บทที่ 340
บทที่ 340

หลังจากเฉียดผ่านประตูนรกมาได้สักพัก เจียงหลูก็ได้สติ ทว่าเขาก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา จึงเพียงจับหัวทั้งสองนั่นไว้และหันมองไปยังรองแม่ทัพสักพัก ก่อนจะหันหลังกลับและวิ่งลงจากภูเขาไป

“ท่านขอรับ ! ช้าก่อนขอรับ !” เมื่อมองเห็นท่าทีเหมือนกำลังจะหนีเอาชีวิตรอดแบบนั้น รองแม่ทัพก็พลันส่ายหัวและหัวเราะออกมา แล้วจึงหันหน้าไปมองกองทหารที่นำโดยนายกองทั้งสองที่เพิ่งตายไป ก่อนจะร้องสั่งเสียงเข้ม “กลับค่าย ! ถ้าใครกล้าขัดคำสั่งนี่คือผลลัพธ์ !” ขณะที่พูด รองแม่ทัพก็จงใจใช้เท้าเตะไปยังศพที่ไร้ศีรษะนั่น

คำพูดของเขาเกิดผลลัพธ์ในทันที ทำให้พวกทหารเปิงกลุ่มนั้นพากันวิ่งกลับไปยังค่ายด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว

สำหรับเจียงหลู มาตอนนี้เขาก็ได้ลืมไปแล้วว่าตนเองล้มลงกี่ครั้งระหว่างลงจากภูเขา เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง และใบหน้าของเขาก็ปกคลุมไปด้วยคราบสกปรก

….หลังจากกลับมาที่ค่ายได้สำเร็จ หัวใจของเจียงหลูที่ติดอยู่ในลำคอของเขาจึงค่อยกลับสู่ตำแหน่งเดิม

เมื่อเห็นการปรากฏตัวของเจียงหลู ทหารองครักษ์เทียนหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเอง ด้วยเมื่ออีกฝ่ายเขาออกไปในตอนเช้า คนผู้นี้แต่งตัวดีออกไป แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนผู้ลี้ภัยยังไงยังงั้น !

ทุกคนที่เห็นพากันหัวเราะในใจ แต่พวกเขาไม่กล้าแสดงมันบนใบหน้า และก่อนที่เจียงหลูจะเข้าใกล้ประตูของค่าย พวกทหารก็ได้ออกมาล้อมรอบเขาไว้ “บาดเจ็บที่ตรงไหนหรือไม่ขอรับ ?”

“อืม.. ?” เจียงหลูครวญครางด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาเจ็บปวดไปหมดทุกส่วน ก่อนที่เขาจะโบกมือด้วยความยากลำบากและพูดว่า “ให้ตายเถอะ ข้าเกือบจะไม่ได้กลับมาแล้วด้วยซ้ำ ! พาข้าไปหานายท่านเร็วเข้า !!”

“ขอรับท่าน !” ทหารทั้งหมดตอบสนอง ขณะที่พวกเขาช่วยกันพยุงเจียงหลูไป และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงจับหัวที่เปื้อนเลือดทั้งสองอยู่ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ท่าน นี่หัวของใครกัน ?”

เมื่อได้ยินคำถามนั่น เจียงหลูก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขายังถือหัวคนสองหัวอยู่ในมือ เลยกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว และโยนมันให้กับทหารข้าง ๆ โดยไม่รู้ตัว

เจียงหลูถูกทหารพาเข้าไปในค่ายหลักของกองทัพ โดยมีถังหยินและแม่ทัพคนอื่น ๆ ที่ได้ยินรายงานรอกันอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อพวกเขาเจียงหลูถูกอุ้มเข้ามาในสภาพที่น่าสังเวช พวกเขาก็อยากจะหัวเราะออกมา ทว่าก็ต้องกลั้นเอาไว้ด้วยมันไม่เหมาะไม่ควรที่จะทำแบบนั้น

มุมปากของถังหยินตกลงโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน “เจียงหลู… เจ้าโดนทำร้ายมาอย่างนั้นหรือ ?”

“ขอรับ ! อะ… ไม่ ! ไม่ !… แต่ก็โดนมาเหมือนกัน !” เจียงหลูนั่งบนเก้าอี้และอ้าปากหอบหายใจ

เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ถังหยินก็ขมวดคิ้ว อะไรคือทั้งใช่และไม่กัน ?? เจียงหลูไม่ได้โดนทำอะไรมาใช่ไหม !?

ในเวลานี้ถังหยินไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาอีกต่อไป ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “พวกเปิงนั่นไม่เคยที่จะจำอะไรเลยใช่ไหม คราวก่อนก็สังหารทูตของเรา ครั้งนี้ก็ยังจะมาทำร้ายทูตของเราอีก ข้าจะไปล้างบางพวกมันเดี๋ยวนี้เลย !”

“พวกข้ายินดีที่จะร่วมรบด้วยขอรับ !” เป็นอู่กวง จ้านหู หยวนอู่ หยวนเปียว และแม่ทัพคนอื่น ๆ ที่พูดขึ้นพร้อมกับก้าวมาข้างหน้า

“เดี๋ยวก่อน ! เดี๋ยวก่อน !” เมื่อเห็นว่าพวกแม่ทัพกลายเป็นแบบนี้ เจียงหลูก็ตกใจ เขารีบนั่งลงบนเก้าอี้และโบกมือห้ามพัลวัน

“มีอะไร ?” อู่กวงถาม

เจียงหลูกลืนน้ำลายของเขาและหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “ข้าขอเวลาพักหายใจสักครู่ได้ไหมขอรับ ?”

ทหารยามคนหนึ่งหยิบชามน้ำใบใหญ่แล้วส่งให้เจียงหลู หลังดื่มมันทั้งหมดในครั้งเดียว เขาก็พลันเอนหลังและถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ

ทุกคนจ้องไปที่เจียงหลูขณะที่รอให้อีกฝ่ายพูด ก่อนที่สักพักต่อมา จะเป็นเจียงหลูที่มองไปรอบ ๆ และพูดออกมา “พวกมันมีกำลังทหารประมาณ 70,000 ถึง 80,000 และยังมีรถศึกกับก้อนหินขนาดยักษ์อีกนับไม่ถ้วน”

เอ๊ะ ? ทุกคนต่างก็เลิกคิ้ว พวกเขาไม่เข้าใจว่าเจียงหลูหมายถึงอะไร นี่เขาต้องการจะทำลายขวัญกำลังใจของฝ่ายเดียวกันหรืออย่างไร ? และโดยไม่ต้องรอให้ใครพูดแทรก เจียงหลูก็พลันเงยหน้าขึ้นมองไปที่จ้านหูที่สูงที่สุดและแข็งแกร่งที่สุด ก่อนจะโบกมือไปทางอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพจ้านหู ท่านช่วยข้าที !”

พักหลังมานี้จ้านหูได้เรียนรู้ภาษาเฟิงมาไม่น้อย ทำให้แม้ว่าเขาจะพูดไม่เก่ง แต่เขาก็พอจะทำความเข้าใจได้ และหลังจากได้ยินคำของเจียงหลู ชายร่างใหญ่ก็พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินไปดึงเจียงหลูขึ้นจากเก้าอี้

เจียงหลูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและยิ้ม เขาเดินไปหาถังหยินและโค้งคำนับให้ชายหนุ่ม “ยินดีด้วยขอรับนายท่าน ข้าได้เจรจากับจีหยิงแล้ว เขายินดีที่จะยอมจำนนให้กับกองทัพของเราแล้วขอรับ !”

“…!?” เมื่อเขาพูดอย่างนั้น ทุกคนรวมทั้งถังหยินก็ตกใจ จีหยิงยอมรับและยินดีที่จะยอมจำนน ? นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย ถังหยินรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขในเวลาเดียวกัน เขามองเจียงหลูด้วยดวงตาที่ส่องประกายและถามว่า “จริงหรือ ?”

เจียงหลูกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ข้าน้อยไม่กล้าที่จะเพ้อเจ้อกับเรื่องที่ใหญ่โตแบบนี้หรอกขอรับ”

“แล้วบาดแผลนี่คืออะไร ?”

“เป็นฝีมือนายกองที่ภักดีต่อซ่งเทียน !” คำพูดของเจียงหลูลื่นไหลเหมือนสายน้ำ ในเวลานี้เขาเล่าเรื่องว่าเขาถูกไล่ล่าโดยนายกอง อย่างไร และเขาได้รับการช่วยเหลือจากรองแม่ทัพของจีหยิงได้อย่างไร แน่นอนว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคำพูดที่เกินจริงเหล่านี้ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเขา

ทุกคนตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้

ในท้ายที่สุดเจียงหลูก็จับหัวทั้งสองนั่นและกล่าวว่า “นี่คือสองหัวของนายกองทั้งสองที่ข้ากล่าวถึงขอรับ จีหยิงต้องการใช้สองหัวนี้เป็นหลักฐานแสดงความมุ่งมั่นที่จะยอมจำนนต่อกองทัพเรา !”

ถังหยินมองไปที่หัวทั้งสอง และแทนที่จะสงบลง เขากลับเกิดความสงสัย ว่าเรื่องที่เล่ามานั้นมีความจริงเท็จแค่ไหน อีกฝ่ายไม่ได้วางแผนสละสองชีวิตเพื่อหลอกตนให้ตายใจใช่ไหม ?

ในขณะที่เขาครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ในใจ ถังหยินก็ได้เอ่ยถามเจียงหลูด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าคำชักชวนของจีหยิงจริงใจหรือปลอมแปลง ?

เจียงหลูที่ได้ยินแบบนั้นก็พลันยืดหลังและตบหน้าอกของตนเอง “นายท่าน ท่านไม่ต้องกังวลไป เมื่อจีหยิงพูดคำว่า ‘ยอมแพ้’ นั้น ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะแสร้งทำเช่นนั้น !”

การรับประกันของเขาไม่เพียงพอสำหรับถังหยิน ดังนั้นชายหนุ่มจึงหันไปหาชิวเจิ้น จางจี้ ซงหยวนและกุนซือคนอื่น ๆ ก่อนจะถามว่า “สุภาพบุรุษทั้งหลาย พวกท่านคิดอย่างไรกันบ้าง ?”

จางจี้กล่าวว่า “กองทัพเปิงไม่มีที่ไป ถ้าเราไม่ต้องการที่จะกวาดล้างพวกเขาทั้งหมด ก็มีเพียงกวาดต้อนเข้ามา จีหยิงไม่ใช่แม่ทัพธรรมดา ดังนั้นเขาสามารถมองเห็นสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจน”

ซงหยวนส่ายหัวและกล่าวว่า: “หัวใจมนุษย์นั้นไว้ใจไม่ได้ ! ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจีหยิงจะยอมจำนนจริงหรือไม่ ดังนั้นนายท่านต้องระวังตัวด้วย !”

หลังจากฟังคำพูดของจางจี้และซงหยวน ถังหยินก็จมดิ่งลงไปในห้วงความคิด

เมื่อเห็นเช่นนั้น เจียงหลูก็ตื่นตระหนก เขายอมเสี่ยงชีวิตและในที่สุดก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้จีหยิงยอมจำนน ถ้ามันล้มเหลว งั้นแล้วที่เขาทำไปเล่า ? เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น ใบหน้าของเขาก็แดงระเรื่อ “นายท่าน ข้าเจียงหลูกล้าที่จะยืนยันด้วยหัวของข้า ว่าจีหยิงต้องการเช่นนั้นจริง ๆ ขอรับ !”

เมื่อเห็นใบหน้าที่จริงจังของเจียงหลู ถังหยินก็หัวเราะและพยักหน้าก่อนพูดว่า “เมื่อเจียงหลูแน่ใจ งั้นแล้วข้าก็จะไปที่เขาเขี้ยวพยัคฆ์ !”

เจียงหลูดีใจมาก เขารีบกล่าวทันทีว่า “ขอบคุณขอรับที่เชื่อใจข้า !”

ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นพากันขมวดคิ้ว ด้วยพวกเขาไม่รู้ว่าจีหยิงจะยอมจำนนจริง ๆ หรือ ?

ชิวเจิ้นกล่าวอย่างแผ่วเบา “ถ้านายท่านต้องการจะยึดกองทหารพวกนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องไปเป็นการส่วนตังก็ได้ สิ่งที่ท่านต้องทำก็แค่ส่งแม่ทัพไปสักคนก็พอแล้ว”

“ฮะ ? ฮ่าฮ่าฮ่า” ถังหยินโบกมือของเขาและหัวเราะ “ถ้าข้าไม่ไปเป็นการส่วนตัว ไม่เพียงแต่จะโดนดูถูก อีกฝ่ายอาจจะมองว่าข้าไม่ให้เกียรติ ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด จีหยิงอาจคิดว่าข้าคนนี้กลัวตาย !” เพราะงั้นแล้ว เอาเป็นว่า… “อู่กวน จ้านหู พี่น้องชางกวน พวกเจ้าทั้งสี่ตามข้าขึ้นไปบนภูเขา !”

“ขอรับนายท่าน !” อู่กวน จ้านหู พี่น้องชางกวนต่างก็ตอบในเวลาเดียวกัน

ทั้งสี่คนนี้ล้วนเป็นแม่ทัพที่แข็งแกร่ง ดังนั้นถ้าพาพวกเขาไป ก็คงไม่มีอะไรให้ถังหยินต้องกังวลอีก

ชิวเจินและคนอื่น ๆ ที่ได้ยินแบบนั้นก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วจึงถามไปว่า “นายท่าน ท่านต้องการจะพาคนไปอีกกี่คน ?”

ถังหยินกล่าวอย่างสบาย ๆ “เราไม่ได้ไปทำสงคราม ดังนั้นแล้วต้องไม่เกินสิบคน !” เขาคิดเรื่องนี้อย่างชัดเจนในใจ

…โดยไม่ต้องรอให้ชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ พูด เจียงหลูก็เป็นฝ่ายที่เปิดปากพูดก่อน เขากล่าวอย่างยินดีออกมาว่า “ความใจกว้างและจิตวิญญาณของนายท่านเพียงพอที่จะทำให้จีหยิงยอมจำนนอย่างแน่นอน ถ้านายท่านไปพบเป็นการส่วนตัว ท่านจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน !”

ถังหยินหัวเราะออกมาดัง ๆ และพูดว่า “ข้าคงต้องขอรบกวนท่านอีกครั้งแล้วล่ะนะ เจียงหลู”

“ขอรับ นายท่าน !” เจียงหลูตอบตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล

ตอนเที่ยงวัน ถังหยินออกจากค่ายทหารเทียนหยวนและเดินขึ้นไปบนภูเขา โดยมีอู่กวน จ้านหู พี่น้องชางกวน และองค์รักษ์ส่วนตัวสิบคนเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างเขา

ซึ่งพวกเขานั้นก็ได้พบเจอเหตุการณ์เช่นเดียวกับเจียงหลู เพราะเมื่อเข้ามาถึงครึ่งทาง ในขณะนี้พวกเขาก็ได้ถูกล้อมไว้โดยทหารเปิงที่ลาดตระเวนอยู่แถวนั้นแล้ว !

เมื่อเห็นเช่นนั้น ถังหยินจึงไม่รอช้า รีบก้าวไปข้างหน้าพร้อมประสานมือของเขาไว้ข้างหลัง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือถังหยิน ข้าอยากที่จะเข้าพบกับท่านจีหยิง !”