บทที่ 180 หลอมรวมเป็นการสำนึก
หญิงสาวชุดขาวมึนงงอยู่ชั่วขณะ แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นคืนสติ มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
เมื่อสายตาของนางตกไปอยู่ที่ร่างของหลัวซิว ความเยือกเย็นแวบผ่านดวงตาอันงดงามพร้อมกับคำพูดที่ระแวดระวัง “เจ้าเป็นใคร?”
เสียงของนางดูอิดโรย แต่กลับไพเราะราวเสียงจากธรรมชาติ ทำให้คนฟังได้ยินแล้วใจสั่น
“เจ้าถูกไล่ฆ่า ข้าช่วยเจ้าไว้” หลัวซิวตอบตามความจริง
ในขณะนั้นเอง หญิงสาวชุดขาวก็สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าและผ้าคลุมหน้าของนางไม่มีอะไรที่ผิดปกติไปจากเดิม จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วมองไปยังหลัวซิวอีกครั้งแววตาที่ซาบซึ้งเปล่งประกายในดวงตาที่สวยงามของนาง
“ข้าขอบใจ” นางพยายามฟื้นตัวลุกขึ้น เอาหลังพิงเข้ากับผนังถ้ำหิน และพูดกับหลัวซิวด้วยน้ำเสียงอิดโรย
หลัวซิวพยักหน้า แล้วหันสายตาไปอีกทาง
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อสบตากับหญิงสาวชุดขาว ใจของเขาก็หยุดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว เมื่อเห็นท่าทีที่อิดโรยของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่คิดอยากจะปกป้องนาง
หลัวซิวไม่แน่ใจว่าความรู้สึกเช่นนี้มาจากไหน นี่ทำให้เขาต้องระวังตัวกับหญิงสาวชุดขาวคนนี้ เพราะเขารู้สึกว่าจิตใจแบบนี้ไม่ปกติ
หญิงสาวชุดขาวเหมือนจะสามารถรับรู้ได้ถึงความระวังตัวของหลัวซิวที่มีต่อตัวนาง มันทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก หรือนางยังสามารถทำร้ายเขาได้อีกอย่างนั้นหรือ?
บาดแผลบนตัวนางถูกขยับโดยไม่ทันระวัง หญิงสาวชุดขาวเจ็บจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้าซีดเซียว ร่างบางสั่นไหวไปทั้งตัว
ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของการบาดเจ็บ นัยน์ตาของหญิงสาวชุดขาวเผยให้เห็นแววของความสิ้นหวัง
ดูจากการบาดเจ็บของนางในตอนนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเคลื่อนไหว แม้แต่จะทำลายยันต์หยกแดงเพื่อหายออกไปจากที่นี่ก็ยังไม่สามารถทำได้
ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นตัวที่สิ้นหวัง เพราะหากแม้ต้องตกไปอยู่ในมือของใคร เกรงว่าตอนจบคงไม่สวยงามเป็นแน่
“เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่าเพิ่งฝืนขยับตัว”
ถึงแม้หลัวซิวจะกดความรู้สึกพวกนั้นไว้ข้างใน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงนาง
“หืม?” ในเวลานี้เอง หลัวซิวก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป รับรู้ถึงการสำนึกที่กวาดผ่านมาทางด้านนอกของค่ายกล ทั้งยังทำให้ค่ายกลเกิดความผันผวนอีกด้วย
ทั้งนี้ การสำนึกที่ส่งเข้ามาสำรวจนั้นไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นสอง
“สวบ! สวบ!”
เสียงร้าวทั้งสองดังขึ้นเกือบจะในทันที ดังขึ้นภายนอกรอบ ๆ ค่ายกลที่หลัวซิวสร้างไว้
“หึ ใครกันที่สร้างค่ายกลนี้ขึ้นมา ฝีมือช่างหยาบกระด้างเสียจริง” หนุ่มชุดหยินหยางคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
กลางอกของหนุ่มชุดหยินหยาง มีตรานักค่ายกลระดับสี่แขวนอยู่
“เฮอะ ๆ นักค่ายกลนอกรีต จะทัดเทียมเสมอเหมือนอัจฉริยะแห่งแก๊งนักค่ายกลอย่างเจ้าได้อย่างไร?”
ข้าง ๆ หนุ่มชุดหยินหยาง มีชายหนุ่มร่างกำยำยืนอยู่ตรงนั้น เขาตัวสูงกว่าแปดฟุต ดูราวกับเป็นยักษ์ตัวเล็ก ๆ ผิวพรรณผ่องใสเป็นประกายระยิบระยับ มีขวานขนาดใหญ่สองอันที่พาดไปทางด้านหลัง
ภายในถ้ำหิน หลัวซิวกระจายการสำนึกออกไป เมื่อสังเกตพบทั้งสองคนนั้น แววตาก็พลันสั่นไหวเล็กน้อย
ตามสถิติที่องค์กรนักล่ายุทธ์มีบันทึกอยู่ในมือ ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับทั้งสอง คนหนึ่งคืออัจฉริยะแห่งแก๊งนักค่ายกล ยี่ซวน ส่วนอีกคนคืออัจฉริยะแห่งแก๊งนักหลอมอาวุธ เหมิงขวง
ยี่ซวนฝึกวิชาค่ายกล สามารถใช้ความคิดสร้างค่ายกลระดับสี่โจมตีศัตรูได้ อีกทั้งตัวเขายังมีผลการฝึกตนแห่งแดนฝึกจิตขั้นสอง พลังที่แท้จริงนั้นสามารถเทียบเท่าได้กับปรมาจารย์ยุทธ์แห่งฝึกจิตขั้นสี่!
ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้นสี่ ที่จริงถือได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งแดนฝึกจิตระดับกลางแล้ว
ระดับสามกับระดับสี่ ระดับหกกับระดับเจ็ด ล้วนเป็นแดนลุ่มน้ำเล็ก ๆ เก้าแห่ง ดูเหมือนไม่แตกต่างกันเท่าไร แต่ความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างอย่างก้าวกระโดด
เหมิงขวงเก่งกาจเรื่องการหลอมอาวุธ และยังเป็นหนึ่งในปรมาจารย์หลอมอาวุธระดับสี่ และนักหลอมอาวุธทุกคนต่างก็เป็นการกลั่นร่างอย่างปราณีต ร่างเนื้อน่าทึ่ง และเหมิงขวงคนนี้ก็คือผู้โหดเหี้ยมที่บรรลุถึงร่างยุทธ์ขั้นสูงแห่งแดนร่างเนื้อ!
หญิงสาวชุดขาวร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่การสำนึกกลับยังใช้การได้อย่างดี นางก็สามารถรับรู้ได้ถึงการมาของทั้งสองคนที่ด้านนอก ใบหน้าเรียวงามยิ่งซีดเซียวลงไปอีกไม่น้อย
นางยังจำที่มาของทั้งสองได้ แต่ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่ช่วยนางเอาไว้คนนี้ แม้แต่แดนฝึกจิตก็ยังไม่บรรลุ สามารถรักษาตัวเองได้หรือไม่ก็ยังไม่สามารถตอบได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยื่นมือเข้ามาช่วยนางเลย
“ของเล่นโง่ ๆ อย่างค่ายกลระดับสี่ แค่สะบัดมือก็สามารถทำลายได้แล้ว”
ด้านนอกของถ้ำ ยี่ซวนพลิกมือหยิบเอาธงค่ายสีทองออกมา เมื่อสะบัดมือ ธงค่ายก็กลายเป็นสำแสงสีทองพุ่งไปทางด้านหน้า
เสียงปุ้งปั้งก้องกังวาน…
ตามด้วยเสียงดังสนั่นของแผ่นดินไหว ค่ายกลระดับสี่ที่หลัวซิวสร้างไว้ก็พลันสลายไปโดยสิ้นเชิง ถูกคนทำลายราบเป็นนาบกลอง
ถึงแม้หลัวซิวจะมีระดับความรู้ทฤษฎีเทียบเท่าปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีการสืบทอดสารพัดวิชาเหมือนดั่งเช่นเหล่าแก๊งนักค่ายกล เขาก็เปรียบเสมือนพวกนอกรีต
ค่ายกลถึงทำลาย ธงค่ายที่ซ่อนไว้ก็ปรากฏขึ้นมา
“หืม? ลายเส้นสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนธงค่ายของค่ายกลพวกนี้ มีความประณีตอยู่ไม่น้อย…”
ยี่ซวนรี่ตาลง สังเกตุเห็นลายเส้นสัญลักษณ์ที่อยู่บนธงค่าย
ระดับค่ายกลของหลัวซิวมาจากความเข้าใจในรูปแบบดั้งเดิม ในความลึกลับที่มากมายนั้นก็ถูกเขานำมาผสมอยู่ในการสร้างค่ายด้วย
ยี่ซวนคืออัจฉริยะแห่งแก๊งนักค่ายกล ได้รับการปลูกฝังอย่างเป็นระบบ สำหรับวิสัยทัศน์และความเข้าใจของวิชาค่ายกล ห่างชั้นกับหลัวซิวมากนัก แค่แวบเดียวก็สามารถมองความลึกลับที่ซ่อนไว้ในธงค่ายเหล่านี้ออกแล้ว
“นักค่ายกลชั้นต่ำเช่นนี้ มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะครอบครองธงค่ายระดับนี้หรือ?”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ยี่ซวนปล่อยการสำนึกให้ม้วนออกไป ยึดเอาธงค่ายทั้งหมดมาเป็นของตน
ในถ้ำหิน ได้ยินยี่ซวนพูดถึงการสร้างค่ายกลของตนด้วยคำดูถูกต่าง ๆ นา ๆ สีหน้าของหลัวซิวก็พลันหม่นลง
อีกทั้งเวลานี้ อีกฝ่ายกลับกำลังจะแย่งเอาธงค่ายของตนไปด้วยนั้น การสำนึกของหลัวซิวก็สามารถรู้ได้ในทันที
เวลาที่นักค่ายกลวาดลายเส้นสัญลักษณ์ ภายในธงค่ายจะทิ้งรอยประทับของตนไว้ นักค่ายกลคนอื่น ๆ ที่ต้องการแย่งชิงธงค่ายต้องลบรอยประทับของอีกฝ่ายให้หมดไปก่อน แล้วประทับรอยของตนเองลงไปถึงจะสามารถเอาไปได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อยี่ซวนกระจายการสำนึกของตนเองออกไป การสำนึกระหว่างคนทั้งสอง ก็ชนกันอยู่ภายในธงค่าย
หลัวซิวเพิ่งจะหลอมรวมเป็นการสำนึก ยังไม่นิ่ง แต่ยี่ซวนคือนักค่ายกลตัวจริง มีวิชาการฝึกตนที่ประณีต และการสำนึกที่แข็งแกร่ง
เมื่อชนเข้าด้วยกัน การสำนึกของหลัวซิวก็พังทลายลงทันที
“ฮะฮ่า การสำนึกช่างบอบบาง ไม่แปลกเลยที่สร้างค่ายกลระดับสี่ได้ได้เหมือนขยะเช่นนี้” ยี่ซวนที่อยู่ด้านนอกถ้ำหินหัวเราะเสียงดังด้วยความผยอง
ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็มีเจตนาฆ่าฟันทะลุผ่านการสำนึกเข้ามา!