บทที่ 335
บทที่ 335

“รายงานขอรับ แม่ทัพใหญ่ของพวกเปิงคราวนี้มีชื่อว่าจีหยิง แต่เดิมเขาเป็นแม่ทัพแห่งกองทัพหลวงทั้งสาม ถือเป็นคนสนิทของซ่งเทียน !” หลีเทียนกล่าวอย่างจริงจัง

ถังหยินถามอีกครั้ง “เขาเป็นคนอย่างไร ?”

หลีเทียนกล่าวว่า “ยังคงไม่ชัดเจน แต่คนคนนี้เก่งมากในการบัญชาการรบ”

ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ พลางใช้มือเคาะโต๊ะไปด้วยเบา ๆ ความจริงที่ว่ากองทัพเปิงกำลังตั้งค่ายสองแห่งที่ด้านบนและด้านล่างของภูเขาตามลำดับนั้นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง และจากการโจมตีที่รุนแรงของกองทัพฉีเฟิง ก็เห็นได้ว่าทั้งสองค่ายมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถามเปิงเฮาฉูว่า “ถ้ากองกำลังของเราเข้ายึดค่ายของศัตรูที่ด้านล่างของภูเขาก่อน และรอจนกว่าจะตั้งตัวได้ ก่อนที่จะโจมตีค่ายของศัตรูด้านบนภูเขาเล่า ?”

เปิงเฮาฉูส่ายหัว “นั่นไม่เหมาะสม ! หากกองทัพของเราเข้าไปในค่ายของศัตรูที่อยู่เชิงเขา กองทัพเปิงทั้งหมดบนภูเขาจะเข้าโจมตีอย่างแน่นอน และกองทัพของเราก็จะพินาศไปพร้อมกับค่ายของศัตรู !”

ถังหยินขมวดคิ้วแน่น ถามสวนกลับไปอีกรอบ “แล้วถ้าเราโจมตีค่ายของศัตรูบนภูเขาก่อน ?”

“นั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน !” เปิงเฮาฉูเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ศัตรูอยู่สูงกว่าเรา หากสู้กันเราจะเสียเปรียบอย่างมาก แล้วไหนจะพวกเปิงที่เชิงเขานั่นอีก !”

“มันเป็นไปไม่ได้ที่ทหารมากกว่าแสนนายของข้าจะถูกปิดกั้นโดยกองกำลังศัตรูเพียง 1 แสนคน” ถังหยินเลิกคิ้วและมองแม่ทัพรอบ ๆ

ทุกคนก้มหน้าไม่พูดอะไร

เมื่อเห็นเช่นนั้น ถังหยินก็พลันหันไปถามมูฉิง ว่าพวกเขาควรเอาชนะศัตรูอย่างไรดี ?!

มูฉิงดูตกใจในตอนแรก แต่แล้วก็หัวเราะเบา ๆ “กองทัพเปิงสองค่ายนั้นแท้จริงแล้วคือโล่และหอก ด้วยโล่ที่อยู่ด้านหน้ากับหอกที่ด้านหลัง นั่นก็หมายความว่า ด้านล่างคือโล่และค่ายที่อยู่ด้านบนสุดของภูเขาคือหอก หากต้องการฝ่าศัตรู มีแต่ต้องใช้หอกของศัตรูเพื่อโจมตีโล่ของศัตรู”

ถังหยินอุทานและถาม “จะใช้หอกของศัตรูโจมตีโล่ของศัตรูได้อย่างไร ?”

มูฉิงกล่าวว่า “กองทัพของข้าจะแสร้งทำเป็นโจมตีก่อนและแยกค่ายของศัตรูที่ด้านบนสุดของภูเขา และที่ด้านล่างออกเป็นสอง การโจมตี โดยมีค่ายของศัตรูที่ด้านบนของภูเขาเป็นจุดสนใจหลัก”

“จากนั้นนายท่านก็นำกองทัพที่เหลือคอยดักรอเอาไว้ และเมื่อศัตรูใช้รถศึกอีกครั้ง เหล่าพี่น้องที่กำลังรบก็จะต้องเคลื่อนย้ายหลบในทันที ปล่อยให้รถศึกของศัตรูพุ่งเข้าใส่ค่ายที่เชิงภูเขาโดยตรง”

“สำหรับค่ายบนเขานั้น สิ่งเดียวที่น่ากลัวของพวกมันก็คงมีแต่รถศึกเหล่านี้ แต่ทว่าของเช่นนี้สร้างได้ยากนัก ดังนั้นพวกมันคงไม่อาจต้านทานได้นานนักหรอก ตราบใดที่กองทัพของเราโจมตีทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นการหลอกหรือจริง ตราบใดที่เราสามารถลดการป้องของฝั่งนั้นได้ มันก็จะง่ายสำหรับเราที่จะเอาชนะพวกมัน !”

“ใช่ !” ถังหยินพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับมูฉิง “ถ้ามีแผนดีขนาดนี้ ทำไมไม่พูดก่อนหน้านี้กัน ?”

ก็ถังหยินไม่ได้ถามเขาเองไม่ใช่หรือไร ? แน่นอนมูฉิงจะไม่พูดคำเหล่านั้นออกมาดัง ๆ เขาเพียงหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้ในตอนแรก แต่นายท่านตั้งข้อสงสัยขึ้นมา ข้าก็เลยพอที่จะจับทางได้”

“ฮ่า !” ถังหยินหัวเราะออกมา แล้วจึงหันไปมองคนที่เหลือ ก่อนเอ่ยถาม “พวกเจ้าคิดว่าแผนนี้ฟังดูดีไหม ?”

“วิเศษมากขอรับ !” ทุกคนตอบพร้อมเพรียงกัน

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามที่ว่ามา !” ถังหยินพยักหน้า ปากกล่าวว่า “ตามแผนของแม่ทัพมู กองทัพจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้และเข้าสู่ภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์ !”

ตอนนี้จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ได้นำกำลังทหารทั้ง 2 แสนนายของตัวเองไปประตูตง ทำให้ในเวลาที่เมืองหยานเปราะบางยิ่ง ดังนั้นมีหรือที่ถังหยินจะพลาดโอกาสดีงามเช่นนี้ ?!

คืนนั้นชัวน่ามาหาถังหยินเพื่อบอกลา และเตรียมกลับเบสซ่า

เมื่อได้ยินว่าชัวน่ากำลังจากไป ถังหยินก็ประหลาดใจมากและถามว่า “จะกลับแล้วอย่างนั้นเหรอ ?” ในช่วงเวลานี้ชัวน่าติดตามถังหยินมาโดยตลอด และจากการต่อสู้ที่จิงกวงไปจนถึงหลีฮู ถังหยินก็ค่อย ๆ คุ้นเคยกับการมีนางที่อยู่เคียงข้างกาย

อันที่จริงชัวน่าเองก็ไม่ต้องการจากไป แต่องค์ราชาแห่งเบสซ่าได้ส่งข้อความมาแล้วสองสามฉบับเพื่อเรียกชัวน่ากลับอย่างเร่งด่วน ดังนั้นถ้าไม่เพราะต้องการมาอำลาถังหยินแบบส่วนตัว หญิงสาวคงจะจากไปนานแล้ว นางมองไปที่ถังหยินและพูดอย่างแผ่วเบา “ท่านพ่อขอให้ข้ากลับ แต่ข้าจะยังให้พวกทหารม้าค่อยช่วยเหลือพวกเจ้าเหมือนเดิม”

ตอนนี้การต่อสู้ส่วนใหญ่ในสนามรบดุเดือดยิ่ง ทำให้ทหารม้าเบสซ่าไม่ได้มีประโยชน์มากเช่นเก่าก่อนอีก ดังนั้นพวกเขาจะอยู่หรือไม่มันก็ไม่สำคัญ แต่กลับนางนั้น…

…ถังหยินอยากร้องขอให้หญิงสาวอยู่ต่อ แต่เขาไม่สามารถคิดเหตุผลที่จะทำเช่นนั้นได้ ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดว่า “ข้าจะส่งคนไปช่วยคุ้มกันให้”

คำพูดของเขาทำให้ชัวน่าผิดหวังอย่างมาก นางก้มก้มศีรษะลงและพูดเบา ๆ “ถ้าไปตอนนี้ใครจะรู้ว่าเราจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่”

ถังหยินครุ่นคิดสักพัก จากนั้นเขาก็พลันพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ถ้าสถานการณ์ในแคว้นเฟิงสงบลงแล้ว ข้าจะไปพบเจ้าเป็นการส่วนตัวเพื่อขอบคุณ แล้วไว้เจอกันในตอนนั้น”

ชัวน่าที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกเบาใจลงได้เสียที แต่แล้วนางก็พลันจมลงลงสู่ความเงียบอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าเมื่อใดที่การต่อสู้อันวุ่นวายของแคว้นเฟิงจะสิ้นสุดลง ด้วยสงครามนั้นไม่อาจคาดเดาได้ !

นอกจากนี้ มันก็ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับถังหยินหรือไม่…. หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่นแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “เจ้าดูแลตัวเองด้วย… นะ”

เมื่อรู้สึกว่าความห่วงใยของชัวน่าที่มีต่อเขา ถังหยินก็พลันรู้สึกสะเทือนใจ

….อันที่จริงแล้ว นางมีเรื่องอีกนับล้านถ้อยคำที่อยากจะพูด แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

ชัวน่าพยักหน้า หญิงสาวหันหลังและเดินออกจากห้องไปอย่างช้า ๆ ก่อนจะหยุดชะงักและพูดออกมาเบา ๆ ว่า “มันจะสายแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน” นางกลัวว่าถ้าไม่จากไป นางจะสูญเสียความกล้าที่จะจากไป

เมื่อมองแผ่นหลังของชัวน่าและเห็นว่านางกำลังจะออกจากห้องถังหยินก็พลันยกมือขึ้นและพูดว่า “เดี๋ยวก่อน”

ชัวน่าคิดว่าถังหยินต้องการให้นางอยู่ที่นี่ต่อ ดังนั้นจึงหันหน้ากลับไปด้วยความดีใจ

ปากของถังหยินกระตุก เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่ผ่านมา ข้าขอขอบใจเจ้ามาก”

คำพูดเหล่านี้ทำให้ความหวังที่เพิ่งเกิดในใจของชัวน่าแตกสลายทันที นางยักไหล่ ปากพูดว่า “อย่างว่างั้นเลย เรื่องธรรมดาน่ะ” หลังจากที่พูดจบ หญิงสาวก็ได้หันไปสบตากับถังหยิน ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีก

หลังจากชัวน่าจากไป เบลน เกรย์และขุนนางหนุ่มอีกสองสามคนจากเบสซ่าก็มาถึง พวกเขาสองสามคนเดินไปที่ถังหยินและถามว่า “องค์หญิงกำลังจะกลับมาตุภูมิแล้วนะขอรับ ทำไมท่านถึงไม่รั้งนางเอาไว้กัน ?”

ถังหยินมองไปที่พวกเขาและพูดว่า “ข้าทำไม่ได้”

ทันใดนั้นเบลนก็ถามว่า “นี่ท่านยังไม่รู้งั้นหรือ ?”

ถังหยินเลิกคิ้ว เขาไม่เข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำถามที่ถูกยิงมาอย่างกะทันหัน

เบลนพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ตามที่ข้ารู้ เหตุผลที่องค์ราชาเรียกตัวองค์หญิงกลับมาอย่างเร่งด่วนก็เพราะว่าราชาแห่งดูกีได้มาที่เมืองเบสซ่าเป็นการส่วนตัว เพื่อขอองค์หญิงแต่งงานขอรับ”

“อะไรนะ !?” ถังหยินตกใจ เขามองไปที่เบลนอย่างสับสน

เบลนถอนหายใจ กล่าวว่า “เจ้าชายพาเวลแห่งดูกีชอบองค์หญิงเสมอมา และด้วยผลประโยชน์ทางการเมือง พวกเขาจึงจะแต่งงานกันในไม่ช้า …หากไม่มีใครหยุดเขาได้ ท่านคงพอจะเดาสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้”

ถังหยินขมวดคิ้ว ชัวน่าจะแต่งงานกับเจ้าชายแห่งดูกี ? เขาถามว่า “แล้วนางรู้เรื่องนี้หรือไม่ ?”

“ควรจะรู้”

“แล้วทางองค์หญิงว่าเช่นไรบ้าง ?”

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด องค์หญิงก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว และนางก็ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อพาเวล ดังนั้นนางก็คงไม่มีวันยอมรับข้อเสนอการแต่งงานของดูกีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากองค์ราชาเห็นด้วย มันจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ เลย ”

“เจ้าหญิงมีใครอยู่ในใจ ?” ชายหนุ่มมีโอกาสพบชัวน่าอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่เคยได้ยินนางพูดถึงคนที่ชอบเลยซักครั้ง

เบลนหัวเราะอย่างขมขื่น ขณะที่เขาส่ายหัวและชี้ไปที่ถังหยิน “แน่นอน ท่านไง”

“ข้าเหรอ ?” ถังหยินรู้สึกประหลาดใจ

เมื่อมองไปที่การแสดงออกที่ว่างเปล่าเล็กน้อยของถังหยิน เบลนก็ทั้งโกรธและขบขัน ด้วยถังหยินถึงจะฉลาดมาก แต่ความสามารถด้านนี้ของเขาต่ำมาก “ท่านอยู่กับองค์หญิงมาตั้งนานขนาดนั้น ท่านยังมองไม่ออกอีกอย่างนั้นเหรอ ?”

ถังหยินสะดุ้งไปจังหวะหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

ลึก ๆ แล้วในใจของเขามีเพียงคนคนเดียวที่เขาไม่สามารถละทิ้งไปได้ ไม่ว่าเขาจะมีอารมณ์ที่ลึกซึ้งต่อผู้หญิงคนอื่นแค่ไหน และไม่ว่าเขาจะใช้เวลาร่วมกับนางนานแค่ไหน ชื่อของคนคนนั้นก็ยังคงปรากฏอยู่ในความคิดของเขาเป็นครั้งคราว เช่นเดียวกับรอยยิ้มของคน ๆ นั้นที่มักจะปรากฏขึ้นมาเสมอ

เมื่อเห็นถังหยินนิ่งเงียบ เบลนก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านมีแผนอะไรหรือยัง ?”

ถังหยินไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร “แล้วข้าจะต้องทำอะไร ?”

“ถ้าท่านไม่อยากให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้น ท่านก็ต้องรั้งนางเอาไว้สิขอรับ !”

ถังหยินส่ายหัว “ถ้าชัวน่าต้องการอยู่ นางก็จะอยู่ คนอย่างนางไม่มีใครบังคับได้ ดังนั้นข้าก็จะไม่บังคับนางเช่นกัน !”

“ท่าน… ? ชิ !”

เบลนสับสนเล็กน้อยกับประเด็นนี้ เขาไม่รู้ขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างถังหยินและองค์หญิง แต่ถ้าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ทำไมทั้งสองคนจึงดูมืดมนเมื่อพวกเขากำลังจะแยกจากกัน ? ถ้าจะบอกว่าพวกเขามีความรู้สึกต่อกันทำไม งั้นแล้วถังหยินถึงไม่พยายามที่จะรั้งนางเอาไว้กัน ?

เบลนพูดอย่างจริงจังด้วยความไม่เข้าใจว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะตามองค์หญิงกลับมาตุภูมิ”

ในตอนแรกเขาคิดว่าถังหยินจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อรั้งไว้ แต่ใครจะรู้ว่าคนหลังเพียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เบลน เกรย์และคนอื่น ๆ มองหน้ากัน และในที่สุดก็ไม่มีใครพูดอะไรขณะที่พวกเขาส่ายหัวพลางถอนหายใจ

ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ชัวน่าและคนอื่น ๆ ออกเดินทางออกจากเมืองสีไป่และกลับไปที่เบสซ่า ซึ่งก็อย่างที่ชัวน่าบอก ว่านางจะกลับไปตัวเปล่า และทิ้งกองทหารม้าเกราะหนักเอาไว้

….ระหว่างทางออกจากเมือง ถังหยินไม่ได้พูดอะไรสักคำ และจากการแสดงออกที่สงบของเขา ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเขามีความสุขหรือกังวล

เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองไปพอสมควร ชัวน่าก็พลันหันหน้ามาแล้วพูดว่า “ถังหยิน วันนี้เจ้าไม่ต้องไปนำทัพอย่างนั้นเหรอ ไม่จำเป็นต้องมาส่งข้าก็ได้”