— ตูม! —
ในตอนนั้นเอง จื่อโยวก็ตอบโต้ เขาทุบจิ่วเยี่ยจากด้านหลังด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
— ปัง! —
จื่อโยวโต้กลับโดยโยนจิ่วเยี่ยออกไปต่อหน้ามู่เฉียนซี เขายิ้มอย่างมีเสน่ห์ก่อนจะกล่าวว่า “แม่นางคนงามไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่เป็นไร! ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก”
จากนั้นมู่เฉียนซีก็เห็นฉากอันแปลกประหลาด หน้าอกที่กลายเป็นกระดูกขาวนั้นฟื้นตัวขึ้นต่อหน้าต่อตานาง เลือดเนื้อถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็ว ในที่สุดนอกจากเสื้อคลุมที่ขาดรุ่งริ่งของจื่อโยวก็ไม่มีบาดแผลอื่นใดปรากฏแก่สายตาอีก
มู่เฉียนซีตกตะลึง นี่คือความสามาถในการรักษาตัวเองเช่นนั้นหรือ ? นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตนี้ของนาง เดิมทีเขาเป็นเพื่อนกับจิ่วเยี่ย เขาคงมีความสามารถในการรักษาตัวเองถึงจะสามารถอยู่รอดได้
ถ้าหากไม่มี เกรงว่าจื่อโยวคงตายไปแล้วหลายครั้งกระมัง ?
จื่อโยวกล่าว “สาวน้อย รีบนำเอายาและน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าให้จิ่วเยี่ยดื่มเร็วเข้าเถอะ เขาคงจะหมดสติไปไม่นานนัก หากเขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ข้าทุบไปเขาก็คงไม่สลบแล้ว เยี่ยแข็งแกร่งกว่าข้ามาก”
มู่เฉียนซีพยักหน้า กล่าวว่า “อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
สิ่งแรกคือให้จิ่วเยี่ยดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ก่อน แต่ไม่ว่ามู่เฉียนซีจะพยายามมากเพียงใด นางก็ไม่สามารถทำให้จิ่วเยี่ยดื่มมันลงไปได้เลย นางถามอย่างร้อนรน “จื่อโยว เราควรทําเช่นไรดี ?”
จื่อโยวยื่นนิ้วเรียวยาวออกมาก่อนจะชี้ไปยังริมฝีปากของจิ่วเยี่ยแล้วกล่าวว่า “อันที่จริง เจ้าใช้ปากต่อปากป้อนเขาก็ได้นะ”
ใบหน้าของมู่เฉียนซีแดงซ่าน ร่างก็แข็งทื่อขณะที่จื่อโยวยังคงกล่าวต่อไปว่า “สาวน้อย การช่วยชีวิตคนสําคัญกว่า อย่ากระดากอายไปเลย ไม่ต้องเขินต้องอาย ข้าจะไม่ลอบดูพวกเจ้าแน่นอน เชื่อข้าได้เลย”
เงาร่างสีเขียวพุ่งออกไป จื่อโยวหายไปจากอากาศตรงหน้ามู่เฉียนซี
เขาขี้เกียจช่วยนางดูแลจิ่วเยี่ยหรือไม่ ด้วยความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีในเวลานี้ นางก็ไม่อาจรู้สึกได้
มู่เฉียนซีกัดฟันพลางคิดกับตัวเอง ‘ในเมื่อจื่อโยวกล่าวมาเช่นนั้นแล้ว คงไม่แคล้วเหลือเพียงวิธีนี้วิธีเดียว’
มู่เฉียนซีเทน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งขวดลงในปากของตัวเอง จากนั้นก็ก้มหัวลงจับที่ท้ายทอยของจิ่วเยี่ยและแนบริมฝีปากนางเข้ากับริมฝีปากของเขา
นางดุนฟันที่ขบกันสนิทของเขาให้อ้ากว้างและดันน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปให้จิ่วเยี่ยกลืน ทว่าทันใดนั้น จิ่วเยี่ยที่สลบไสลอยู่ก็ลืมตาขึ้น ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความโหดเหี้ยมดุจสัตว์ป่ากระหายเลือด เขามองจ้องมู่เฉียนซี
ทันใดนั้นก็เกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรงปากต่อปาก จิ่วเยี่ยยับยั้งนางไว้ เขาพยายามอย่างสุดกําลังเพื่อปล้นชิงลมหายใจของมู่เฉียนซี
มีหรือนางจะยอมแพ้ ไหน ๆ ก็ยอมลำบากมาถึงขั้นนี้แล้ว มู่เฉียนซีนางไม่สามารถถอยกลับได้ จำต้องดันเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเข้าไปในปากของจิ่วเยี่ย
น้ำศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะช่วยได้ จิตสังหารกระหายเลือดถูกสะกดข่มไว้
แต่ด้านหนึ่งถูกสะกดไว้ อีกด้านหนึ่งไม่สามารถระงับไว้ได้ น้ำศักดิ์สิทธิ์ทําได้เพียงสะกดข่มจิตสังหารกระหายเลือดเท่านั้น แต่ไม่สามารถระงับความปรารถนาในก้นบึ้งจิตใจของจิ่วเยี่ยได้
ลมหายใจของมู่เฉียนซีกัดกร่อนลงอย่างรุนแรง นางรู้สึกว่าหัวของนางว่างเปล่าในพริบตา
หลังจากสงครามครั้งใหญ่ นางยังไม่ยอมแพ้เพียงเท่านั้น เพื่อจิ่วเยี่ยนางปรุงยาเพิ่ม ณ เวลานี้เมื่อต้องเจอกับจิ่วเยี่ยอันน่าสะพรึงกลัว นางยังต้องมาพบว่านางขยับนิ้วไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว
เมื่อขยับไม่ได้ ก็ทําได้เพียงให้จิ่วเยี่ยทำตามอำเภอใจอย่างบ้าคลั่งและหยิ่งยโส เขาไม่ให้นางเหลือเรี่ยวแรงปฏิเสธอันใดเลย
นิ้วเรียวยาวเลื่อนลงจากลําคอของมู่เฉียนซี ทันใดนั้น…
— แควก! —
เสื้อผ้าของมู่เฉียนซีถูกจิ่วเยี่ยฉีกเป็นชิ้น ๆ! จื่อโยวที่ลอบยืนอยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงนี้พลันรู้สึกตื่นเต้นอย่างผิดปกติ ‘เริ่มแล้วสิ… ในที่สุดก็จะเริ่มแล้ว เยี่ยเองก็มีวันนี้ที่ได้ออกเดินทางเหมือนกัน เพื่อที่จะมิให้เรื่องมันขาดตอนจบลงแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ข้าจื่อโยวผู้เป็นสหายที่แสนดีของเยี่ยจะต้องอยู่ตรงนี้ต่อไป ถึงตนเองนั้นอาจจะลำบากสักหน่อย แต่เพื่อที่จะได้คอยเป็นผู้ชี้แนะความเป็นผู้ชำนาญให้แก่เยี่ย’
ทว่าทันทีที่เขามีความคิดเช่นนี้ พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกถึงกระดูกที่พุ่งตรงมาทางเขา จื่อโยวยิ้มอย่างเขินอายทันทีพลางพึมพํา “เยี่ย! เจ้าไม่เคยเข้าใจความหวังดีของข้าเอาเสียเลย! …ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการ เช่นนั้นข้าจะไปหาสาวงาม เจ้าค่อย ๆ จัดการเองแล้วกัน!”
ร่างสีเขียวพุ่งออกไป จื่อโยวหายไปจากเขาชิงซานและทะเลสาบเยาเยี่ย
เขากลัวว่าถ้าเขาอยู่ต่ออีกสักพัก ชายที่น่ากลัวคนนั้นจะฉีกเขาออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น
ริมฝีปากจิ่วเยี่ยหลุดออกจากริมฝีปากของมู่เฉียนซีพลันกัดไปที่ผิวคอของนาง!
มู่เฉียนซีรู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งคัน นางรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว!
นางตะโกนเสียงแหบพร่า “จิ่วเยี่ย… เจ้า…” นางรู้สึกว่าลมหายใจของตนเองหนักขึ้นและในหัวก็ว่างเปล่า
จิ่วเยี่ยทิ้งรอยจูบของเขาไว้ตลอดทาง ริมฝีปากนั้นพรมจูบไล้ไปตามกระดูกไหปลาร้าที่บอบบางของนาง
ดินแดนอันแทบจะเป็นสถานที่ต้องห้ามที่สุดถูกครอบครอง ทันใดนั้นมู่เฉียนซีตื่นเต้นขึ้นมา
เข็มยาที่นางพกติดตัวมาถูกใช้อย่างกะทันหัน นางรีบฉีดไปที่แขนของจิ่วเยี่ยหลายเข็ม
ด้วยบทเรียนครั้งก่อน นางไม่กล้าฉีดเข้าที่ตรงนั้นแล้ว คงทำได้แค่ฉีดไปที่แขนของเขา
มู่เฉียนซีภาวนาอยู่ในใจ จะต้องได้ผล จะต้องได้ผล! จะต้องได้…!
หากเป็นการรักษาโรคอื่น ๆ ไม่มีทางที่หมอปีศาจมู่เฉียนซีจะไม่มีวิธีรับมือ แต่คำสาปของจิ่วเยี่ยนั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน อาการเช่นนี้จะต้องรักษาด้วยหยูกยาใดหนอ ?
ทันใดนั้นมู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าพลังในการกัดของจิ่วเยี่ยเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลลงมา สุดท้ายแล้วกลายเป็นการพรมจูบที่เบาบางเหมือนดั่งขนนก ลมหายใจของเขานั้นนิ่งสงบลง ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไรอีก
มู่เฉียนซีมองไปที่จิ่วเยี่ยก่อนจะกล่าวกับตนเองอย่างดีใจ “หลับแล้วรึ ? ดีแท้ ๆ ยาข้าได้ผลแล้ว”
เวลานี้พลังทั้งหมดของนางเหมือนถูกสูบไปจนหมดสิ้น นางหน้ามืดล้มลง
เหนือทะเลสาบเยาเยี่ย คลื่นเป็นประกายระยิบระยับล้อแสงที่มีอยู่ในเวลานี้ราวกับที่นี่คือแดนสวรรค์ หญ้าสีเขียวอ่อนบนทะเลสาบนั้น สองผู้งดงามได้นอนหลับใหลอยู่นั้นอย่างเป็นสุข
มู่เฉียนซีลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ท้องฟ้ามืดลงเสียแล้ว
พระจันทร์เสี้ยวแขวนอยู่กลางอากาศ นางพบว่าร่างกายของนางถูกห่มด้วยเสื้อคลุม และถูกกอดไว้ในอ้อมกอดของจิ่วเยี่ย ดูเหมือนเขาจะรู้สึกตัวว่าสตรีข้างกายเขาตื่นขึ้นมา จึงได้กระชับกอดนางแน่นขึ้น ทั้งยังจูบเบา ๆ บริเวณด้านล่างของรอยแดง
มู่เฉียนซีกล่าว ท่าทางนางยังคงสะลึมสะลือ “ขะ… ข้าจักจี้ จิ่วเยี่ยอย่า!”
ในที่สุดนางก็ตื่นขึ้นมาเต็มตาเมื่อการจูบของบุรุษตรงหน้าเริ่มถี่รัว นางกล่าว “จิ่วเยี่ยเจ้า…”
จิ่วเยี่ยรีบกล่าวว่า “ข้าขอโทษเจ้า ซี…”
จิ่วเยี่ยมองรอยแดงบนร่างของนางด้วยแววตารู้สึกผิด เขาเสียการควบคุมสติไปชั่วขณะ เผลอทำร่องรอยไว้บนตัวนางมากมาย
มู่เฉียนซีมองเห็นรอยบนร่างของตนเอง นางกล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย นี่ไม่ใช่แผลหนักอะไร เจ้าเองก็ไม่เห็นต้องใช้วิธีการขอโทษเช่นนี้เลย รอยเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ทายาสักระยะหนึ่งข้าก็หายแล้ว”
สิ้นเสียงนาง อีกจูบหนึ่งก็จูบลงมา “ไม่ได้ ข้าชอบรอยนี้ ปล่อยให้มันหายตามธรรมชาติ”
มู่เฉียนซีกระตุกมุมปากเล็กน้อยและคิดกับตัวเองว่า ‘เยี่ยอ๋องนิสัยแปลกมากเกินไปแล้ว’
มู่เฉียนซีพยายามดิ้นรน นางกล่าวว่า “พอแล้ว พอแล้ว!”
จิ่วเยี่ยไม่ยอม “อย่างนี้ จะหายเร็ว”
มู่เฉียนซีแย้งทันควัน “ข้าว่าแบบนี้จะหายช้ากว่าเดิม ทายานั้นไวที่สุดแล้ว”
“มิให้ทา”
“…เช่นนั้นเจ้าก็หยุดจูบได้แล้ว”
“ครั้งสุดท้ายแล้ว ขอนะ” จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงติดจะออดอ้อน ดูประหลาดไปเลยเมื่อเป็นเขาที่เอ่ยเช่นนี้
“ทีนี้พอได้แล้วหรือยัง ?”
“ครั้งสุดท้ายแล้ว”
“เจ้าโกหก เมื่อครู่นี้ก็บอกว่าครั้งสุดท้าย”
มู่เฉียนซีแทบร้องไห้ เวลานี้บนคอของนางไม่เพียงมีรอยแดงเลือด ยังมีรอยสีม่วงอีกด้วย ทว่าจิ่วเยี่ย เขามีความสุขเหลือเกินที่จะได้จูบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ยอมตกลงจะส่งนางกลับจวน
เมื่อมู่เฉียนซีกลับถึงจวน นางก็ได้ไปรายงานตัวกับท่านอา แต่ผลสุดท้าย เพราะว่านางนั้นไม่มีชุดคอสูง ยามนี้เมื่อจิ่วเยี่ยและมู่เฉียนซีอยู่ตรงหน้าของมู่อวู่ซวงและท่านอาเล็กผู้นี้เห็นรอยแดง…
เกิดเรื่องใหญ่เข้าเสียแล้ว!
“เจ้า! เจ้าสมควรตาย!” มู่อวู่ซวงเผชิญหน้ากับจิ่วเยี่ย พลันปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ครั้งนี้มากกว่าเมื่อครั้งที่เผชิญหน้ากับโอวหยางหว่านมากนัก ทั้งยังดุร้ายกว่าหลายพันเท่า
.