บทที่ 338
บทที่ 338

แม้ว่าถังหยินจะสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้ใจแคบเหมือนหลีเว่ย ด้วยการสงครามไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เขาโบกมือให้หลีเว่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม “จีหยิงคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ถ้าเขาสามารถเข้าร่วมกองทัพของเราได้จริง ๆ มันจะเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน”

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น หลีเว่ยก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกต่อไปเขาเพียงถอยกลับไปที่ตำแหน่งเดิมอย่างเงียบ ๆ

ถังหยินมองไปที่ฝูงชนและถามว่า “ใครคิดว่าตัวเองสามารถหว่านล้อมให้จีหยิงยอมจำนนได้บ้าง ?”

พอถามเสร็จก็ไม่มีใครตอบ ด้วยกองทัพเปิงไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการอย่างที่มันควรจะเป็น และครั้งสุดท้ายที่พวกเขาส่งทูตไปเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน ผลลัพธ์ของการไปครั้งนั้นก็จบลงด้วยความตายของคนที่เข้าไป ทำให้ไม่มีใครอยากที่จะอาสา

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบกลับ ถังหยินก็เลิกคิ้วและหัวเราะ “ยังไงกัน ? ในกองทัพของเรามีคนที่มีความสามารถมากมาย แต่ไม่มีใครกล้าที่จะอาสาเลยอย่างนั้นเหรอ ?”

ในขณะที่เขาพูดจบ คนคนหนึ่งก็ได้เดินออกมาจากกลุ่มกุนซือและโค้งคำนับให้ถังหยิน “นายท่าน ข้าอาสาเอง !”

คนที่พูดคือชายหนุ่มในวัย 20 ปี เขามีส่วนสูงและรูปร่างหน้าตาธรรมดา จนทำให้ไม่มีใครเหลือบมองเขาเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอนถ้าอยู่รวมกันในฝูงชน

แท้จริงแล้วชายคนนี้ถูกเรียกว่าเจียงหลู เขาเป็นหนึ่งในกุนซือของกองทัพเทียนหยวนที่ไม่ได้มีผลงานที่โดดเด่นมากนัก

….ถ้าเป็นช่วงเวลาอื่น ด้วยผลงานของเขาแล้ว เขาคงไม่มีทางที่จะเข้าร่วมทัพมาได้นานขนาดนี้ !

เมื่อมองไปที่เจียงหลู ถังหยินก็ครุ่นคิดสักพักก่อนที่จะนึกชื่อของอีกฝ่ายออก จึงได้ยิ้มและถามว่า “เจียงหลู เจ้าเต็มใจที่จะรับภาระอันใหญ่หลวงครั้งนี้หรือไม่ ?”

“แน่นอนขอรับ นายท่าน !”

“ไม่กลัวอย่างนั้นเหรอ ?” ถังหยินถาม

ใบหน้าของเจียงหลูเปลี่ยนไปเป็นจริงจัง ก่อนที่จะยกมือขึ้นและพูดว่า “ต่อให้ต้องตายข้าก็ยินดี !”

โอ้ ? ชายหนุ่มไม่ได้คาดหวังว่าเจียงหลูจะพูดคำเช่นนี้ เขาได้แต่กลั้นยิ้มและถามว่า “ข้าขอถามอีกครั้ง เจ้าแน่ใจนะ ?”

เจียงหลูส่ายหัว “ไม่หรอกขอรับ แต่ข้าจะทำให้ดีที่สุด !”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถังหยินก็พยักหน้าและกล่าวว่า “เอาเถอะ ! ไม่ว่าเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ ข้าก็จะจดจำวีรกรรมของเจ้าเอาไว้ !”

“ขอรับ !”

ถ้าเป็นคนอย่างชิวเจิ้น จางจี้ หรือซงหยวน ถังหยินจะไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน แต่เจียงหลูเป็นเพียงใครก็ไม่รู้ ดังนั้นการเสียเขาไปจึงไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรนัก

วันรุ่งขึ้น เจียงหลูไม่ได้นำทหารมาด้วยแม้แต่คนเดียว เขาเพียงเดินออกจากค่ายของกองทัพเทียนหยวนและมุ่งหน้าขึ้นภูเขาไปยังค่ายของพวกเปิง

และเมื่อขึ้นไปถึงครึ่งทาง เขาก็ได้พบกับกลุ่มทหารของกองทัพเปิงที่เฝ้าระหว่างทาง ที่พากันชักอาวุธออกมาล้อมรอบเจียงหลูเอาไว้ พร้อมถามอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นใคร ?”

“ข้าเป็นสหายเก่าของแม่ทัพจีหยิง ขอรบกวนพวกท่านไปรายงานให้เขาหน่อย” เจียงหลูเป็นเพียงบัณฑิต เขาไม่เคยฝึกฝนศิลปะการต่อสู้หรือพลังปราณมาก่อน ทว่าแม้จะถูกล้อมรอบด้วยทหารศัตรูมากมาย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความกลัวใด ๆ ออกมา

“สหายเก่าของท่านแม่ทัพใหญ่ ?” หัวหน้ากองทหารเปิงขมวดคิ้วและมองไปที่เจียงหลูอีกสองสามครั้งด้วยความไม่เชื่อ

ตอนนี้เส้นทางขึ้นภูเขาถูกกองทัพเทียนหยวนปิดกั้นไว้แล้ว ถ้าคน ๆ นี้เป็นสหายเก่าของท่านแม่ทัพจริง ๆ เขาจะมาที่นี่ได้อย่างไร ? อย่างไรก็ตาม วิธีที่อีกฝ่ายพูดก็ดูน่าเชื่อถือไม่น้อย ดังนั้นแล้วหัวหน้ากองทหารเปิงจึงได้ถามออกมาว่า “เจ้าชื่ออะไร ?”

“เจียงหลู” เขาหัวเราะและพูดต่อเบา ๆ ว่า “ข้าคิดว่าแม่ทัพจีหยิงคงจำข้าไม่ได้อีกแล้ว ช่วยส่งข้อความไปให้ด้วย ว่าถ้าท่านแม่ทัพไม่ได้พบข้าล่ะก็ เขาจะต้องเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน !”

“งั้นหรือ ?” นายทหารคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับ “รอที่นี่สักครู่ !” ในขณะที่พูด นายทหารผู้นั้นก็ได้หันมองไปทางทหารทั้งซ้ายและขวา เพื่อสั่งให้จับตาดูเจียงหลู และอย่าปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้

เมื่อเขากลับไปที่ค่ายเพื่อรายงานเรื่องนี้แก่จีหยิง ฝ่ายหลังก็พลันขมวดคิ้วทันที ด้วยเขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามนี้มาก่อน ! “ข้าไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้มาก่อน”

“ท่านแม่ทัพ อีกฝ่ายบอกว่าท่านแม่ทัพอาจจำเขาไม่ได้อีกแล้ว และย้ำว่าถ้าเราไม่ให้เข้าพบในตอนนี้ พวกเราอาจเสียใจในอนาคต”

หืม…. ?” จีหยิงเป็นคนฉลาดมาก ดังนั้นทันทีที่ได้ยิน เขาก็พลันเอะใจ และหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนพูดว่า “พาเข้ามา !”

“ขอรับ นายท่าน !” นายกองผู้นั้นตกลงและจากไปอย่างรวดเร็ว

เจียงหลูพร้อมด้วยทหารเปิงหลายคนมาถึงยอดเขาเขี้ยวพยัคฆ์และเข้าไปในค่ายกองทัพเปิง อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาได้เข้าสู่ค่ายของศัตรูแล้ว เขาจึงไม่อยากที่จะพลาดโอกาสนี้ และหลังจากที่เจียงหลูเข้ามาในค่าย ดวงตาของเขาก็ไม่ได้เบิกกว้างอีกต่อไป เพียงจ้องมองไปทางซ้ายและขวา เพื่อจดจำทุกสิ่งที่มองเห็นได้

ค่ายนี้ไม่ใหญ่โตและอาจกล่าวได้ว่ามีขนาดเล็กอย่างน่าสงสาร ด้วยเพราะยอดเขาแห่งนี้มีพื้นที่จำกัด ทำให้ภาพที่ปรากฏดูแออัดเป็นอย่างมาก

เจียงหลูมองไปที่เต็นท์กองทัพกลางเป็นครั้งแรก จากนั้นสายตาของเขาก็จ้องไปที่จีหยิงซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางกลุ่ม เขากำลังมองไปที่จีหยิงและคนหลังก็ให้ความสนใจเขาด้วย

…เมื่อเห็นเจียงหลู จีหยิงก็มั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่สหายเก่าที่จำนานไม่ได้แต่อย่างใด !

ในขณะที่คิด เขาก็พลันเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ “บอกว่าเรารู้จักกันมาก่อน แต่ว่าข้าไม่ยักกะจำเจ้าได้ บอกมาเถอะ เจ้ามีธุระอะไรกับข้า ?”

ในเวลานี้เจียงหลูไม่ได้ซ่อนอะไรอีกต่อไป เขาก้มลงกับพื้นและพูดว่า “เจ้าคงจะเป็นแม่ทัพจีหยิง ?!”

“ใช่ !”

“ที่ข้าอ้างว่าเป็นสหายเก่า ก็เพื่อหวังจะเข้ามาคุยกับเจ้าเท่านั้น !”

ทันทีที่เจียงหลูพูดจบ ทหารยามโดยรอบก็พากันร้องตะโกนออกมา “เจ้ากล้าดียังไง !” ขณะที่พูด ทหารองครักษ์ทั้งสี่คนก็ได้เดินไปข้างหน้าและคว้าจับแขนเจียงหลูไว้ เตรียมลากตัวคนผู้นี้ออกไป

เจียงหลูไม่ได้มองไปที่ทหารทางซ้ายและขวาแม้แต่น้อย สายตาของเขาสบตากับจีหยิงและพูดว่า “เพราะว่าครั้งนี้ข้าได้มาพบท่านแล้ว ถ้าท่านฆ่าข้าตอนนี้ มันจะเป็นผลเสียกับท่านเองนะ !”

จีหยิงแอบขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาส่องประกายออกมา ก่อนที่จะโบกมือให้ทหารทั่งสองแล้วพูดว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”

ทหารโดยรอบไม่กล้าขัดคำสั่ง พวกเขาพากันถอยออกไป

หลังจากพวกเขาจากไป จีหยิงก็พลันถามขึ้น “หมายความว่าอย่างไร ?”

เจียงหลูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ถ้าแม่ทัพจะฆ่าข้าก็เท่ากับตัดเส้นทางการล่าถอยของท่านเอง และเมื่อหมดทางเลือก ท่านก็อย่าหวังเลยว่าจะได้รอดกลับไป”

จีหยิงตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะหัวเราะออกมาราวกับกำลังรับฟังเรื่องตลกขบขัน “สุนัขจากกองทัพเทียนหยวนอย่างงั้นสินะ ข้าขอบอกเอาไว้ก่อน ไม่ว่าเจ้าจะกดดันข้ามากเท่าไหร่ ก็อย่าหวังว่าข้าจะยอมจำนน !”

แปะ แปะ แปะ

เมื่อจีหยิงพูดจบ เจียงหลูก็ปรบมือด้วยรอยยิ้มและพูดอย่างเฉยเมย “ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นคนที่ห้าวหาญอย่างที่เขาว่ากัน แต่ท่านเคยคิดไหมว่าพวกทหารที่ท่านภาคภูมิใจจะไม่ได้คิดเหมือนกับท่าน ?”

“ถ้าเข้าร่วมกองทัพแล้วครั้งหนึ่ง ชีวิตนี้ก็อย่าได้หวาดกลัว !”

“ท่านแม่ทัพพูดถูก ! แต่อย่างไรก็ตาม ทหารภายใต้การบังคับบัญชาของท่านตอนนี้ไม่ใช่ทหารที่แท้จริง พวกเขาทั้งหมดเป็นประชาชนธรรมดาที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมกองทัพ พวกเขาเป็นสามัญชนที่ไม่เคยเข้าสู่สนามรบมาก่อน ท่านใจแข็งมากพอที่จะดูพวกเขาทั้งหมดตายในสนามรบจริงหรือ ? หากเป็นเช่นนั้นท่านจะได้รับชื่อ ว่าเป็นแม่ทัพที่โหดร้ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของแคว้นเฟิงเป็นแน่ !”

คำพูดของเจียงหลูนั้นมีพลังอย่างคาดไม่ถึง ทำให้ใบหน้าของจีหยิงแดงก่อนที่จะซีดเซียว พูดอะไรไม่ออกไปเป็นเวลานาน

หลังจากนั้นไม่นาน จีหยินก็ได้กำหมัดแน่น และส่งเสียงถามรอดระหว่างฟันของเขาออกมา “เจ้าคิดว่ากองทัพของเจ้าจะชนะข้าได้อย่างนั้นเหรอ ?”

“ฮ่า ! ฮ่า ! ฮ่า !” เจียงหลูหัวเราะและถามกลับ “ท่านแม่ทัพ ท่านคิดว่าภูเขาลูกนี้เพียงพอที่จะขวางกองทัพเทียนหยวนจำนวน 5 แสนคนของข้าไหมเล่า ?”

‘มันเป็นไปไม่ได้ !’ แม้แต่จีหยิงเองก็รู้คำตอบ เพราะค่ายทหารที่เชิงเขาก็เพิ่งถูกทำลายไปเมื่อไม่นานมานี้ และที่เหลือก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น ก่อนที่กองทัพเทียนหยวนจะทำมันอีกครั้ง !

…คำถามสำคัญคือเขาจะยื้อกองทัพเทียนหยวนได้นานแค่ไหน ? และเขาจะซื้อเวลามากพอที่เจ้านายของเขาจะได้เตรียมตัวทันหรือไม่ ?

“ท่านโง่มากที่รับใช้ซ่งเทียน !” เสียงของเจียงหลูดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว

จีหยิงขมวดคิ้ว มองไปที่เจียงหลูด้วยแววตาประสงค์ร้าย

เจียงหลูกล่าวว่า “ข้าเป็นแค่กุนซือ แต่ข้าก็ยังรู้ว่าซ่งเทียนสังหารท่านอ๋องและทรยศต่อแคว้น แล้วแม่ทัพอย่างท่านเล่า ? ท่านมองไม่เห็นความจริงข้อนี้เลยอย่างนั้นเหรอ ?”

ใบหน้าของจีหยิงดุดันมากขึ้นทุกครั้งที่เจียงหลูพูด สวนทางกับแววตาของเขาที่หลุบต่ำลง

เจียงหลูยังคงพูดต่อไป “อ๋องทรราชย์ซ่งเทียน ท่านยินดีแล้วหรือที่มีเจ้านายเช่นนี้ ? มีเจ้านายเป็นอ๋องที่ยอมขายแคว้นตัวเองให้แก่แคว้นหนิง !”

“คนผู้นี้เพียงต้องการทำเพื่อความรุ่งเรืองของตัวเองเท่านั้นโดยไม่สนใจประชาชน มันผู้นั้นต้องการเพียงแค่เห็นกองทัพเทียนหยวนล่มสลาย แต่มีกี่คนกันที่เต็มใจจะเข้าร่วมกองทัพของมัน ! หากซ่งเทียนเป็นคนที่คู่ควรจริง ๆ บางทีคนหนึ่งหรือสองคนอาจตัดสินเขาผิดไป แต่มันเป็นไปได้จริงหรือที่พลเมืองทั้งหมดของแคว้นเฟิงจะคิดเช่นเดียวกัน ? …แล้วเหตุใดกันเล่า ? เหตุใดท่านแม่ทัพยังต้องการปกป้องคนแบบนั้น ท่านยังยืนยันที่จะอยู่ข้างซ่งเทียนและใช้ชีวิตที่อัปยศราวกับโจรป่าอย่างนั้นเหรอ ?”

อาจกล่าวได้ว่าคำพูดของเจียงหลูเป็นเหมือนสายน้ำที่ไหลหลาก ทุกคำพูดเหมือนดาบที่เสือกแทงเข้าไปยังส่วนลึกของหัวใจจีหยิง ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทบทวนตัวเองอีกครั้งหนึ่ง !