บทที่ 337
บทที่ 337

แรงปะทะของรถศึกไม่ใช่เบา ๆ เลย ! ถังหยินจำต้องใช้กำลังทั้งหมดของเขา บิดเอวเหวี่ยงออกไป ทำให้เกิดเสียงดังตูม ด้วยรถศึกหนักหลายร้อยจินล้มลงกับพร้อมก้อนหินด้านในที่กลิ้งตกลงมา

นายทหารโดยรอบไม่อยากจะเชื่อเลยแม้แต่น้อยกับภาพตรงหน้า นี่เจ้านายของพวกเขาทรงพลังได้ขนาดนี้เลยหรือ ?

ก่อนที่ใครจะไหวตัวทัน รถศึกคันที่สองและสามก็พลันพุ่งเข้ามาต่ออย่างรวดเร็ว คราวนี้จ้านหูพุ่งไปข้างหน้าก่อน และเมื่อรถศึกคันหนึ่งมาถึงหน้าเขา ทันใดนั้นจ้านหูก็พลันยกค้อนขึ้นฟาดเข้าใส่ตัวรถนั่น !

เกิดเสียงดังก้องจนแผ่นดินสะเทือน ทำเอาทหารรอบข้างต่างสูญเสียการได้ยินไปชั่วขณะ ด้วยค้อนของจ้านหูฟาดเข้าที่ด้านข้างของรถศึกคันใหญ่ จนมันกระเด็นขึ้นไปในอากาศ และคว่ำตกลงมาทั้ง ๆ ที่ล้อยังคงหมุนอยู่ !!!

จ้านหูที่ล้มรถคันแรกไปยังไม่ทันที่จะได้พักหายใจ เขาก็เริ่มทุบรถศึกอีกครั้ง โครม ! ส่งให้รถศึกคันนั้นกระเด็นออกไปไกลราว 1 จั้งเศษ

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น และได้ยินเพียงเสียง แต่เพียงแค่นี้ก็มากพอแล้วที่จีหยิงจะตัดสินใจ เขาไม่รอช้า หันสั่งให้คนของตนปล่อยรถศึกลงภูเขาต่อในทันที

เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นอีกครา คราวนี้มีรถศึกจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากยอดเขา ทำให้ถังหยินไม่อาจใช้กลยุทธ์แบบก่อนหน้าได้อีก รีบดึงจ้านหูที่ยังคงยืนอยู่ที่จุดเดิมให้ถอยออกมาทันที “หลบออกมาเร็ว !”

เมื่อพวกเขาออกนอกเส้นทาง รถศึกพวกนั้นก็มาถึงในจังหวะเดียวกัน ทำให้เกิดสายลมที่พัดผ่านหูพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนถังหยินจะหันกลับมาแล้วตะโกนสั่งกู่เยว่ “ยิงธ… !”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ กู่เยว่ซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ได้ปล่อยธนูออกไป …ทำให้เกิดเสียงดังเอี๊ยดแหลม ๆ ขึ้นในอากาศ !

ที่เชิงเขา เมื่อมูฉิงได้ยินสัญญาณเตือน เขาก็ออกคำสั่งให้เลิกโจมตีค่ายของศัตรูทันที ! …และภายใต้คำสั่งของแม่ทัพใหญ่นี่เอง บรรดาทหารกว่า 5 หมื่นนายก็พากันเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงเหมือนกระแสน้ำหลาก พากันถอยออกจากบริเวณโดยรอบของค่ายกองทัพเปิง

เมื่อเห็นว่ากองทัพเทียนหยวนได้ล่าถอยไปอย่างกะทันหัน

กองทัพเปิงในค่ายต่างก็ดีใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับไม่รอช้า รีบปีนขึ้นไปบนกำแพงค่ายเพื่อขึ้นยิงลูกธนูไปยังกองทัพที่กำลังถอยกลับ !

ถึงแม้ลูกศรที่พวกเขายิงออกไปจะไม่ได้ทรงพลังอะไรมากมายนัก แต่เพียงแค่นี้มันก็มากพอแล้ว ที่จะคุกคามพวกทหารเทียนหยวนที่กำลังถอยกลับไป

ในจังหวะนั้นเอง พวกเปิงก็พลันได้ยินเสียงดังจากบนภูเขา ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพยายามที่จะมองหาต้นเสียง แต่ด้วยมันมืดเกินไป จึงเห็นเพียงร่างเงาสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่วิ่งลงมาจากภูเขา

…ขณะที่ใบหน้าของผู้คนยังคงเต็มไปด้วยความสับสน เงาสีดำที่พุ่งลงมาก็ได้มาถึงที่ด้านหน้าค่าย และเมื่อเห็นมันได้อย่างชัดเจน สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที “รถศึก… เป็นรถศึกของพวกเรา !!”

ทว่าก่อนที่นายทหารเปิงผู้นั้นจะตะโกนจบ รถศึกก็ได้พุ่งเข้าชนกำแพงฐานที่มั่นดังตึง ! ทำให้กำแพงค่ายสั่นเล็กน้อย แต่ทว่าไม่มีความเสียหายที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยแม้แต่น้อย

พวกทหารเปิงข้างบนพากันเกาะกันจ้าละหวั่น หลายคนที่คว้าอะไรไม่ได้ก็ล้มลง ในขณะที่บางคนก็ถึงกับตกลงมาจากกำแพง ทำให้รถศึกที่บรรทุกหินพุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างรุนแรง !

โครมม ! อ๊ากกกก !!

เสียงกรีดร้องพร้อมเลือดที่สาดกระเด็นดังอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนร่างของนายทหารเปิงผู้ใช้ร้ายให้กลายเป็นเนื้อบด !

กำแพงค่ายกองทัพเปิง สามารถทนต่อการชนหนัก ๆ ไม่กี่ครั้งได้อย่างสบาย ๆ แต่มันไม่สามารถทนต่อการชนอย่างต่อเนื่องได้ ทำให้ไม่นานกำแพงก็พังทลายลง ปล่อยให้หินที่บรรจุอยู่ภายในรถศึกกลิ้งเข้าไปในค่าย

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้พวกทหารต่างตกอยู่ในความโกลาหล พวกเขาพากันตะโกนและกรีดร้องไม่หยุด พยายามหลีกเลี่ยงก้อนหินและรถศึกที่วิ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต

เมื่อจีหยิงได้ยินเสียงจากค่ายที่เชิงเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาก็พลันสั่นสะท้าน เพราะเข้าใจแล้วว่าศัตรูล่อให้ตนทิ้งรถศึกจำนวนมากลงไป ก่อนจะซ่อนตัวให้ห่าง ปล่อยให้รถศึกพุ่งเข้าไปในค่ายที่เชิงเขาอย่างไม่มีอะไรขวางกั้น !

ดังนั้นเขาจึงรีบสั่งให้หยุดปล่อยรถศึกในทันที แต่มันก็สายเกินไปแล้ว !!!

เมื่อเห็นว่าไม่มีรถศึกลงมาจากภูเขาอีกต่อไปแล้ว ทหารเทียนหยวนที่ซ่อนตัวอยู่ก็ไม่รอช้า พากันเข้าโจมตีตามคำสั่งของถังหยินในทันที ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้พุ่งขึ้นไปบนภูเขาแต่อย่างใด ทว่ากลับใช้เส้นทางไปยังค่ายของศัตรูที่อยู่ด้านล่างภูเขาแทน

เช่นเดียวกับกองทัพเทียนหยวนอีกกองที่ถอยออกจากสนามรบ ที่มาในตอนนี้ได้หยุดถอยแล้ว

ในเวลานี้พวกทหารเทียนหยวนที่ถอยกลับกำลังบุกย้อนกลับมา พร้อมกับใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้จ้องมองเป้าหมาย !

ทหารกว่า 5 หมื่นนายพวกนั้นกลายเป็นดั่งสัตว์ป่าคลุ้มคลั่ง พวกเขาเข้าเข่นฆ่าไม่หยุดเข้าไปในค่ายเชิงเขาที่กำแพงกั้นพังทลาย ทำให้เลือดสาดกระจายไปทั่ว !

เมื่อกองทัพของถังหยินบุกเข้ามาในค่าย พวกเปิงก็พากันล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วง ในขณะที่บางคนถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ และถูกตัดศีรษะนำมาแขวนไว้ที่เอว

แต่เดิมนี่เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก อย่างไรก็ตามหลังจากที่กำแพงป้องกันของค่ายพวกเปิงถูกทำลาย มันก็ได้กลายเป็นการสังหารหมู่เพียงฝ่ายเดียว ทำให้การต่อสู้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ด้วยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็เหลือเพียงซากศพบนพื้นและเปลวไฟที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเท่านั้น !

…ค่ายที่เชิงเขาได้ตกลงไปในทะเลเพลิงแล้ว

เมื่อจีหยิงที่อยู่บนยอดเขาเห็นสิ่งนี้ ร่างกายของเขาก็กลายเป็นเหมือนลูกโป่งที่ยุบตัว เขาไม่อาจที่จะยืนได้ ร่างกายแกว่งไปมา ก่อนจะทรุดลงบนพื้นและจ้องไปยังค่ายที่ด้านล่างของภูเขาโดยไม่สามารถพูดอะไรได้แม้แต่คำเดียว

” … ท่านแม่ทัพ ! ค่ายที่เชิงเขาดูเหมือนจะ… คงไม่สามารถนิ่งเฉยได้แล้ว เราควรจะลงไปช่วยพวกเขาหรือไม่ ?” รองแม่ทัพข้าง ๆ จีหยิงถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเทา

หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดจีหยิงก็ได้สติกลับคืนมา เขาส่ายหัวช้าๆและพูดอย่างอ่อนแรง “หากไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ตามที่กล้าลงจากภูเขาไป ต้องโดยประหารด้วยกฎทหาร !”

แม่ทัพโดยรอบมองหน้ากันไปมา พวกเขาพากันหดคอด้วยความกลัว ไม่กล้าที่จะลงจากภูเขาไปช่วยอีกแล้ว

จีหยิงไม่เคยคิดเลยว่ากองทัพเทียนหยวนจะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ ทำให้ค่ายบริเวณเชิงเขาพังลง แต่ถึงเรื่องจะเป็นเช่นนี้แล้ว หากลงไปช่วย ก็คงเป็นพวกเขาเองนี่แหละที่รนหาที่ตาย !

การต่อสู้ใช้เวลาไม่นาน ก่อนจะจบลงอย่างสวยงามด้วยชัยชนะของกองทัพเทียนหยวน และไม่เพียงแต่นี่จะเป็นการล้างแค้นให้กับกองทัพฉีเฟิงเท่านั้น หากแต่ยังช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับพวกเขาอีกด้วย !

…ในคืนนั้นกองทัพเทียนหยวนไม่ได้โจมตีค่ายของกองทัพเปิงบนยอดเขาต่ออีก พวกเขากลับไปที่ค่าย เพื่อหารืนกันถึงแผนการต่อไปกับแม่ทัพนายกอง และกุนซือ

ก่อนเป็นเปิงเฮาฉูที่กล่าวว่า “การศึกครั้งนี้งดงามยิ่ง ด้วยการใช้รถศึกของพวกมันกำจัดพวกมันกันเอง …ในไม่ช้า ข้าว่าเราจะสามารถไปถึงยอดเขาและทำลายศัตรูได้ !”

ถังหยินพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่เปิงเฮาฉูพูด ก่อนที่จางจี้จะเดินเข้าไปใกล้ “ดีแล้วล่ะขอรับ จีหยิงคนนี้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก ทางที่ดีท่านน่าจะส่งคนขึ้นไปเพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์นะขอรับ ด้วยถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงสงครามได้คงจะเป็นการดีที่สุด !”

ถ้าเขาสามารถเกลี้ยกล่อมให้จีหยิงยอมจำนนได้ นั่นจะเป็นการดีที่สุด ทว่าถังหยินไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้มากนัก แต่คำแนะนำของจางจี้นั้นไม่ผิด และเขาเองก็เห็นด้วย “เอาล่ะ เมื่อถึงย่ำรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้ ข้าจะส่งคนไปที่ภูเขาเพื่อพบกับจีหยิง”

“นายท่าน ท่านจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะยอมฟังข้อเสนอของพวกเรา ใครจะรู้ว่าเขามีแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นอยู่บ้าง ?” หลีเว่ยขมวดคิ้ว “ในความเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ เราคงไม่สามารถไว้ชีวิตพวกเปิงได้ พวกเราควรจะฆ่าให้หมดเพื่อขจัดปัญหาในอนาคต !”

หลีเว่ยไม่ใช่คนที่ใจกว้างเสียเท่าไหร่ เขาเคยทนทุกข์ทรมานด้วยมือของจีหยิงมาแล้วครั้งหนึ่ง และเขาก็เกลียดชังจีหยิงเข้ากระดูกดำ !