ตอนที่ 553 ในใจมีเจ้า
ซู่ซีมองคนที่มุดหัวซ่อนในผ้าห่มแล้วกลิ้งไปบนพื้น ตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง นึกว่าตื่นมาแล้วเขาจะโกรธ ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับซ่อนตัวในผ้าห่มแล้วกลิ้งออกไป ละอายใจที่จะพบหน้าใครยิ่งกว่านางที่เสียตัวครั้งแรกเสียอีก?
ยามมองคนที่ซ่อนอยู่ในผ้าห่ม ใจนางหวั่นไหวเล็กน้อย และนึกถึงท่าทางที่เขาหลีกหนีความจริง ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากไม่เติมไฟเข้าไปอีก เดาว่าเขาคงได้หดหัวกลับไป ดังนั้นนางจึงฝืนทำหน้ายิ้ม ไม่ไปเรียกเขา เพียงนั่งมองบนเตียงเงียบๆ
ผู้เฒ่าเฟิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มอับอายเสียจนอยากจะหารูเข้าไปหลบ นึก…นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำให้ซู่ ซู่ซี…
นึกถึงรอยแดงบนร่างนางยามที่ไร้อาภรณ์ รวมถึงภาพวาบหวามเมื่อคืนในหัวที่เขาคิดว่าเป็นความฝันอันงดงาม เขาที่อยู่ใต้ผ้าห่มรู้สึกเพียงว่าตรงจมูกเริ่มมีเลือดกำเดาไหลอีกแล้ว
เขาฝึกบำเพ็ญตนอบรมนิสัยมาหลายปีเพียงนี้ ตั้งแต่ภรรยาเขาจากไปก็ไม่เคยแตะต้องผู้หญิงอีก ยะ ยามนี้กะ กลับ…
เสียคนตอนแก่ เสียคนตอนแก่เสียแล้ว!
หากลูกชายเขาหรือแม่หนูเฟิ่งรู้เข้า ได้ขายขี้หน้าแก่ๆ นี้ตาย
ตะ แต่เขานอนกับนางไปแล้ว อย่างไรก็ต้องให้คำอธิบายใช่หรือไม่? นึกถึงตรงนี้ หัวใจเขาเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างน่าผิดหวัง เพียงรู้สึกว่ามันเต้นโครมครามเหมือนกลับไปตอนยังหนุ่ม เมื่อความรู้สึกเช่นนี้ปรากฏ ทันใดนั้นก็ทำให้เขาละอายใจเกินจะรับ
นะ นี่จะดีได้เช่นไร? หือ? ทำไมถึงเงียบไป? ไม่ได้ยินเสียงนางเลย?
ในใจเขานึกสงสัย กระวนกระวายไม่สงบใจ จึงดึงผ้าห่มออกอย่างระมัดระวัง แล้วโผล่หัวออกมาจากข้างในมองไปทางบนเตียง เห็นแต่นางนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยเบ้าตาแดงเล็กน้อย ยกแขนเสื้อขึ้นร่ำไห้เบาๆ
เห็นเช่นนี้ จู่ๆ หัวใจเขาก็บีบรัดขึ้นมา ขานเรียกอย่างขาดความมั่นใจและขลาดกลัวว่า “ซะ ซู่ซี?”
ซู่ซีวางแขนเสื้อลง มองไปทางเขาทั้งเบ้าตาแดงเรื่อ กัดปากเบาๆ พลางมองเขาอย่างลึกซึ้ง “พี่ซานหยวน หญิงบริสุทธิ์ผุดผ่องเช่นข้ามอบกายให้ท่านแล้ว จะไม่ยอมรับหรือ? หากท่านไม่อยากแต่งกับข้าจริง เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะบอกพี่ใหญ่ให้เตรียมคนส่งท่านกลับไป จากนี้ข้าจะไม่ตามตื๊อท่านอีกแล้ว” พูดจบนางก็ลุกขึ้นเดินออกไป
“ไม่ใช่ ซู่ซี เจ้าอย่าเข้าใจผิด ขะ ข้า…”
มือข้างหนึ่งรีบร้อนดึงนางไว้ อีกมือกอดผ้าห่มปิดร่างพลางลุกขึ้นยืน เห็นนางที่เบ้าตาแดงก่ำ เขาก็ทอดถอนใจอยู่ในใจ บอกไปอย่างสัตย์จริงว่า “ขะ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“ไม่ได้หมายความเช่นนั้น? ไม่เคยคิดจะแต่งกับข้าใช่หรือไม่? ข้ารู้ รู้ว่าในใจท่านไม่มีข้า ดังนั้นถึงปล่อยให้ข้ารอท่านมาตลอด รอมาหลายสิบปีท่านก็ไม่มีทีท่าอะไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้าจะให้พี่ใหญ่ส่งท่านกลับไปหาลูกชายกับหลานสาวที่ใจท่านคิดถึงเสมอมา”
“ไม่ๆๆ ในใจข้ามีเจ้า มีเจ้าอยู่ เสียแต่ขะ ข้า…”
ผู้เฒ่าเฟิ่งร้อนใจจนไม่รู้จะเอ่ยปากเช่นไร และไม่รู้ต้องพูดอย่างไรถึงจะดี เขานึกไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ ดื่มเหล้าแล้วเสียเรื่องดังคาด หากไม่เมาเรื่องคงไม่มาถึงขั้นจัดการไม่ได้เช่นนี้
“ทำไมพวกเจ้ามาเฝ้านอกเรือน แล้วซานหยวนตื่นหรือยัง?”
ผู้เฒ่าเฟิ่งที่มือหนึ่งกอดผ้าห่มได้ยินเสียงพี่ชายร่วมสาบานด้านนอก ก็ตกใจเสียจนหน้าซีด พูดจายังเสียงสั่นเครือ “ยะ แย่แล้ว! พี่ใหญ่มา! ทำไมเขาถึงมาแต่เช้า?”
ได้ยินเขายอมรับว่าในใจมีนาง ซู่ซีลิงโลดในใจ เห็นเขาวิ่งพล่านไปทั่วอย่างร้อนใจ ทั้งตื่นตระหนกและกังวล แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่ทันสวม กอดผ้าห่มวิ่งวนอยู่ตรงนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วโยนเสื้อผ้าให้เขา เอ่ยฉุนๆ ว่า “ยังไม่รีบใส่อีก”
………………………………………………….
ตอนที่ 554 วรยุทธ์ยิ่งสูงยิ่งอ่อนวัย
ยามนี้ที่นอกเขตเรือน องครักษ์ลับสองสามคนมีท่าทีแปลกๆ ในดวงตากลับมีรอยยิ้ม มองผู้นำตระกูลพลางบอกว่า “ท่านน้าซู่ซีอยู่ด้านในขอรับ”
หลินป๋อเหิงที่กำลังจะก้าวเข้าไปได้ยินแล้วอึ้งไปพักหนึ่ง คิดว่าตนเองฟังผิด จึงมององครักษ์ลับพลางถาม “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? ใครอยู่ข้างใน?”
“ท่านน้าซู่ซีขอรับ”
ได้ยินคำพูดนี้ เขาอ้าปากค้าง ชี้ๆ ไปด้านใน “ซะ ซู่ซี?”
“ใช่ขอรับ”
ขณะกำลังตกตะลึง ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยลอยมา “พี่ใหญ่”
เขามองไปทางต้นเสียง เห็นน้องสาวตนกำลังเดินออกมาจากเรือนด้านใน คนที่ตามมาด้านหลังคือเฟิ่งซานหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตา ปากก็ขยับโดยฉับพลัน มองผู้เฒ่าเฟิ่งอย่างโกรธเคือง “เฟิ่งซานหยวน! มาหาข้าที่ห้องหนังสือ!” เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดสิ้นสุดลง พอหมุนตัวกลับก็เปลี่ยนไป ในใจกลับมีความยินดี สองคนนี้นับว่าเดินไปด้วยกันแล้ว
ความจริงแล้วเรื่องที่ซานหยวนอายุมากไม่ใช่ปัญหายากเย็น หากเป็นผู้ฝึกวิชาเซียนเช่นพวกเขา ขอแค่บรรลุขั้นวรยุทธ์ถึงระดับกำเนิดวิญญาณถึงแขนขาดก็งอกใหม่ได้ เพราะวิญญาณต้นก่อร่างสำเร็จ ทุกอย่างจะเหมือนเกิดใหม่ ผู้ฝึกตนที่บรรลุระดับกำเนิดวิญญาณรักษารูปลักษณ์ไว้ในสภาพที่ตนเองต้องการได้ ขอแค่บรรลุขั้นต่อไปภายในเวลาที่จำกัด การจะรักษาสภาพขั้นสูงสุดตลอดไปก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนที่วรยุทธ์ยิ่งสูงยิ่งอ่อนวัย
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ฝึกพลังเร้นลับ หาใช่ผู้ฝึกพลังวิญญาณ ผู้ฝึกพลังเร้นลับเมื่อบรรลุระดับจักรพรรดินักรบรูปลักษณ์ถึงจะหนุ่มขึ้นสิบปี เมื่อบรรลุระดับนักรบทรงเกียรติก็จะย้อนวัยกลับไปได้อีกยี่สิบปี หมายความว่าเขาต้องฝึกบำเพ็ญถึงพลังระดับนักรบทรงเกียรติถึงจะกลับไปอายุราวๆ สี่สิบ เพียงแต่ตอนนี้เขาเพิ่งถึงระดับบรรพชนนักรบขั้นสูงสุด อยากบรรลุระดับนักรบทรงเกียรติจะง่ายดายเพียงนั้นเสียที่ไหน?
ผู้เฒ่าเฟิ่งตามหลังไปอย่างอับอายตลอดทางจนมาถึงห้องหนังสือ หลังจากเข้าห้องและปิดประตูลง เขามองพี่ชายร่วมสาบานที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร ทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นอีกประโยคหนึ่ง “พี่ใหญ่ ขออภัยด้วย ข้านึกไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้”
“เจ้าไม่ต้องขอโทษข้า คนที่เจ้าต้องขอโทษคือซู่ซี เจ้าคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร?” เขาทำนิ่งหน้าพลางถามน้ำเสียงทุ้ม
อันที่จริง ภาพนี้ทั้งตลกและน่าแปลกอย่างยิ่ง หลินป๋อเหิงที่นั่งหน้าโต๊ะหนังสือดูแล้วลักษณะยังเป็นวัยกลางคน ท่าทางผึ่งผายยิ่งนัก แต่ผู้เฒ่าเฟิ่งซึ่งยืนเบื้องหน้ากลับห่อไหล่ก้มหน้าลง ราวกับเด็กน้อยที่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ยืนโดนสั่งสอนอยู่ตรงนั้นอย่างขลาดกลัว
“ดะ เดิมคิดว่ารอข้าบรรลุระดับนักรบทรงเกียรติก่อนค่อยแต่งกับซู่ซี อย่างน้อยถึงเวลานั้นข้าจะยิ่งมีความกล้ายืนต่อหน้านาง แต่นึกไม่ถึงว่าดื่มเหล้าแล้วจะกลายเป็นเช่นนี้” เขาเอ่ยเสียงค่อย คิดว่าเรื่องเกิดขึ้นไปแล้ว อย่างไรก็ต้องมีวิธีแก้ไข ดังนั้นจึงก้มหน้าลงด้วยสีหน้าละอายใจ
“เรื่องนี้ข้าจะเชื่อฟังพี่ใหญ่ พี่ใหญ่พูดอย่างไรก็อย่างนั้น”
เห็นเขาเป็นเช่นนี้ หลินป๋อเหิงแค่นเสียงหยันหนักๆ สั่งสอนว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญ ยิ่งควรเข้าใจว่าจะสนใจสายตาคนพวกนั้นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญ แตกต่างจากคนธรรมดา เรื่องที่วรยุทธ์ยิ่งสูงรูปลักษณ์ยิ่งอ่อนวัยลงได้เจ้าไม่มีทางไม่รู้ สำหรับเมืองซานเจียงเรา บรรพบุรุษของตระกูลชั้นสูงอายุหลายร้อยปีแล้วยังมีหน้าตาเช่นคุณชายสูงศักดิ์อายุยี่สิบกว่า ลูกหลานเขาอะไรพวกนั้นแต่ละคนรูปลักษณ์ยังแก่กว่าเขาเสียอีก หรือลูกหลานพวกนั้นอยู่ต่อหน้าเขาจะต้องอับอายจนแทรกแผ่นดินหนีด้วย?”