ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 144
สถานการณ์เป็นแบบนี้ แน่นอนว่าจื่ออานและกุ้ยไท่เฟยย่อมไม่รู้ ตอนนี้ในใจจื่ออานมีเรื่องเดียวที่เป็นห่วง นั่นก็คือความเป็นความตายของมู่หรงเจี๋ย
นางฝึกวิชาแพทย์มาหลายปีแล้วและนางรู้ดีถึงความร้ายแรงของอาการบาดเจ็บของมู่หรงเจี๋ยเขากำลังเผชิญกับความเป็นความตายจริง ๆ แล้ว
เรื่องที่นางถูกพาตัวไปที่จวนอ๋องไม่นานข่าวนี้ก็ได้ไปถึงจวนมหาเสนาบดี
นอกจากนี้ยังมีข่าวจากในวังบอกว่าเซี่ยจื่ออาน สามารถพลิกกลับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วเพราะว่านางได้ช่วยรักษาอ๋องเหลียง แต่คราวนี้เขาถูกไท่เฟยพาตัวไปคุมขัง เพราะว่าได้รักษาผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิจนพระอาการสาหัสยิ่งกว่าเดิม
อ๋องอันเคยเข้าไปในพระราชวังครั้งนึงเพื่อค้นหาร่างของเซี่ยหลินแต่ว่า ที่พระตำหนักร้างตรงข้ามวังซีเหวย เขาไม่พบร่างของเซี่ยหลินเลย เห็นเพียงคราบเลือดกองนึงในพุ่มดอกไม้
คนในจวนมหาเสนาบดีคิดว่าเซี่ยหลินพักอยู่ในวังกับพระสนมเหมยสองสามวัน นอกจากนี้ มหาเสนาบดีเซี่ยกับหลิงหลงฟูเหรินก็เข้าไปในวังไม่ได้ ทำได้เพียงรอให้เซี่ยหลินสร้างความรำคาญ พระสนมเหมยก็จะส่งตัวเขาออกจากวังมาเอง
จื่ออานตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยและน่าสังเวช นางถูกคุมขังไว้ในคุกของจวนอ๋อง
คุกแห่งนี้มีขนาดเล็กมากและสามารถรองรับคนได้เจ็ดถึงแปดคนเท่านั้น ปกติแล้วใช้คุมขังคนรับใช้ในจวน ทั้งมืดและอับชื้น มียุง แมลงสาบ และหนูจำนวนมาก
กุ้ยไท่เฟยจงใจทารุณนาง สองวันแล้ว ที่ให้นางดื่มเพียงน้ำ ให้ไม่นางทานอย่างอื่นเลย ที่ประตูก็มีองครักษ์เฝ้าอยู่ ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาพบเซี่ยจื่ออานทั้งนั้น
สองวันผ่านมาแล้ว อาการของมู่หรงเจี๋ยยังคงแย่ลงเรื่อย ๆ หลังจากที่ทาผงยาลงบนบาดแผล เขาก็ติดเชื้อและมีไข้ หลังจากนั้นก็หายใจลำบาก
อย่างไรก็ตาม มันดีกว่าที่จื่ออานคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เพราะนางปักใจไปแล้วว่าถ้าให้นักพรตผู้นั้นรักษามู่หรงเจี๋ยคงจะอยู่รอดได้ไม่เกินหนึ่งวัน
นางรู้ว่านี่คือความเพียรพยายามของมู่หรงเจี๋ยความปรารถนาที่จะอยู่ต่อไปอย่างแรงกล้า จื่ออานที่อยู่ในคุก ไม่สามารถสงบจิตใจได้สักครู่เดียว
มู่หรงจ้วงจ้วงกับอ๋องอันมาขอพบเซี่ยจื่ออาน แต่ว่ากุ้ยไท่เฟยสั่งการลงมาว่าใครก็ตามที่บุกเข้าไปพบเซี่ยจื่ออาน นางจะทำให้จื่ออานตาย
นอกจากอ๋องอันและมู่หรงจ้วงจ้วงที่เป็นห่วงจื่ออานแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่ต้องการช่วย จื่ออานออกมาอย่างเร่งด่วน คนผู้นี้ก็คือฮองเฮา
ฮองเฮาไม่สามารถออกหน้าได้ แม้ว่านางจะสั่งการวังหลังได้ แต่กลับจัดการกับกุ้ยไท่เฟยไม่ได้
ดังนั้นนางไปเข้าเฝ้าหวงไท่โฮ่ว
หวงไท่โฮ่วเรียกตัวกุ้ยไท่เฟยให้เข้าวัง แต่กุ้ยไท่เฟยอ้างว่าตนเองรู้สึกไม่ค่อยสบาย และได้ปฏิเสธที่จะเข้าวัง
หวงไท่โฮ่วเมื่อเห็นว่ากุ้ยไท่เฟยไม่ได้มา พระนางก็เลยเสด็จไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิด้วยตัวพระองค์เอง จะได้เยี่ยมมู่หรงเจี๋ยด้วยเลย
เมื่อเห็นว่ามู่หรงเจี๋ยอาการสาหัส หวงไท่โฮ่วก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวตำหนิอ๋องอันและกุ้ยไท่เฟยที่อยู่ด้านหน้า “อาการสาหัสขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงไม่ให้เซี่ยจื่ออานมารักษาเล่า?” เจ้าก็เคยเห็นทักษะทางการแพทย์ของนางแล้วนี่ ก่อนนี้ที่อาซินอาการหนัก นางก็รักษาจนหาย”
กุ้ยไท่เฟยไม่ได้เลิกคิ้ว นางพูดอย่างเฉยเมย: “มันแค่เรื่องบังเอิญ หม่อมฉันไม่ให้สตรีนางนั้นมารักษาอาเจี๋ยแน่ ๆ หม่อมฉันเคยถามคนที่จวนทหาเสนาบดีแล้ว เซี่ยจื่ออานผู้นี้ไม่เคยเรียนการแพทย์มาก่อน”
“ไม่เคยเรียนมาก่อน? คำพูดของคนในจวนมหาเสนาบดีน่าเขื่อถือเพียงใด? มหาเสนาบดีเซี่ยกับหลิงหลงฟูเหรินผู้นั้นพูดจากลับกลอกไปมา หาความจริงใจจากคำพูดไม่ได้เลยเลยสักนิดเดียว” หวงไท่โฮ่วสูดหายใจแรง
กุ้ยไท่เฟยกล่าวอย่างเย็นชา “จริงหรือ? อย่างนั้นเสด็จพี่ช่วยบอกหม่อมฉันที โดยปกติแล้วเซี่ยจื่ออานผู้นี้ไม่ได้ออกออกจวนไปติดต่อกับคนภายนอกเลยแล้วจะเรียนทักษะทางการแพทย์มาจากที่ไหน? เป็นไปได้เหรอที่ท่านพี่จะเขื่อว่านางเรียนรู้มาจากผู้สืบทอดของเวินอี้? ช่างน่าขัน!
โดยปกติแล้วกุ้ยไท่เฟยจะเคารพและให้เกียรติหวงไท่โฮ่ว ท่าทีที่เย็นชาเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หวงไท่โฮ่วมองไปที่นาง ก็รู้สึกว่ามันดูไม่ค่อยจะเหมาะสม นางเพียงรู้สึกว่ากุ้ยไท่เฟยเปลี่ยนไปอย่างกับเป็นคนละคน แต่นางยังคงพูดเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน “แต่ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็รู้ทักษะทางการแพทย์ จุดนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ หมอหลวงก็จนปัญญาแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเองอย่างดื้อรั้นด้วยเล่า?”
กุ้ยไท่เฟยลุกขึ้นยืนในทันทีแล้วกล่าว “เสด็จพี่ หม่อมฉันเป็นผู้ให้กำเนิดอาเจี๋ย แม้ว่าเขาจะเรียกท่านว่าเสด็จแม่ สรุปแล้วก็ไม่มีใครรักเขามากไปกว่าหม่อมฉันที่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด อยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปมากที่สุด ความรู้สึกนี้พระองค์น่าจะเข้าใจดี มิเช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ให้เซี่ยจื่ออานไปรักษาบุตรชายแท้ ๆ ของพระองค์เล่า เขานอนอยู่บนเตียงมานานแล้ว ถ้าพระองค์ทำได้ หม่อมฉันก็จะได้ให้เซี่ยจื่ออานมารักษาอาเจี๋ย”