ตอนที่ 95 ความกดดันที่แท้จริง

Perfect Superstar

ตอนที่ 95 ความกดดันที่แท้จริง

ถานหงและเฉินเฟยเอ๋อร์นักร้องดังทั้งสองมารวมตัวกัน ทำให้สตูดิโอถ่ายทำรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ เหมือนแสงดาวส่องประกาย

ปฏิกิริยาของผู้ชมในห้องส่งต่างคึกคักฮึกเหิมถึงที่สุด ทุกคนพากันยืนขึ้น แล้วปรบมือต้อนรับด้วยความยินดี!

ภาพแห่งความประทับใจนี้ดำเนินติดต่อกันอยู่หลายนาทีถึงจะสิ้นสุด

พิธีกรเริ่มแนะนำกรรมการคนที่สาม

แม้ทุกคนจะตั้งตาคอยเป็นพิเศษ สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งยังเตรียมเรื่องเซอร์ไพรส์ตามมาอีก แต่นักร้องดังทั้งสองก็เพียงพอกับการควบคุมทั้งห้องส่งแล้ว ไม่ต้องการคนลักษณะแบบนี้ขึ้นมาเพิ่มอีก

กรรมการคนที่สามของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ คือบรรณาธิการนิตยสาร ‘ป็อปมิวสิค’ เจินเจิน

30 ปีมานี้ เพลงยอดนิยมในประเทศจีนก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ทุกวันนี้มีตลาดกว้างขวางชนิดที่เมื่อก่อนคาดไม่ถึง ขนาดของกิจการใหญ่มหาศาล นิตยสารที่เกี่ยวข้องกับเพลงยอดนิยมจึงเกิดขึ้นไม่น้อย โดยก้าวหน้าไปพร้อมกันทั้งตัวเล่มนิตยสารกับในเว็บไซต์

นิตยสาร ‘ป็อปมิวสิค’ เป็นนิตยสารชั้นแนวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นตัวแทนอำนาจที่ได้รับการยอมรับอย่างทั่วถึง

และบรรณาธิการท่านนี้เคยเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง ได้รับการชื่นชมอย่างกว้างขวางในวงการ

ส่วนกรรมการคนที่สี่คือผู้อำนวยเพลงของเฟยสือเรคคอร์ด หลินจื้อเจี๋ย

เฟยสือเรคคอร์ดเป็นบริษัทบันทึกเสียงรายใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ เคยออกเพลงมากมายให้กับราชาราชินีเพลงมาหลายคน ในยุคปี 80-90 ยอดการขายเทปคาสเซ็ตและ CD เพลงอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการมาโดยตลอด

เมื่อเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ตแล้ว การเกิดขึ้นของสื่อใหม่ทำให้เฟยสือเรคคอร์ดประสบปัญหาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนเกือบล้มละลายมาแล้วครั้งหนึ่ง

ต่อมาบริษัทบันทึกเสียงเก่าแก่ได้ข้อคิดบทเรียนแล้ว จึงปฏิวัติโละเครื่องมือชิ้นเก่ารวมถึงพนักงานที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไป พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์ใหม่ๆ เข้ามา และเริ่มทำธุรกิจใหม่หลายรูปแบบ ทำให้ตั้งตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง

ทั้งในประเทศและในทวีปเอเชีย เฟยสือเรคคอร์ดเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง!

กรรมการชายสองหญิงสอง นักร้องซูเปอร์สตาร์สองคนกับผู้มีบทบาทอิทธิพลในวงการสื่ออีกสองคน แน่นอนว่าสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งคัดเลือกกรรมการตัดสินมาได้อย่างยากเย็น ประกอบกันจนเป็นคณะกรรมการที่สมบูรณ์แบบ

กรรมการทั้งสี่ขึ้นนั่งประจำที่แล้ว การแข่งขันประกวดร้องเพลง ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ รอบคัดเลือกความสามารถเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ตามกฎและกระบวนการ รอบคัดเลือกความสามารถยังต้องให้กรรมการเป็นผู้ตัดสิน ผู้เข้าแข่งขันขึ้นบนเวทีร้องเพลงจนจบ ถ้ากรรมการสามคนหรือสี่คนไม่ได้กดไฟแดงให้แสดงว่าผ่าน ได้รับบัตรผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

ถ้าถูกกดไฟแดงสองดวง จะต้องไปรออยู่ที่เขตพักรอ จากนั้นผู้เข้าแข่งขันอาศัยการให้คะแนนจากผู้ชมเป็นตัวตัดสินว่าใครจะได้สามอันดับแรก เป็นผู้โชคดีได้โควตาเข้าสู่การแข่งขันรอบถัดไป!

ผู้เข้าแข่งขันคนแรกมาจากปักกิ่งชื่อเจิ้งข่าย อายุ 24 ปี จบจากวิทยาลัยการดนตรีเป่ยอิน เขาใช้เพลง ‘เพลงรักในฤดูใบไม้ผลิ’ เป็นเพลงเปิดฉาก ได้รับการชื่นชมจากผู้ชมในห้องส่งเป็นจำนวนมาก ไม่ต้องอาศัยคะแนนโหวตก็ได้รับบัตรผ่านเข้าสู่รอบต่อไปเป็นคนแรก!

หลังจากนั้นก็คนที่สอง คนที่สาม…

รอบคัดเลือกความสามารถไม่เหมือนกับการคัดเลือกในรอบแรก ผู้เข้าแข่งขันผ่านการคัดเลือกจากคนเป็นพันเป็นหมื่นมาแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงมีข้อดีของตัวเอง มีทั้งโดดเด่นกว่าใคร มีทั้งยืนหยัดตามกฎกติกา มีทั้งร้องและเล่นได้ดี มีทั้งเต้นเพลงจังหวะร้อนแรง…

ท่าทีของกรรมการทั้งสี่ตั้งใจมากและมีความเป็นมืออาชีพมาก ไม่มีการชมเปล่าๆ ไม่ว่าจะผู้ที่ผ่านหรือไม่ผ่าน ทุกคนให้คะแนนอย่างยุติธรรมถูกต้อง ไม่ก็ชมเชยหรือให้กำลังใจ

ผู้ชมในห้องส่งอีกเป็นพันคนก็เช่นกัน พวกเขาคิดว่าผู้เข้าแข่งขันร้องเพลงได้ดีก็ชื่นชม หรือถึงกับยืนขึ้นตะโกน หากรู้สึกว่าร้องไม่ดีก็จะเงียบงันหรือส่งเสียงโห่ไล่โดยไม่ไว้หน้าสักนิด

มีผู้เข้าแข่งขันหลายคนตื่นเต้นมากเกินไป อ้าปากร้องเพลงคำแรกเสียงเพี้ยน ผลลัพธ์คือพ่ายแพ้โดนโห่ไล่หลัง

ภาพแบบนี้ การประกวดคัดเลือกเมื่อหลายปีก่อนไม่มีให้เห็น

ตอนนั้นแต่ละช่องยื้อแย่งแหล่งข้อมูลบันเทิงกันอย่างบ้าคลั่ง ผลักดันรายการประกวดคัดเลือกต่างๆ มากมาย เพื่อสร้างกระแสแล้วยอมใช้ทุกวิถีทาง ทีมงานมักให้ความสนใจกับ ‘พวกที่ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่’ ‘พวกนิสัยแปลกประหลาด’ ‘พวกคนป่วยเป็นโรคร้ายแรง’ ‘พวกลูกคนรวยที่มีพร้อมทุกอย่าง’ เหมือนกับรูปแบบละครทีวีเกาหลี แล้วนำมาสร้างเป็นกระแสเพิ่มความโด่งดัง

การคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันในตอนนั้น ถ้าไม่มีเรื่องราวที่น่าประทับใจผู้ชม จะไม่มีหน้าไปทักทายคนอื่นได้เลย

แล้วถ้าไม่มีเรื่องราวจะทำอย่างไร? ไม่เป็นไร ทีมงานจะช่วยแต่งให้คุณเรื่องหนึ่ง!

ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือกับการแต่งเรื่อง ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษด้วย ป้ายต่อไปคัดออก ไม่มีเหตุผลอื่นอีก

ไม่เพียงแต่ผู้เข้าแข่งขัน ญาติและเพื่อนฝูงจะต้องให้ความร่วมมือแสดงละครด้วย ผู้ชมในห้องส่งส่วนใหญ่ช่วยส่งเสริม พากันร้องไห้น้ำตาไหลยกใหญ่ อารมณ์สุดขั้วทำให้คนอื่นทนดูไม่ได้ ทำให้ในเว็บไซต์เกิดกระแสความเห็นอกเห็นใจอย่างใหญ่หลวง

ชาวเน็ตถึงกับเรียกรายการแข่งขันคัดเลือกไม่น้อยว่า ‘การแข่งขันคนน่าเวทนาที่สุด’ ‘เรื่องราวสุดสลดในจีน’…

ทั้งผู้เข้าแข่งขัน ญาติมิตร และผู้ชมทางห้องส่งต่างกำลังเล่นละคร กรรมการเองก็ไม่ต่างกัน

ทีมงานคิดค้นทั้งคำพูดบนเวที พฤติกรรม และยิ่งกว่านั้นคือนิสัยให้เหล่ากรรมการอย่างประณีต มีทั้งพิถีพิถันตั้งใจ บางคนชอบทำตัวน่ารัก บางคนน้ำตาไหลอยู่เรื่อยๆ บางคนเป็นทูตสันติภาพ อย่างไรให้แสดงไปก็พอ!

เนื่องจากการออกอากาศในสมัยนั้นต้องถ่ายทำก่อนล่วงหน้าหลายวัน ตอนหลังมีเวลาตัดต่ออีกเหลือเฟือ ดังนั้นสไตล์ผู้เข้าแข่งขันหลั่งน้ำตาขอความเห็นใจ กรรมการแสร้งทำเป็นรับฟัง ผู้ชมในห้องอัดร้องไห้ตาม’ ทั้งเรื่อง ‘ซุบซิบนินทา’ ‘ข้อมูลฮอต’ เต็มหน้าเว็บไซต์ รูปแบบตายตัวเหล่านี้ไม่ได้ทำกันง่ายๆ อีกทั้งดูแล้วเนื้อหาเหมือนจริงมาก

ว่ากันว่าเจ้าหน้าที่เบื้องหลังที่ตัดต่อรายการประกวดแข่งขันของสถานีโทรทัศน์เซียงหนานมีเป็นร้อยคน!

แต่ผู้ชมทางบ้านมีหลากหลาย ผู้ชมทางเน็ตไม่ใช่คนโง่ ครั้งสองครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจ แต่พอครั้งที่สาม สี่ ห้าแล้วยังประทับใจอยู่ แสดงว่าต้องเสริมปัญญากันหน่อยแล้ว ยิ่งดูมากเข้าย่อมเกิดความรู้สึกขัดแย้งและต่อต้านเป็นธรรมดา

หลายรายการแข่งขันที่ยังต้องการหลอกลวงคนดูต่อไป ก็ไม่มีรายการไหนรอดชีวิตได้นานนัก รายการใหม่อยากได้รับการยอมรับมากกว่า ย่อมต้องเน้นที่ความจริงและเวลาถ่ายทำที่ใกล้เคียงเวลาจริง ไม่ควรถ่ายผู้เข้าแข่งขันแบบถ่ายทำภาพยนตร์

เรื่องราวเหล่านั้นมีได้ หลั่งน้ำตาได้ ตื่นเต้นดีใจได้ หยอกเย้าล้อเล่นได้ แต่เสแสร้งแต่งเรื่องไม่ได้!

ด้านนี้ทางสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งทำได้ไม่เลว จัดการถ่ายทำก่อนเวลาออกอากาศจริงเพียงหนึ่งชั่วโมง แต่การแสดงออกของทั้งกรรมการและผู้ชมในห้องส่งล้วนเป็นของจริง ผู้เข้าแข่งขันอย่าหวังจะได้นำเรื่องน่าเวทนาของตัวเองออกมาพลิกเกมได้

ผู้เข้าแข่งขันบางคนเพิ่งขึ้นบนเวทีได้เพียง 1 นาทีก็ถูกกดไฟแดงใส่ บางคนหลังจากร้องเพลงจบยังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับกรรมการโดยถูกถ่ายทำไว้ทั้งหมด การปฏิบัติช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

ความแตกต่างนี้ไม่ได้หมายความว่าจะมีเบื้องหลังหรืออะไรซ่อนอยู่ แต่เป็นเพราะกรรมการและผู้ชมต่างให้การประเมินผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งเป็นความจริงเหมือนกัน

และความรู้สึกของความจริงนี้ทำให้ผู้เข้าแข่งขันที่รออยู่หลังเวทีรู้สึกกดดันมาก!

เนื่องจากมีจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่แขวนอยู่บนผนังหลังเวที ถ่ายทอดการออกอากาศแบบเรียลไทม์จากสตูดิโอ ดังนั้นทุกคนจึงมองเห็นและได้ยินผู้เข้าแข่งขันที่แสดงอยู่บนเวทีในขณะนั้น

ไม่มีการซ้อม ไม่มีการจัดการล่วงหน้า จะแสดงได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะบุคคลกับคุณภาพของจิตใจ

ร้องได้ดีแน่นอนว่าจะได้รับชื่อเสียงและความนิยม ร้องไม่ดีก็ขายหน้าต่อคนทั้งประเทศ!

เหมือนกับลู่เฉินที่กำลังรออยู่และค้นพบบางอย่างที่น่าสนใจ แต่ละคนมีวิธีการแก้ไขความเครียดที่แตกต่างกัน บางคนหลับตาสงบสติอารมณ์ บางคนใส่หูฟังฟังเพลงของตัวเอง บางคนพูดคุยกับญาติที่มาเชียร์ไม่หยุดหย่อน บางคนนั่งกอดกีตาร์ฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

ยังมีบางคนที่แอบมองคนรูปหล่อ!

ลู่เฉินหันกลับไปมอง ยิ้มกว้างให้มู่เสี่ยวชู

มู่เสี่ยวชูคือผู้เข้าแข่งขันที่มาจากวิทยาลัยภาษาต่างประเทศแห่งปักกิ่ง ปีนี้อายุ 19 ปี กำลังอยู่ในช่วงวัยที่สวยงาม

นิสัยของเธอขี้อายน่ารัก ทำให้คนอื่นชอบหยอกล้อเธอเล่น

เมื่อได้สบตากับลู่เฉิน มู่เสี่ยวชูหน้าแดงอย่างที่คิด เหมือนกับเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าขโมยลูกอม

แต่เรื่องที่ลู่เฉินคิดไม่ถึงคือ เธอไม่ได้เลือกหันหนี แต่ลังเลเล็กน้อยแล้วเป็นฝ่ายเดินเข้ามา

“รุ่นพี่…”

สาวน้อยถามอย่างตะกุกตะกักว่า “พี่ช่วยเป็นคู่ซ้อมร้องเพลงให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากจะซ้อมอีกครั้ง”

ลู่เฉินมองออกว่าเธอขอร้องแบบนี้เพื่อสิ่งใด เธอรวบรวมความกล้าอย่างมาก ดังนั้นจึงพยักหน้าตกลงโดยไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา เพลงอะไรล่ะ หวังว่าจะไม่ยากเกินไปนะ!”

“ไม่ยากค่ะไม่ยาก…”

มู่เสี่ยวชูโบกมือน้อยๆ ไปมา พูดว่า “เพลง ’ความทรงจำแสนหวาน’ ของเฉินเฟยเอ๋อร์”

ลู่เฉินทึ่งและชมว่า “เลือกได้ดี!”

เพลง ‘ความทรงจำแสนหวาน’ เป็นเพลงดังของเฉินเฟยเอ๋อร์ และเป็นตัวแทนเพลงรักหวานแหววเพลงหนึ่ง มู่เสี่ยวชูไม่รู้เลยว่าเฉินเฟยเอ๋อร์เป็นกรรมการด้วย การเลือกเพลงนี้จึงเป็นความบังเอิญ

น้ำเสียงและรูปลักษณ์ของเธอเหมาะกับการร้องเพลงรักที่อ่อนหวานอย่างที่สุด ทำให้กรรมการประทับใจได้ง่ายๆ เลย!

……………………………………………………