ตอนที่ 569 ข้าต้องกลับไป
ซู่ซีเห็นเขาร้อนใจจนวิ่งวนไปมาอยู่ตรงนั้นก็นิ่งงันไป ไม่ไปสนใจเขา แต่เดินออกไปนอกเขตเรือนเพื่อต้อนรับกลุ่มคนที่เดินมาทางด้านนี้ เมื่อมองผ่านไปบนร่างพวกเขา สายตาก็หยุดลงบนร่างเหลิ่งซวงในชุดรัดรูปสีดำ
แต่มองไปพักหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่เหมือน สายตาจึงเคลื่อนไปหยุดบนร่างหนุ่มน้อยที่สวมชุดแดง พินิจมองจากบนลงล่างก็ยังมองไม่ออกว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นผู้หญิง ดังนั้นจึงจำใจถาม “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินซานหยวนบอกว่าแม่หนูเฟิ่งมา นี่… คือคนไหนหรือ”
“ฮ่าๆ เจ้าก็มองไม่ออกหรือ? เป็นนาง แม่หนูคนนี้แต่งตัวเป็นชายมา แม้แต่ข้ายังดูไม่ออกเลย!” หลินป๋อเหิงหัวเราะเสียงดัง ถามว่า “ซานหยวนเล่า? เจ้าว่าเขาเป็นอะไรไป? หลานสาวมาหาไม่นึกว่าจะซ่อนตัวไม่พบใคร? มีปู่เช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”
“บอกว่าเห็นหลานสาวมา ร้อนรนจนวิ่งวนไปมาอยู่ด้านใน ข้าเห็นท่าทางเขา เหลือแค่ยังไม่หารูเข้าไปซ่อนเท่านั้นเอง” ซู่ซีปิดปากหัวเราะเบาๆ ก่อนมองไปทางเฟิ่งจิ่ว “เจ้าคือแม่หนูเฟิ่งสินะ? แต่งชุดบุรุษได้ดีกว่าบุรุษจริงๆ เสียอีก หากไม่บอกก็มองไม่ออกเลยจริงๆ”
“ท่านน้าซู่ซี” เฟิ่งจิ่วยิ้มพลางขานเรียก “ท่านน้าซู่ซีตัวจริงงามกว่าในรูปวาดอีกเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ ซู่ซีนิ่งงันไปนิด “รูปวาด?”
“ใช่เจ้าค่ะ! ข้าเห็นรูปวาดท่านน้าซู่ซีที่อยู่กับท่านปู่ เป็นเช่นนี้จึงมาหาถึงที่นี่ได้” ขณะพูด เฟิ่งจิ่วมองอีกฝ่ายตาปริบๆ “ท่านปู่ข้ารักถนอมรูปวาดสาวงามนั้นมาก”
ซู่ซีได้ฟังก็เม้มปากยิ้ม “มิน่าล่ะปู่เจ้าถึงบอกว่าเจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย วันนี้นับว่าข้าเข้าใจแล้ว” แค่คำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยค นางก็รู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรที่เฟิ่งจิ่วส่งมา ในใจจึงอิ่มเอมเช่นกัน
“ข้าจะเข้าไปหาท่านปู่ก่อน มาหาตั้งไกลเพียงนี้ เห็นข้าเขาไม่ประหลาดใจกลับตกใจเสียจนต้องซ่อนตัว ช่างทำร้ายจิตใจข้าจริงๆ” เธอกล่าวอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นสาวก้าวเดินไปด้านใน ก็เห็นผู้เฒ่าที่คิดจะซ่อนตัวแต่อายที่จะทำเช่นนั้นหันกลับมามองอย่างกระดาก
“มะ แม่หนูเฟิ่ง! หลานมาได้อย่างไร?” หลบก็ไม่ได้ เลี่ยงก็ไม่ได้ ผู้เฒ่าเฟิ่งได้แต่ต้องเผชิญหน้า แต่คิดว่าหากจะให้หลานสาวรู้เรื่องความหลังรักๆ ใคร่ๆ ของตาเฒ่าเช่นเขาก็เขินอายอยู่บ้าง
“ท่านปู่ ท่านไม่ดีใจที่เห็นข้าหรือ?” เธอเก็บรอยยิ้มบนหน้าไป และเผยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ “หรือท่านคิดถึงแต่ท่านน้าซู่ซี จึงไม่ต้องการแม่หนูเฟิ่งแล้ว?”
“ไม่ๆๆ ไม่ใช่ ไม่ใช่จริงๆ” ผู้เฒ่าเฟิ่งโบกมือรัวๆ วิตกกังวลจนเหงื่อออก
“หึ!”
เห็นท่าทางเขาแล้ว เฟิ่งจิ่วหลุดหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “พอแล้วท่านปู่ ข้าแกล้งท่านเล่นน่ะ! เรื่องท่านกับท่านน้าซู่ซีข้ารู้หมดแล้ว ครั้งนี้มาแค่อยากเห็นเสียหน่อยว่าท่านสบายดีหรือไม่ จากนี้ไปจะทำเช่นไร? ข้ารู้ว่าท่านปลอดภัยไม่เป็นอะไร แต่ท่านพ่อยังเป็นห่วงนะเจ้าคะ!”
แม้เธอบอกท่านพ่อว่าท่านปู่จะไม่เป็นอะไรแน่ แต่ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาจะวางใจลงได้อย่างไร?
ผู้เฒ่าเฟิ่งยิ้มเจื่อนๆ ชำเลืองมองทุกคน สายตาหยุดลงบนร่างเฟิ่งจิ่ว บอกว่า “แม่หนูเฟิ่ง เดิมทีปู่คิดว่าอีกสองวันจะกลับไป ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมาหา”
ได้ยินเช่นนี้ แววตาเฟิ่งจิ่วอมยิ้ม “เช่นนั้นท่านปู่จะกลับไปหรืออยู่ที่นี่ก่อน? ข้ากลับไปบอกให้ท่านพ่อเตรียมตัวก็ได้?”
“ไม่ๆๆ ข้าต้องกลับไป” เขารีบร้อนบอก เสียงพูดหยุดไป มองซู่ซีและกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าต้องกลับไปจัดการด้วยตนเอง”
………………………………………………….
ตอนที่ 570 กล่าวถึงรายชื่อผู้มีพรสวรรค์ครั้งแรก
ซู่ซีเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “เช่นนั้นก็กลับไปเถอะ! กลับไปด้วยกันกับแม่หนูเฟิ่ง ข้าจะรอท่านที่นี่”
เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วจึงเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเพิ่งมาเอง! อย่างไรก็ต้องเที่ยวเล่นที่นี่สักพัก ท่านปู่อยากกลับต้องรออีกหลายวันถึงจะได้”
ผู้เฒ่าเฟิ่งมองนาง ยิ้มเก้อเขิน ไม่ได้ปริปาก ซู่ซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อมาแล้วก็พักอยู่ที่นี่ก่อนสักระยะเถอะ ไม่ต้องรีบกลับไปเดี๋ยวนี้หรอก”
“จริงด้วย! มาแล้วก็ต้องไปดูทิวทัศน์เมืองซานเจียงเสียหน่อย ในเมืองมีสถานที่เที่ยวเล่นไม่น้อย ถึงเวลานั้นจะให้ซู่ซีพาพวกเจ้าไปเดินเล่น” หลินป๋อเหิงพูด มองพวกเขาแวบหนึ่งก่อนกล่าว “พวกเจ้าคุยกันไปก่อน ข้าต้องไปจัดการด้านหน้า คืนนี้จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้พวกเจ้า”
จากนั้นค่อยกำชับซู่ซี “ซู่ซี รับรองพวกแม่หนูเฟิ่งดีๆ อย่าได้ละเลย”
“พี่ใหญ่โปรดวางใจ ข้ารู้แล้ว” ซู่ซีพยักหน้ายิ้มให้ รอเขาออกไปแล้วก็มองทางเฟิ่งจิ่ว แล้วมองเซวียนหยวนโม่เจ๋อ จากนั้นถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้นี้มีนามว่าอะไร?”
“เขาแซ่หลิง เป็นสหายข้าเจ้าค่ะ” เฟิ่งจิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ คุณชายหลิง” เธอพยักหน้าทักทายเล็กน้อยพลางถามว่า “ข้าพาพวกเจ้าไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้เป็นอย่างไร?”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ท่านน้าซู่ซี ท่านกับท่านปู่คงยังไม่ได้กินอาหารเช้ากระมัง? พวกท่านกินก่อนเถอะ พวกเราไปเดินกันเองก็ได้ เมื่อครู่ตอนเข้ามาเห็นสวนดอกไม้จึงรู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน” เธอเห็นนานแล้วว่าบนโต๊ะมีอาหารเช้าวางไว้ เดาว่าสองคนนี้คงยังไม่ได้กิน
“เช่นนั้นได้อย่างไร” ซู่ซีส่ายหน้าหลุดยิ้ม
“ไม่เป็นไรๆ แม่หนูเฟิ่งหาใช่คนอื่นคนไกล”
ผู้เฒ่าเฟิ่งพูดขึ้น พลางบอกกับเฟิ่งจิ่วว่า “แม่หนูเฟิ่ง เจ้าไปเถอะ! รอปู่กินอาหารเช้าเสร็จสักพักจะเข้าไปหาเจ้า” หัวใจเขายามนี้ยังตื่นตระหนก การปรากฏตัวกะทันหันทำให้เขาตกใจจนยังไม่ทันได้ตั้งสติกลับมา อย่างไรก็ต้องพักก่อนเสียหน่อย
“เช่นนั้นก็ดี!” ซู่ซีจนปัญญา ทว่าไม่ให้พวกเขาไปกันเอง แต่เรียกสาวใช้มานำทางไป
“ท่านปู่ เดี๋ยวเจอกันนะเจ้าคะ” เฟิ่งจิ่วขยิบตาไปทางท่านปู่พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นถึงจะออกไปกับเซวียนหยวนโม่เจ๋อ
เดินไปรอบๆ จวนตระกูลหลิน นอกจากพวกข้ารับใช้กับทหารอารักขาก็ไม่เห็นมีผู้น้อยในตระกูลปรากฏตัว ดังนั้นเฟิ่งจิ่วจึงถามอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “ตระกูลหลินนี้คงมีลูกชายไม่น้อย แต่ทำไมไม่เห็นใครเลย?”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อชำเลืองมองนาง เห็นสีหน้านางไม่เข้าใจ จึงเอ่ยปากคลายความสงสัย “หากเป็นลูกชายตระกูลใหญ่ ทั้งคนโตคนเล็กล้วนต้องถูกส่งเข้าไปฝึกบำเพ็ญและร่ำเรียนในสำนักศึกษา หนึ่งปีจะกลับมาหนึ่งถึงสองครั้ง เป็นปกติที่จะไม่เห็นใคร”
“อ้อ? เช่นนั้นทำไมพวกตระกูลในราชวงศ์เฟิ่งหวงข้าถึงไม่มี?” เธอกะพริบตาถาม
“แคว้นเล็กระดับเก้ายังไม่ถึงระดับนั้น แม้อยากส่งเข้าสำนักศึกษาก็ยังไม่มีคุณสมบัติ แต่ข้าจำได้ว่าทุกสามปีพวกเจ้าจะมีการแข่งขันเกณฑ์คนเข้าสำนักศึกษาหนึ่งครั้ง”
“อืม เหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ว่ากันว่าแม้จะเข้าร่วมได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา เพราะว่าถูกปัดตกไป” เธอกล่าว คิดๆ แล้วยังถามอีกว่า “เริ่มจากสำนักศึกษาหกดาราแห่งแคว้นเหินเวหาแล้วกัน คล้ายจะเคยอ่านข้อมูลมาว่าสำนักศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับแคว้นระดับหกลงไปคือสำนักศึกษาหกดารา”
“ไม่เลว” เขาพยักหน้า ดวงตาลึกล้ำหยุดลงบนร่างนาง “รอจัดการเรื่องปู่เจ้าเรียบร้อยก็เข้าไปฝึกบำเพ็ญที่สำนักศึกษาหกดาราเสีย! ด้วยคุณสมบัติเจ้า หากเข้าไปอยู่ในรายชื่อผู้มีพรสวรรค์ได้ภายในหนึ่งปีก็เข้าร่วมการคัดเลือกของสำนักศึกษาอื่นได้แล้ว”
………………………………………………….