ตอนที่ 159 การแก้แค้นของหยุนชิ่วเอ๋อ

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 159 การแก้แค้นของหยุนชิ่วเอ๋อ

ภายในห้อง แม่เฒ่าจูด่าทออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยขณะหยุนชิ่วเอ๋อยังคงนอนร้องไห้อยู่บนด้วยความคับแค้นใจ

ส่วนด้านนอก ผู้เฒ่าหยุนกำลังนั่งอยู่ในสนามเพียงผู้เดียว

“ท่านพ่อ” หยุนลี่เต๋อร้องเรียกเสียงต่ำ

แม้จะไม่ได้มีท่าทีตอบสนองกลับมาทว่าเปลือกตาของผู้เฒ่าหยุนขยับเล็กน้อย

“ท่านพ่อมันดึกมากแล้ว ท่านกลับห้องเถิด ข้างนอกยุงชุมนัก” หยุนลี่เต๋อเอื้อมมือออกไปและพยายามพยุงบิดาให้ยืนขึ้น

ทว่าผู้เฒ่าหยุนกลับส่ายหัว “เจ้ากลับไปเถิด ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่สักครู่”

“ท่านพ่อ…”

“เจ้ากลับไปเถิด พรุ่งนี้ยังต้องรดน้ำต้นไม้อีก…”

“…” หยุนลี่เต๋ออ้าปากและอยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ไม่ได้พูดอันใด ก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “ขอรับ!”

เวลานี้ภายในห้องของทั้งฝั่งตะวันออกกับตะวันตกไฟยังคงสว่างอยู่ ทว่ามีเพียงผู้เฒ่าหยุนผู้เดียวที่นั่งอยู่บนม้านั่งเตี้ย ๆ ในสนามหน้าบ้าน

สายลมเย็นสบายในยามราตรีพัดผ่านมาท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนเส้นผมของเขา ศีรษะนั้นพลันขาวซีดในชั่วพริบตาทำให้บุรุษผู้นี้ดูแก่ชรายิ่งกว่าเก่า

ขณะหยุนลี่เต๋อยืนมองอยู่ข้างหน้าต่างด้วยความปวดใจพลางถอนหายใจพลางและพึมพํากับตัวเอง “เหตุใดท่านพ่อถึงแก่กว่าอายุจริงนับสิบปี?”

“ตอนกลางคืนอากาศหนาวเย็นนัก” แม่นางเหลียนหยิบเสื้อสีขาวที่ซักจนสะอาดสะอ้านออกมาจากกล่องเป็นสัญญาณให้เขานำไปให้ผู้เฒ่า

เมื่อหยุนลี่เต๋อวางเสื้อคลุมลงบนไหล่ของบิดา ทำให้ผู้เฒ่าหยุนเงยหน้าขึ้นอย่างลังเลจนเกือบจะร้องไห้ออกมาในบัดดล เมื่อมองเห็นใบหน้าหยาบกร้านอันดําคล้ำของบุตรชายภายใต้แสงจันทร์

“ท่านพ่อ คืนนี้อากาศหนาวจัด โปรดถนอมตัวด้วย” หยุนลี่เต๋อเป็นชายฉกรรจ์ที่ไม่ใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยจึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าอันละเอียดอ่อนของอีกฝ่าย

“เฮ้อ!” ดูเหมือนผู้เฒ่าหยุนจะตอบกลับด้วยการถอนหายใจ

ในห้องฝั่งตะวันตก แม่นางเหลียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญาอยู่ที่ด้านหลังหน้าต่างด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ในใจของท่านพ่อคงกำลังคิดถึงลุงใหญ่มากที่สุด”

“แต่ไม่เห็นลุงใหญ่จะออกมาดูหรือพูดปลอบใจท่านปู่สักคํา” หยุนเชวี่ยเบ้ปากราวกับไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง “ท่านแม่คิดว่าท่านปู่กำลังวางแผนอันใดอยู่ในใจ?”

“คงเป็นเรื่องที่ท่านลุงใหญ่สามารถสอบเป็นขุนนางได้จะทำให้ครอบครัวเรารุ่งโรจน์” หยุนเยี่ยนตอบเสียงเบา

เมื่อครู่ตอนที่อาหญิงก่อเรื่องรุนแรง หยุนเยี่ยนไม่กล้าสู้หน้าเนื่องจากเคยถูกหยุนชิ่วเอ๋อรังแกจนรู้สึกหวาดกลัว ทำให้ไม่กล้าออกไป และไม่กล้าแม้แต่จะมองออกไปนอกห้อง

“คนเป็นพ่อกับแม่จะมีอันใดให้คิดอีกนอกเสียจากเรื่องลูก และหวังเพียงว่าลูกทุกคนจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ท่านปู่ของเจ้าคง…” แม่นางเหลียนเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม “นิ้วทั้งห้ายังยาวไม่เท่ากัน ลุงใหญ่เจ้าคือหัวใจของเขา…”

ประโยคนี้น่าสนใจ หยุนเชวี่ยรู้สึกว่าคํากล่าวนี้สามารถสร้างประเด็นได้

ผู้เฒ่าหยุนหวังให้หยุนลี่จงทะยานขึ้นสู่ความรุ่งเรืองเพื่อบรรพบุรุษจริงหรือ? มันคงเป็นความหวังที่แท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจ!

ทว่าเหตุใดหลายปีมานี้ ถึงหยุนลี่จงทําให้ผู้เฒ่าหยุนผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผู้เฒ่าหยุนยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ? เขายังคงคาดหวังกับบุตรชายคนโตผู้นี้อยู่อีกหรือ?

เนื่องจากหยุนลี่จงเป็นที่รักของผู้เฒ่าหยุน! ไม่ว่าบุตรชายจะเหลวไหลเพียงใด ผู้เฒ่าหยุนยังคงยินดีที่จะให้อภัยไม่ว่าอย่างไรก็ตาม และเขาเชื่อว่าหยุนลี่จงจะสามารถเปลี่ยนแปลงตนได้เมื่อเวลาผ่านไป

ผู้เฒ่าหยุนเพียงต้องการให้หยุนลี่จงจงเป็นคนดีเท่านั้น และสิ่งนี้กลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นในใจของเขามาโดยตลอด

“ช่างน่าตกตะลึงเสียจริง!” ทันใดนั้นหยุนเชวี่ยรีบเปลี่ยนคําพูดพร้อมยื่นมือเล็กออกมาโบกไปมาตรงหน้าแม่นางเหลียนพลางเอ่ยถามว่า “ท่านแม่แล้วผู้ใดคือที่สุดในหัวใจของท่าน เป็นพี่สาวข้า เป็นเสี่ยวอู่ หรือเป็นข้า?”

แม่นางเหลียนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นใช้นิ้วจิ้มหัวหยุนเชวี่ยแล้วหัวเราะ “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าพยายามต้อนแม่ลงไปในคูน้ำรึ คิดว่าแม่ไม่รักเจ้าหรืออย่างไร?”

“ฮี่ฮี่ ข้าไม่ได้พูดนะ ก็ท่านแม่พูดเองว่านิ้วทั้งห้ายังไม่เท่ากัน ข้าก็ถามไปเรื่อยเปื่อย…”

แม่นางเหลียนชําเลืองมองหยุนเชวี่ยแวบหนึ่ง “เจ้าคือเลือดเนื้อของแม่ พวกเจ้าออกมาจากท้องข้า ข้าจะไปรักผู้ใดได้”

“ท่านรักท่านพ่อของข้ามากที่สุด…”

“เหตุใดสาวน้อยคนนี้ถึงเริ่มพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว!”

หยุนลี่เต๋อสนทนากับผู้เฒ่าหยุนอยู่ด้านนอกไม่นานนัก ทว่าเมื่อกลับมาถึงบ้าน แม่ลูกทั้งสี่ดับตะเกียงและเข้านอนเรียบร้อยแล้ว

หยุนลี่เต๋อจึงคลําหาทางขึ้นเตียงอย่างเบามือและช่วยเก็บหนังสือที่วางอยู่บนท้องเสี่ยวอู่

“ท่านพ่อเข้าบ้านไปแล้วหรือ?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามเสียงเบา

“ยัง ท่านพ่อบอกว่าอยากนั่งเล่นสักพัก แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังไม่นอนอีก”

“ข้าเกือบหลับไปแล้ว แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าของท่านจึงตื่นขึ้น เมื่อครู่ท่านพ่อพูดอันใดกับท่านบ้าง?”

“ท่านพ่อมิได้พูดอันใดเลย ท่านเพียงถอนหายใจ ข้าคิดว่าท่านคงกำลังโกรธอยู่”

“ท่านพ่อของพวกเรามักจะเก็บทุกเรื่องไว้ในใจ ไม่เหมือนท่านแม่ และดูเหมือนสุขภาพของท่านพ่อจะสู้ท่านแม่มิได้เลย…”

“เฮ้อ!”

“จริงสิ ข้าขอถามหน่อย ท่านจงใจปล่อยให้เอ้อหลางหนีไปใช่หรือไม่?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามอีกครั้ง

“ปกติเอ้อหลางมิใช่เด็กที่มีนิสัยดุร้าย เขาต้องเห็นชิ่วเอ๋อตีมารดาตนเองอย่างโหดเหี้ยมเป็นแน่ ถึงได้ลงไม้ลงมือไปด้วยความใจร้อน หากข้าไม่ให้เขาหนีไป ยังไม่แน่ว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นไร ตอนนี้ปล่อยให้เขาหิวอยู่ข้างนอกสักสองวัน ถือเป็นบทเรียนก็แล้วกัน”

“ข้าเกรงว่าอีกสองวันเมื่อเขากลับมา ท่านแม่กับชิ่วเอ๋อคงยังไม่ยอมยกโทษให้ และไม่แน่ว่าเหล่าน้อง ๆ ของเขาอาจเดือดร้อนไปด้วย…”

หยุนลี่เต๋อใจอ่อนทำให้จงใจปล่อยเอ้อหลางไป แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากนี้ซานหลางกับหยุนเซียงเอ๋ออาจโดนทําร้าย

เช้าวันรุ่งขึ้น

หยุนชิ่วเอ๋อหายจากความหวาดกลัวเนื่องจากถูกทุบตีและเริ่มระบายความโกรธแค้นทั้งหมดในใจด้วยการพุ่งเป้าไปที่ซานหลางและหยุนเซียงเอ๋อ

ซานหลางรู้รักษาตัวรอด หลังจากเห็นว่าเมื่อคืนนี้บิดามารดามีปัญหากับคนในครอบครัว ดังนั้นแม้ยังไม่ทันได้ด่าสักคํา ซานหลางกลับฉวยโอกาสที่คนอื่นไม่ทันระวังตบก้นแล้ววิ่งหนีไป

เหลือเพียงหยุนเซียงเอ๋อผู้เดียวที่น่าสงสาร เพราะเป็นบุตรสาวคนเล็กของหยุนลี่เซียวที่อายุยังไม่ถึงสิบปี ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเสี่ยวอู่ และปกติมักจะไม่ค่อยสุงสิงและไม่ชอบพูดจากับใคร เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ทว่าหยุนเซียงเอ๋อเพียงเชื่องช้าเล็กน้อยเท่านั้นสำหรับรูปร่างทั้งผอมทั้งบอบบางราวกับนกกระทาตัวน้อยที่ไม่มีความรู้สึกอันใด และพี่ชายของแท้ ๆ ก็ไม่ค่อยใส่ใจนาง ก่อนหน้านี้แม้แต่หยุนชิ่วเอ๋อเองยังคร้านที่จะข้องเกี่ยวด้วยเนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความลําบากใจให้ตนเอง

วันนี้เป็นวันที่นกกระทาน้อยตัวนี้มีความรู้สึกตื่นตระหนกมากที่สุด

หยุนเชวี่ยออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง นางเขย่งปลายเท้าขึ้นยืนพิงกําแพงอย่างสั่นเทาเพื่อสังเกตุการณ์

หยุนชิ่วเอ๋อถือไม้ไผ่บาง ๆ ซึ่งนำมาจากที่ใดสักแห่งและมีถังน้ำเย็นอยู่ข้างเท้า หญิงสาวสาปแช่งพลางแช่ไม้ไผ่ลงในน้ำเย็นก่อนจะกระแทกร่างกายของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง

“ในบ้านของเจ้าไม่มีคนดีสักคน!”

“เพี๊ยะ!”

“โอ๊ย!”

แขนเสื้อทั้งสองข้างของหยุนเซียงเอ๋อถูกดึงให้สูง ทันใดนั้นพลันเกิดรอยสีแดงปูดโปนขึ้นบนแขน หยุนเซียงเอ๋อหดคอด้วยน้ำตาและพยายามหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ

“เพี๊ยะ…”

“โอ๊ย…”

อาหญิงตบหน้าอันบวมเป่งของหยุนเซียงเอ๋อเป็นครั้งที่สอง และดวงตาที่บอบช้ำของหยุนชิ่วเอ๋อถูกบีบจนเป็นรอยแยก ทําให้ใบหน้าของนางดูดุร้ายและโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น จากนั้นหยุนชิ่วเอ๋อสบถออกมาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้หลบ! ดูสิว่าข้าจะถลกหนังเจ้าได้หรือไม่!”

หยุนเซียงเอ๋อทำใจดีสู้เสือ เมื่อถูกอีกฝ่ายตะโกนใส่ เด็กน้อยตกใจจนต้องยืดตัวตรงพร้อมเขย่งเท้าขึ้นกระทั่งแผ่นหลังแนบชิดกับกําแพงขณะจ้องมองอย่างหวาดกลัวและมีน้ำตาไหลพรากออกมา

“ร้องไห้ด้วยเหตุใด! ยังมีหน้ามาร้องไห้อีกรึ!”

“เพี๊ยะ… เพี๊ยะ… เพี๊ยะ…”

หยุนชิ่วเอ๋อยกมือขึ้นตบไปที่ใบหน้าและลำคอของหยุนเซียงเอ๋อจนมีรอยเลือดปรากฏขึ้นหลายรอย

“ฮึ่ม ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า หากเดรัจฉานน้อยเอ้อหลางยังไม่กลับมา ข้าจะขายเจ้าไปที่หอชุ่ยเซียงในเมือง! ให้เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ผู้อื่นตลอดชีวิต!”