บทที่ 257 ขั้นที่สอง
เซียวเฟิงสวมเสื้อกล้าม มือที่สวยงามและนุ่มนวลของหลิวเฉียงเหว่ยจึงสามารถสัมผัสผิวบนไหล่ของชายหนุ่มได้โดยตรง ทว่าสายตาของหลิวเฉียงเหว่ยเปลี่ยนไปในทันที เพราะเธอไม่รู้สึกว่าผิวหนังที่เธอสัมผัสนั้นเป็นผิวหนังของมนุษย์
มันเหมือนกับเหล็ก หากผิวหนังไม่มีอุณหภูมิ หลิวเฉียงเหว่ยก็คงคิดว่าผิวที่เธอสัมผัสนั้นเป็นแผ่นเหล็ก
ไม่ว่าหลิวเฉียงเว่ยจะพยายามแค่ไหน และแม้นิ้วของเธอจะเริ่มปวดแล้ว เซียวเฟิงก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“พวกเธอบ้าหรือเปล่า?”
เซียวเฟิงไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านมากเกินไป ท่านั่งของหลิวเฉียงเหว่ยนั้นไม่เป็นธรรมชาติมากนัก เอวของเธอบิดอยู่ ดังนั้นชายหนุ่มเลยกลัวว่าจะทำร้ายเธอเข้า
นอกจากนี้หลิวเฉียงเหว่ยยังทำได้ดีมาก และเขาก็รู้สึกสบายตัวมาก ดังนั้นเซียวเฟิงจึงถามอย่างแปลกใจ
“พวกเรา?”
หลิวเฉียงเหว่ยเพิกเฉยต่อคำว่า ‘บ้า’ โดยอัตโนมัติ แต่เธอเน้นที่คำว่า ‘พวกเรา’ และสายตาของเธอก็ลึกซึ้งเล็กน้อย
แน่นอนว่า ‘พวกเธอ’ ในหัวของเซียวเฟิงนั้นหมายถึงหลิวเฉียงเหว่ยและซือเยี่ยจิ๋ง แต่ก่อนที่หลิวเฉียงเหว่ยจะได้ถามกลับ จู่ ๆ ประตูห้องของเซียวเฟิงก็ถูกเปิดออก
“เฮ้ ขอยืมผ้าเช็ดตัวแห้งสองผืนหน่อย ฉันลืมเอามันมา…”
จากนั้นซือเยี่ยจิ๋งที่สวมเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นก็เปิดประตูห้องของเซียวเฟิงออกครึ่งหนึ่งแล้วตะโกนเข้ามาในห้อง จากนั้นหญิงสาวที่เพิ่งมาใหม่ก็เห็นว่าหลิวเฉียงเหว่ยนั่งอยู่ข้างเตียง พร้อมกับมือของเธอที่กำลังกดไหล่ของเซียวเฟิง ดังนั้นเสียงของหญิงสาวจึงหยุดลงกะทันหัน มองไปที่ภาพในห้องด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“จิ๋งจิ๋ง ลืมไปแล้วเหรอว่าควรเคาะประตูก่อนเข้าห้องคนอื่นน่ะ?”
หลิวเฉียงเหว่ยเบนสายตาที่ลึกซึ้งของเธอไปยังซือเยี่ยจิ๋งซึ่งยืนอยู่นอกประตู หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง เธอก็พูดอย่างข่มขู่ แต่หลิวเฉียงเหว่ยก็ลืมไปว่าตัวเองก็แอบเข้ามาในห้องของเซียวเฟิงตอนที่เขายังคงออนไลน์อยู่เหมือนกัน
“หลิวเฉียงเหว่ย… ทำไมเธอถึงอยู่ในห้องของเขา? แล้วทำไมเธอถึงนั่งบนเตียงของเขาล่ะ?”
สายตาของซือเยี่ยจิ๋งแข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ถามหลิวเฉียงเหว่ยอย่างลังเล
“เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ฉันต้องรายงานเธอด้วยหรือไง?”
หลิวเฉียงเหว่ยยังคงดูสง่างามมาก ดูเหมือนว่าซือเยี่ยจิ๋งเคยเชื่อฟังหลิวเฉียงเหว่ยมาก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธออยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่า
“นี่มันไม่ถูกต้อง! หลิวเฉียงเหว่ย ออกมากับฉัน! ฉันมีเรื่องต้องถามเธอ!”
อย่างไรก็ตาม ซือเยี่ยจิ๋งทำท่าทีแข็งข้อ และเธอก็พูดกับหลิวเฉียงเหว่ยอย่างไม่ประนีประนอม
ซือเยี่ยจิ๋งเปลี่ยนท่าทีที่เชื่อฟังของเธออย่างสมบูรณ์
หลิวเฉียงเหว่ยไม่ได้พูดอะไรในเวลานี้ เธอลุกขึ้นและเดินไปที่ประตูโดยไม่ลังเล
“ปัง!”
ประตูห้องถูกซือเยี่ยจิ๋งกระแทกปิด และเธอก็จ้องมองที่เซียวเฟิงก่อนจากไป
“เธอทั้งคู่สมเป็นญาติพี่น้องกันจริง ๆ แล้วก็มีโรคทางพันธุกรรมระหว่างพวกเธอทั้งคู่ด้วย”
เซียวเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัด จากนั้นเซียวเฟิงก็ไม่คิดจะสนใจผู้หญิงที่ผิดปกติสองคนนี้ ดังนั้นจึงหยิบหมวกเกมขึ้นมาและเข้าสู่ระบบ
“หลิวเฉียงเหว่ย! ฉันเคยถามเธอมาก่อนแล้ว! แต่เธอไม่ยอมบอกฉัน! กิลด์มิดซัมเมอร์ไปโกรธไอ้บ้านั่นได้ยังไง? ด้วยนิสัยของเธอ มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเอาผู้เล่นที่เพิ่งรู้จักได้สองสามวันใส่เข้าไปในคำสั่งฆ่าของกิลด์โดยไม่มีเหตุผล ไอ้สารเลวนั่นทำเรื่องสกปรกและไร้ยางอายใส่เธอจริง ๆ ใช่ไหม?”
ที่ทางเดินซือเยี่ยจิ๋งยืนกอดอกมองตรงไปที่หลิวเฉียงเหว่ยและถาม เธอไม่ได้รับผลกระทบจากความสง่าของหลิวเฉียงเหว่ยเลย
“ใช่แล้ว” หลิวเฉียงเหว่ยดูเหมือนจะยอมรับอย่างไม่เห็นแก่ตัว
“ไอ้เวรนั่น! เขาทำอย่างนี้กับเธอได้ยังไง!” ซือเยี่ยจิ๋งขมวดคิ้วทันที แล้วเธอก็ถามต่อ “แล้วเธอสะสางความแค้นในภายหลังได้ยังไง? นิสัยของเธอ เธอทนเรื่องแบบนี้ไม่ได้นี่!”
“ฉันให้อภัยเขาเพราะฉันเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเขาแล้ว” หลิวเฉียงเหว่ยตอบกลับ
“นั่นไม่ถูกต้อง มันไม่น่าจะเป็นนิสัยของเธอ แล้วทำไมเธอถึงไปอยู่ในห้องของเขาล่ะ?” ซือเยี่ยจิ๋งยังคงถามต่อไป
“ฉันสมัครใจเข้าไปเอง” หลิวเฉียงเหว่ยให้คำตอบที่ไม่ตรงประเด็นและเธอไม่ได้อธิบายว่าทำไมเธอถึงไปปรากฏตัวในห้องของเซียวเฟิงได้
“หลิวเฉียงเหว่ย นี่เธอ…” ซือเยี่ยจิ๋งกำหมัดแน่น ใบหน้าสวยมืดมนลง
แต่ทันใดนั้น ข้อสันนิษฐานก็แวบเข้ามาในหัวของเธอ จากนั้นหญิงสาวก็มองไปที่หลิวเฉียงเหว่ยด้วยความตื่นตระหนก “หลิวเฉียงเหว่ย… นี่เธอ… เสียสละตัวเองเพียงเพื่อช่วยกิลด์มิดซัมเมอร์งั้นเหรอ?”
“ไม่” หลิวเฉียงเหว่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แต่การหลบตาเล็กน้อยของเธอถูกซือเยี่ยจิ๋งจับได้
“ไอ้เวรนั่น! ฉันจะฆ่ามัน!” ซือเยี่ยจิ๋งตัวสั่นด้วยความโกรธ เธอกำลังโกรธและเศร้ามาก
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด” หลิวเฉียงเหว่ยรีบคว้าตัวเธอไว้ เธอกลัวว่าซือเยี่ยจิ๋งจะไปทำตามแรงกระตุ้นชั่ววูบ
…
เซียวเฟิงเรียกเสี่ยวเสวียออกมา หลังจากที่เขาเดินทางเข้าไปในแดนทมิฬได้ครึ่งชั่วโมง ในที่สุดชายหนุ่มก็เห็นเค้าโครงขนาดใหญ่ของเมืองแห่งความโศกเศร้า เมื่ออยู่หมอกดำมันก็เหมือนกับสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่คืบคลานอยู่ในเงามืด
เซียวเฟิงเข้าไปอย่างระมัดระวัง เพราะในตอนนี้ เมืองแห่งความโศกเศร้านั้นค่อนข้างแตกต่างจากตอนที่เขามาครั้งล่าสุด อย่าว่าแต่มอนสเตอร์ระดับสูงและบอสมากมายที่เดินเตร่อยู่ใกล้ ๆ เลย ผู้พิทักษ์เมืองแห่งความโศกเศร้าก็มีมากกว่าหนึ่งตัวด้วย พวกเขาลาดตระเวนรอบกำแพงเมือง ทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าเข้าใกล้
ผู้พิทักษ์เมืองแห่งความโศกเศร้าทิ้งแผลใจไว้กับเซียวเฟิง ท้ายที่สุดแล้ว พวกมันก็เป็นบอสที่ทำให้ชายหนุ่มตายในเกมครั้งแรก
แกรก
มีบอสยามโครงกระดูกสองตัวลาดตระเวนอยู่ที่นี่ เซียวเฟิงออกจากขอบเขตความสนใจอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ เขายังทำภารกิจที่นี่ไม่สำเร็จ และไม่รู้เงื่อนไขของการทำภารกิจให้สำเร็จด้วย
หากเงื่อนไขคือให้เข้าสู่เมืองแห่งความโศกเศร้ามันจะเป็นเรื่องยากมาก…
เซียวเฟิงบังเอิญเห็นบอสลิชอยู่ที่ประตูเมือง ไม่รู้ระดับและคุณสมบัติของมันทั้งหมด ทุกคนจึงรู้ว่าข้างในนั้นอันตรายมาก นอกจากนี้ ผู้พิทักษ์เมืองแห่งความโศกเศร้านั้นไม่ใช่สิ่งที่เซียวเฟิงสามารถต่อสู้เพียงลำพังได้ ไม่มีทางที่จะฝ่าไปได้เลย
“แกรก นายได้ยินมาบ้างหรือเปล่าว่าลิชคิงฟื้นคืนชีพแล้ว และกองทัพมืดของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ภายใต้การบัญชาของลิชคิง”
บอสโครงกระดูกลาดตระเวนสองตัวนี้กำลังพูดคุยกันจริง ๆ เมื่อพวกมันอยู่ไม่ไกลจากเซียวเฟิง ชายหนุ่มจึงสามารถได้ยินเสียงแหบแห้งของพวกมันและเห็นไฟแห่งความตายลุกโชนด้วยความตื่นเต้นในดวงตาของพวกเขา
“แน่นอน ข้าได้ยินมาว่าแม้แต่นายพลโครงกระดูกของสุสานทางตะวันออกก็ยังจงรักภักดีต่อกองทัพมืดของเรา นั่นเป็นอันเดดโซลที่ทรงพลังซึ่งถือกำเนิดมาโดยธรรมชาติ ภายใต้อำนาจของลิชคิง นายพลโครงกระดูกก็เลือกที่จะเข้าร่วมกองทัพมืดด้วย”
“เผ่าความมืดของเราไม่ได้รับการยอมรับจากดินแดนแห่งพระเจ้า เราจะสามารถอยู่รอดในดินแดนของพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเราเชื่อฟังคำสั่งของลิชคิงและเข้าร่วมกองทัพมืดเท่านั้น”
“แต่ฉันเคยได้ยินจากเอนเชี่ยนอันเดดโซลว่าเมื่อนานมาแล้ว ตระกูลอันเดดโซลของเราก็ถือกำเนิดขึ้นโดยธรรมชาติในดินแดนแห่งพระเจ้าเช่นกัน และเราอยู่ในดินแดนแห่งพระเจ้าเช่นเดียวกับมนุษย์และเอลฟ์ ทำไมตอนนี้เราถึงต้องถูกขับไล่และถูกชำระล้างด้วย?”
…
บอสโครงกระดูกสองตัวเดินจากไป เซียวเฟิงไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดต่อจากนั้น เพราะเสียงระบบแจ้งดังขึ้นมาว่าภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว
[ติ้ง! คุณทำภารกิจหลัก – ความเปลี่ยนแปลงของเมืองแห่งความโศกเศร้าเสร็จสิ้น!]
เซียวเฟิงรู้สึกประหลาดใจที่ภารกิจหลักเสร็จสิ้นอย่างกะทันหัน แต่เขาไม่สนใจเรื่องอื่น ชายหนุ่มหยิบคัมภีร์เทเลพอร์ตกลับเมืองออกมาทันทีและกลับไปที่เมืองเทียนหลงเพื่อส่งมอบภารกิจ
วิหารแห่งแสงในเมืองเทียนหลงยังคงสูงและสง่างาม ซึ่งโดดเด่นกว่าวังของเจ้าเมือง มีผู้เล่นจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทำภารกิจเข้าและออกมาเรื่อย ๆ และส่วนใหญ่เป็นนักบวชหญิง
เซียวเฟิงหยุดอยู่ที่ทางเข้าวิหารชั่วขณะหนึ่งแล้วเขาก็เดินเข้าไป
เซียวเฟิงกำลังคิดเกี่ยวกับความเป็นมาของโลกเกมนี้ เนื่องจากเว็บไซต์ทางการไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ และผู้เล่นก็รู้เรื่องแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม เซียวเฟิงก็ค่อย ๆ เริ่มที่จะเข้าใจความเป็นมาของโลกเกมนี้ ในขณะที่ชายหนุ่มทำภารกิจหลักและบันทึกแผ่นหินบางส่วนที่พบในป่าแห่งสัตว์ร้ายที่ถูกผนึก
“ที่จริงแล้วกองทัพมืดกำลังกลับมางั้นเหรอ! จะมีหายนะครั้งใหญ่อีกครั้งในดินแดนแห่งพระเจ้าแล้ว!”
เซียวเฟิงส่งมอบภารกิจให้กัปตันโบลตัน และพาลาดินผู้ตรงไปตรงมาคนนี้ก็กล่าวอย่างเคร่งเครียดด้วยท่าทีเวทนา
“แต่โชคดีที่ดินแดนแห่งพระเจ้าได้มีเหล่านักผจญภัยมาเยือนแล้ว ฉันเชื่อว่าด้วยความช่วยเหลือจากนักผจญภัยมากมาย กองทัพมืดจะไม่ทำให้เกิดความหายนะในดินแดนแห่งพระเจ้าแบบเดียวกับเมื่อหลายพันปีก่อน” จากนั้นกัปตันโบลตันก็พูดกับเซียวเฟิงด้วยความโล่งใจ
“ท่านอาร์คบิชอป เมืองแห่งความโศกเศร้าจะต้องเป็นฐานที่มั่นของกองทัพมืดแน่นอน ฉันจะรายงานข่าวนี้ไปยังวิหารทันที แต่ก่อนหน้านั้น ฉันต้องการขอให้ท่านอาร์คบิชอปนำนักผจญภัยไปที่สุสานก่อน มีกองกำลังอันเดดโซลอยู่ในสุสาน ตอนนี้พวกมันได้เข้าร่วมกองทัพมืดแล้ว เราจำเป็นต้องชำระล้างพวกมันเพื่อทำให้กำลังของกองทัพมืดอ่อนแอลง”
[ติ้ง! คุณจะรับภารกิจดันเจี้ยน – สุสานหรือไม่?]
กัปตันโบลตันจากไปอย่างรวดเร็วผ่านจุดเทเลพอร์ต และเซียวเฟิงก็ตกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเขาจะเจอกับเควสดันเจี้ยน
ปัจจุบันเซียวเฟิงอยู่ที่เลเวล 23 ภารกิจดันเจี้ยนที่เขาได้มาจึงไม่ใช่ของดันเจี้ยนเลเวล 15 กล่าวคือมันมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
มันคือของดันเจี้ยนใหม่ ซึ่งเป็นดันเจี้ยนขั้นที่ 2 ดันเจี้ยนเลเวล 25 นั่นเอง!
การเกิดดันเจี้ยนใหม่ไม่เพียงแต่หมายความว่าผู้เล่นได้มาถึงขั้นที่ 2 ในโลกของเกมแล้ว แต่ของสวมใส่จากดันเจี้ยนเลเวล 25 จำนวนมากอัปเดตเข้ามาแล้วอีกด้วย การเพิ่มสกิลใหม่และสัตว์เลี้ยงใหม่ แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญกว่า!
นั่นคือการเคลียร์ดันเจี้ยนครั้งแรก!
มันเหมือนกับตอนที่บุกรังซาลาแมนเดอร์ รางวัลของคนที่ทำภารกิจดันเจี้ยนได้สำเร็จเป็นคนแรกคือการเป็นผู้เล่นทรงเกียรติของเขต!
และบางทีเพื่อความเป็นธรรม ระบบจึงทำการปรับเปลี่ยนการครอบครองดันเจี้ยนในเขตต่าง ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อรักษาความคืบหน้าและความยากของเขตต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เซียวเฟิงได้เปิดภารกิจดันเจี้ยนขั้น 2 ในเขตฮัวเซียดังนั้น เขตต่าง ๆ ก็จะเริ่มภารกิจนี้ได้เช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน ดันเจี้ยนที่เปิดขึ้นโดยเขตต่าง ๆ จะต้องเป็นดันเจี้ยนขนาดใหญ่สำหรับคนยี่สิบคน และจะไม่มีสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมอย่างบางเขตต้องดิ้นรนเพื่อเข้าครอบครองดันเจี้ยนขนาดใหญ่สำหรับ ยี่สิบคน ในขณะที่บางเขตเข้าครอบครองดันเจี้ยนขนาดเล็กสำหรับห้าคนได้อย่างง่ายดาย ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อความเป็นธรรม แม้ว่าความเป็นธรรมนี้จะไม่เป็นมิตรกับเขตเล็ก ๆ เหล่านั้นมากนัก
หลังจากได้รับภารกิจแล้ว เซียวเฟิงก็รีบไปที่ดันเจี้ยนทันที นั่นคือสุสาน ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ป่าที่ห่างไกลจากเขตเมืองหลัก มีเพียงค่ายร้างอยู่ใกล้ ๆ เป็นจุดเทเลพอร์ต ทว่ามี NPC ของวิหารแห่งแสงหลายคนมาพร้อมกับเซียวเฟิง บางคนมีหน้าที่ดูแลจุดเทเลพอร์ต และบางคนเป็นหมอที่รับผิดชอบการขายไอเท็มใช้งาน เช่น ยาฟื้นฟู และยังมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในการออกภารกิจดันเจี้ยน