนื้ออีก ไปเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากที่ไหน!”

ในที่สุดหล่อนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ช่วยไม่ได้ หล่อนไม่อาจข่มกลั้นความอิจฉาภายในใจไว้ได้แล้วจริง ๆ!

พี่รองจ้าวตกใจจนสะดุ้งโหยง เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ ๆ ภรรยาถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ ใช้เวลานานกว่าจะพูดด้วยความไม่เต็มใจว่า “คุณพูดอะไรของคุณ เจ้าหกจะใช้ชีวิตแบบไหนมันก็เรื่องของเขา ตอนนี้แยกบ้านกันแล้ว คุณจะสนใจคนอื่นว่าจะซื้ออะไรไปทำไม!”

“เขาจะกินหรือซื้ออะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันหรอกค่ะ!” พี่สะใภ้รองหันหน้ามาพร้อมพูดด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด “แต่มาใช้เงินของฉันก็ต้องเป็นเรื่องของฉันสิ!”

พี่รองจ้าวชะงัก “อะไรของคุณ ใช้เงินของคุณ? เจ้าหกไปใช้เงินของคุณตั้งแต่เมื่อไร?”

พี่สะใภ้รองจ้าวรู้ดีว่าถ้าหากพูดแบบนี้ออกไปย่อมถูกสามีของหล่อนด่าเปิงแน่นอน แต่มันก็อึดอัดจริง ๆ หากเก็บไว้ในใจโดยไม่พูดออกมา

จึงพูดไปว่า “คุณคิดว่าไงล่ะคะ? ต่อให้พ่อกับแม่จะลำเอียงมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ควรจะลำเอียงแบบนี้หรือเปล่า? ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ได้แยกบ้าน ของดี ๆ ก็เอาไปประเคนให้น้องสามีหมด ตอนนี้แยกบ้านกันแล้วก็ยังเป็นแบบนี้อีก!”

พี่สะใภ้รองจ้าวขอบตาแดงก่ำ “บ้านพวกเรามีสมาชิกมากที่สุด มีทั้งลูกชายและลูกสาวที่กำลังจะโต ตอนที่เลือกผัก ผักแค่นี้มันจะไปพอกินอะไร? ครอบครัวน้องสามีก็มีกันแค่สองคน จะกินมากมายเท่าไรกันเชียว แถมพวกเขาก็โตกันขนาดนั้นแล้ว ต่อให้พ่อกับแม่จะรักลูกชายคนเล็ก แต่ก็ควรดูพวกหลานชายของตัวเองด้วยสิ นั่นคือหลานชายแท้ ๆ ของพวกเขาเลยนะ! ตอนที่ยังไม่แยกบ้าน น้องหกไม่ทำอะไรสักอย่างแต่กลับกินของดีจนหมด ฉันเป็นลูกสะใภ้จะพูดอะไรได้? แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนี้อีก ลำเอียงไม่จบไม่สิ้น คุณคิดว่าฉันจะรู้สึกดีได้เหรอคะ!”

พี่สะใภ้รองจ้าวยิ่งพูดก็ยิ่งน้อยใจ หล่อนนั่งร้องไห้ลงกับพื้น

พี่รองจ้าวได้ยินถึงกับสับสน “คุณจะร้องไห้ไปทำไม? ไม่สิ คุณพูดแบบนี้หมายความว่าไง คุณจะบอกว่าผักนั่นพ่อกับแม่เป็นคนซื้อ?”

สามีของพี่สะใภ้รองจ้าวเป็นคนคิดอะไรง่าย ๆ หล่อนพูดให้เข้าใจขนาดนี้แล้วเขายังจะถามอีก!

“ถ้าไม่ใช่เงินของพ่อกับแม่ หรือจะบอกว่าเป็นเงินที่ได้จากขายถั่วงอกล่ะคะ เมื่อกี้คุณเองก็เพิ่งพูดไปว่าถั่วงอกไม่ได้มีราคาขนาดนั้น อยู่ดีกินดีกันแบบนี้ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ช่วยเหลือ มันจะตกลงมาจากฟ้าหรือไงคะ?!” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว

พี่รองจ้าวอ้าปากค้าง คิดอยากจะด่าภรรยาที่พูดจาเหลวไหล พ่อกับแม่ไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงความรักที่พ่อแม่มีให้กับน้องชาย เขาก็รู้สึกว่าที่ภรรยาพูดก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน

“ต่อให้พ่อกับแม่จะให้เงิน แต่มันก็เป็นเงินของพ่อแม่ เกี่ยวอะไรกับเรา คุณจะร้องเพื่ออะไร!” เขากล่าว

พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างโกรธเคือง “เกี่ยวอะไรกับพวกเรา? คุณพูดว่าเกี่ยวอะไรกับพวกเรา! ตอนที่ยังไม่แยกบ้านเงินก็เป็นของทุกคน พ่อกับแม่แอบเอาไปให้น้องหก นั่นก็ไม่ยุติธรรมแล้ว ทุกคนต่างก็เป็นลูกชายและลูกสะใภ้ ทำไมพวกเราถึงไม่ได้ หลังจากนี้พอพ่อกับแม่แก่เฒ่าพวกเรายังต้องเลี้ยงดูไม่ใช่เหรอคะ?!”

พูดอย่างอื่นยังพอทน แต่พูดถึงเรื่องนี้ พี่รองจ้าวก็ทนไม่ไหว เขาถลึงตามองหล่อน “คุณพูดจาเหลวไหลให้มันน้อย ๆ หน่อย พ่อแม่เหลือเงินไว้ให้เจ้าหกแล้วจะทำไม พ่อกับแม่อยากให้ใครก็ให้คนนั้น คุณยังไม่คิดจะเลี้ยงพวกเขายามแก่อีก ดูเอาเองก็แล้วกันว่าตัวเองดีพอหรือยัง!” ระหว่างที่พูดเขาก็โยนแปรงทิ้งแล้วเดินออกไป

พี่สะใภ้รองจ้าวร้องไห้โฮออกมา แบบนี้คงไปด้วยกันไม่รอดแล้ว!

ในเวลานี้พี่สามจ้าวก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นพี่สะใภ้รองจ้าวร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจ เขาจึงพูดอย่างประหลาดใจ “พี่สะใภ้รองเป็นอะไรครับ?”

“…เปล่า” พี่สะใภ้รองจ้าวยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น หล่อนรู้ดีว่าน้องสามีสามเป็นคนอย่างไร จึงไม่อยากให้น้องสามีสามรู้ในสิ่งที่หล่อนเพิ่งพูดไปเมื่อครู่

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

จะมาแย่งของเขางั้นเหรอฝันไปเถอะ ว่าเขาเสีย ๆ หาย ๆ ขนาดนั้น

ไม่ใช่ว่าพี่สามแอบฟังอยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า

ไหหม่า(海馬)