บทที่ 591 อยู่ให้ห่างจากคนเสียสติ
การที่ไม่เตะเขาออกไป เพียงแค่ไม่พูดอะไรและเมินเฉยไปนั้น ถือว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ แล้วยังต้องการให้ชายหนุ่มแสดงความรู้สึกที่ดีอีกหรือ
นางรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย
ไป๋อีมองหนิงเมิ่งเหยาที่ตกอยู่ในภวังค์ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเจ็บปวด “หากหญิงสาวอย่างเจ้าไม่เข้าข้างข้าก็ไม่เป็นไร แต่ทำไมต้องมองข้าอย่างรังเกียจเช่นนี้ด้วยเล่า”
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเอ่ยตอบ จู่ๆ ก็มีขาข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านหลัง ก่อนจะฟาดข้างลำตัวของไป๋อีอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ไป๋อีรีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันมองคนด้านหลังอย่างโกรธเคือง จากนั้นจึงถามพลางขบฟันกรอด “พี่ใหญ่เฮย นี่มันความว่าอย่างไรกัน”
เฮยอีมองชายหนุ่มอย่างเยือกเย็น จากนั้นจึงเดินไปหาหนิงเมิ่งเหยา และลูบศีรษะของนาง “อย่าถือสาชายเสียสติคนนี้เลย”
“โอ้ เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ ข้าเพิ่งรู้ว่าตอนนี้เจ้าช่างงดงามขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก” เด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มเจ็ดคนนั้นก้าวเท้ามาด้านหน้า ก่อนจะลูบคลำใบหน้าอันนุ่มละมุนและดูสวยงาม จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าหมอง “ดูเหมือนว่าสามีของเจ้าจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีทุกวัน มิเช่นนั้นเจ้าคงจะไม่อ่อนโยนและงดงามเช่นนี้แน่”
หนิงเมิ่งเหยาชะงักและเกือบจะล้มลง คนๆ นี้ต้องการให้นางเป็นตัวตลกหรืออย่างไรกัน หญิงสาวไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะพูดจาปกติอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจได้
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาไม่เชิญแขกของตนเข้ามาด้านใน จึงเดินออกมาดู แต่บังเอิญได้ยินถ้อยคำของหญิงสาวในชุดแดงพอดี…และนั่นทำให้เขาอยากจะจับนางโยนออกไปในทันที
ชายหนุ่มเดินมาอยู่ข้างๆ หนิงเมิ่งเหยาอย่างสุขุม ก่อนจะดึงตัวนางมากอดไว้แนบอก จากนั้นจึงหมุนตัวจากไป โดยที่มิได้มองหน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
หงอิงมองหญิงสาวที่หลุดออกจากมือของนาง และเมื่อทั้งคู่หายลับจากสายตา นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ชายผู้นั้นฉกฉวยเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ของพวกเราไป”
ไป๋อีมองหงอิงอย่างรังเกียจ “เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกหรือ”
“เสี่ยวไป๋ เจ้าต้องการหาเรื่องทะเลาะกับท่านน้าของเจ้าและข้าหรือ” หงอิงมองไป๋อีด้วยแววตาน่ากลัว ท่าทีที่นางกัดฟันแน่นนั้น ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกได้ว่านางต้องการจะจับคนๆ นั้นโยนออกไป
ไป๋อีไม่สนใจหญิงสาวที่ดูเป็นนางมารร้ายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำ เขากลับพูดจาด้วยท่าทางผ่อนคลายว่า “ท่านน้าของข้าถูกฝังอยู่ใต้ดินแล้ว เจ้าอยากจะไปอยู่กับนางด้วยหรือไม่”
คนอื่นๆ ต่างส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนทะเลาะกันอีกครั้ง ก่อนจะเมินเฉยและเดินเข้าไปด้านใน พวกเขามาที่นี่เพื่อมาหาเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ ไม่ใช่มาฟังคนโง่เง่าสองคนเถียงกัน
ด้านในลานบ้าน เฉียวเทียนช่างกำลังกอดภรรยาไว้แนบอก และคิ้วของเขาก็ขมวดแน่น “เหยาเหยา เจ้าไปรู้จักกับคนเสียสติพวกนี้ได้อย่างไรกัน” หากมีใครได้ยินวาจาที่หญิงสาวคนนั้นพูดออกมา ก็คงจะแทบกระอักเลือด
หนิงเมิ่งเหยามองสามีก่อนจะอธิบาย “พวกเขาอาจจะดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วพวกเขาก็เป็นคนดีและน่ารัก” หลังจากพูดจบ หญิงสาวเกรงว่าชายหนุ่มจะไม่เชื่อ นางจึงผงกศีรษะไม่หยุดเพื่อยืนยันว่าตนเองพูดความจริง
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก” เขาเพียงแค่กดดันที่จะต้องอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ทุกวันเท่านั้น
ชิงซวงมีสีหน้าเหยเกเมื่อรู้ว่าในอนาคตจะต้องอยู่ร่วมกับหงอิงและคนอื่นๆ ที่มาถึง
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านส่งพวกคนสติไม่ดีเหล่านี้ไปที่อื่นได้หรือไม่เจ้าคะ” ชิงซวงคงจะเป็นบ้าตายพอดี นางไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนเสียสติเหล่านี้ได้จริงๆ
เฉียวเทียนช่างแปลกใจที่เห็นชิงซวงแสดงท่าทีเช่นนี้ เพราะในสายตาของเขามองว่านางไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด แต่ตอนนี้ดูราวกับว่าชิงซวงนั้นอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เขาจึงรู้ได้ว่านางกำลังหวาดกลัวคนเหล่านี้อยู่
หงอิงหรี่ตามอง ก่อนจะส่งเสียงจากด้านนอก “เสี่ยวชิงซวง เจ้าคิดจะเฉยเมยกับพี่สาวของเจ้าหรือ”
เมื่อชิงซวงได้ยินคำขู่นั้น ก็รีบวิ่งไปหาหนานอวี่ โดยที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่านางจะหลบอยู่ด้านหลังเขา
หนิงเมิ่งเหยามองชิงซวงอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่านางคงจะถูกทั้งเจ็ดคนนั้นรังแกมาก่อน ตอนนี้ นางจึงหวาดกลัวที่จะต้องพบหน้าพวกเขาอีกครั้ง
หนานอวี่ขมวดคิ้วเพราะไม่เคยเห็นชิงซวงมีอาการเช่นนี้มาก่อน จากนั้นเขาจึงหันหลังไปประคองใบหน้าของนาง และเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ไม่มีอะไรหรอก อย่ากังวลเลย”
ถ้าพวกเขากล้าที่จะแตะต้องชิงซวง หนานอวี่ก็จะทำให้พวกเขาเหมือนกับตายทั้งเป็น
บทที่ 592 จักจั่นลอกคราบ
หากหนิงเมิ่งเหยาได้ยินความคิดของหนานอวี่ นางก็คงจะล้มลงไปกองกับพื้นอย่างแน่นอน
เมื่อหงอิงเดินเข้ามา ก็พบว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังกอดชิงซวงอยู่ และชายผู้นั้นก็มองพวกเขาที่เดินเข้ามาด้านใน พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าชายผู้นี้ไม่ชอบพวกเขา
หงอิงกอดอกและมองชายตรงหน้าพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อย “นี่ พ่อหนุ่ม รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
หนานอวี่ไม่สนใจหงอิง “ไปดูโม่เฟิงกันเถอะ” ตั้งแต่เฉียวโม่เฟิงมาถึงลานบ้านแห่งนี้ เขาก็เริ่มฝึกฝนวิชาการต่อสู้ ภายใต้คำแนะนำของหนานอวี่
เด็กน้อยผู้นี้ค่อนข้างมีความสามารถอย่างยิ่งจนทุกคนประหลาดใจ ไม่รู้ว่ามันเป็นพรสวรรค์จริงๆ หรือว่าในอดีต เขาเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำไป
“ตกลง” ชิงซวงรีบพยักหน้า
หงอิงหรี่ตามองนาง “เสี่ยวชิงซวง พวกเราไม่ได้พบกันมานานมากแล้ว เจ้าไม่คิดถึงพวกเราหรือ”
ก่อนที่ชิงซวงจะตอบ นางก็โดนอีกคนที่อยู่ด้านหลังลากตัวออกไปแล้ว
เมื่อหงอิงถูกอีกฝ่ายเมินเฉย จึงรู้สึกฉุนเฉียว “หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน”
หนานอวี่ไม่อาจทนฟังเสียงของนางได้อีก เขาจึงย่อตัวและอุ้มชิงซวงขึ้น ก่อนจะพุ่งตัวหายไป
หนิงเมิ่งเหยาเห็นสีหน้าถมึงทึงของหงอิง ก็พยายามกลั้นหัวเราะ และอธิบายให้นางฟัง “พี่หงอิง นั่นคือหนานอวี่ เป็นสามีของชิงซวง เขาเป็นคน…ซื่อๆ และไม่ชอบเข้าสังคมเท่าไหร่ อย่าถือสาเขาเลย”
“ฮ่าๆๆ หญิงสาวผู้ร้ายกาจอย่างเจ้าในที่สุดก็มีวันที่ถูกเมิน” ในบรรดาพวกเขาไม่กี่คน ไป๋อีแทบไม่เคยเห็นหงอิงถูกใครเมินเฉยเช่นนี้มาก่อน เขาจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะมองนางด้วยรอยยิ้มยั่วโมโห
หงอิงหันหน้ามองคนที่หัวเราะเสียงสดใสดังลั่น พร้อมกับขบฟันแน่น “เสี่ยวไป๋ หุบปาก”
หลังจากหัวเราะเสร็จ ในที่สุดไป๋อีจึงเงียบเสียงลง แต่ยังคงมองหงอิงอย่างล้อเลียน และนั่นทำให้อีกฝ่ายอยากจะควักลูกตาของเขาออกมาเสีย
“เสี่ยวเฮย คนรักของเจ้าต้องการฆ่าคน” ทันใดนั้นไป๋อีก็ไปอยู่ด้านหลังเฮยอี ก่อนจะพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา “เจ้าไม่กลัวว่านางจะลอบสังหารเจ้าตอนกลางคืนหรืออย่างไรกัน”
หนังตาของเฮยอีกระตุก ก่อนจะคว้าตัวชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วโยนเขาออกไปอย่างรังเกียจ จากนั้นเฮยอีจึงเดินมาหาหนิงเมิ่งเหยาและนั่งตรงข้ามกับนาง “เหยาเอ๋อร์ เจ้าเรียกให้พวกเรามาที่นี่ มีธุระสำคัญอะไรเช่นนั้นหรือ”
เมื่อเฮยอีพูดขึ้น หงอิงและไป๋อีก็เงียบลงในทันที ก่อนจะมองหญิงสาวตรงหน้า
หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ “ท่านพ่อของข้าถูกใครบางคนจับตัวไป ข้าจึงอยากขอให้พวกท่านช่วยท่านพ่อ แต่มันเป็นภารกิจที่อันตรายมากทีเดียว”
แม้ว่าหญิงสาวจะรู้ว่าพวกเขาไม่เกรงกลัว แต่นางก็รู้สึกผิดที่พวกเขาจะต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเองเช่นนั้น
หงอิงเดินไปข้างๆ หนิงเมิ่งเหยา และคล้องแขนพลางกอดนางแน่น จากนั้นนางจึงพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “สาวน้อย หากเจ้าไม่ให้พวกเราช่วย พวกเราจะโกรธมากๆ “
“นั่นสิ”
เฉียวเทียนช่างยื่นมือไปคว้าข้อมือของหงอิงที่โอบไหล่ของหนิงเมิ่งเหยาอยู่ และปัดมันออกอย่างไม่พอใจ จากนั้นชายหนุ่มจึงดึงหญิงสาวเข้ามาใกล้ชิดกับตน จนรู้สึกสบายใจขึ้น
หงอิงรู้สึกได้ว่าจู่ๆ ตนเองก็ถูกใครบางคนสะบัดมือออกด้วยสีหน้าขุ่นเคือง นางจึงจ้องมองเฉียวเทียนช่างด้วยแววตาดุร้าย “ชายหนุ่มอย่างเจ้ามีปัญหาอะไรหรือ นางเป็นสาวน้อยในตระกูลของข้า”
“เหยาเหยาเป็นภรรยาของข้า”
“แต่พวกเราอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว”
“เหยาเหยาเป็นภรรยาของข้า”
ไม่ว่าหงอิงจะพูดเช่นไร ชายหนุ่มก็จะตอบกลับเพียงประโยคเดียวว่าหนิงเมิ่งเหยาคือภรรยาของตน และคำตอบนั้นก็ทำให้หงอิงหนังตากระตุก
“หยุดต่อล้อต่อเถียงกันได้แล้ว” หนิงเมิ่งเหยามองทั้งสองคนอย่างช่วยไม่ได้
หงอิงมองเฉียวเทียนช่าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเพิกเฉยต่อนางอย่างสิ้นเชิง หงอิงก็แทบจะสำลัก
จากนั้นหนิงเมิ่งเหยาจึงบอกแผนการของตนเองให้หงอิงและคนอื่นๆ รับฟัง
ทุกคนรับฟังอย่างตั้งใจ และครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะผงกศีรษะและพูดขึ้นว่า “มันเป็นแผนการที่ดีทีเดียว”
“ข้าวางแผนว่าจะเดินทางไปกับเทียนช่าง พี่หงอิง พวกท่านกระจายตัวออกไปก่อน แล้วค่อยมุ่งหน้าไปที่เมืองเล็กๆ แห่งนั้นได้หรือไม่” หนิงเมิ่งเหยามองพวกเขา
“แน่นอน แต่เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ แล้วลูกน้อยของเจ้าเล่า” จู่ๆ หงอิงก็นึกถึงเด็กน้อย
“ที่นี่มีชิงซวงและหนานอวี่ รวมถึงองครักษ์ของท่านพ่ออีกสองคนด้วย”