ตอนที่ 212 หนีนายท่านสาม

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ถึงแม้ว่านายท่านสามจะไม่ได้ใกล้ชิดกับสตรี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ว่ารอยเช่นนี้คือรอยอะไร

มู่เฉียนซีรีบเข้าไปห้ามท่านอาของนางเอาไว้ “ท่านอาเล็ก ท่านอาใจเย็นลงก่อนนะเจ้าคะ ตอนนี้ท่านอาจะใช้พลังวิญญาณไม่ได้”

มู่อวู่ซวง “ซีเอ๋อร์ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าตาฟ้ามันรังแกเจ้าใช่หรือไม่ หากมันรังแกเจ้า ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะเอามันลงนรกไปกับข้าด้วย”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา “ไม่ใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะท่านอา ข้ากับเยี่ยอ๋องไม่มีอะไรจริง ๆ มันเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อย ไม่มีอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ”

มู่อวู่ซวงเชื่อว่ามู่เฉียนซีไม่ได้กล่าววาจาโกหก แต่รอยแดงนั่น… มันหมายความว่าทั้งสองทำเรื่องสวาทกันและรอยนั่น… อาจจะเกิดจากขั้นตอนสุดท้ายในการทำเรื่องเช่นนั้นกันก็เป็นได้

เวลานี้ยิ่งคิด ไอสังหารของมู่อวู่ซวงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ท่านอา…” มู่เฉียนซีเห็นสีหน้าเครียดคล้ำของผู้เป็นอา นางรู้สึกเป็นกังวล

แม้สุดท้ายมู่อวู่ซวงจะไม่ได้ลงมือ ทว่าเขาก็จงใจกล่าวอย่างกราดเกรี้ยวไปทางจิ่วเยี่ย “ไสหัวไปจากจวนตระกูลมู่เดี๋ยวนี้!”

สำหรับจิ่วเยี่ย เป็นครั้งแรกที่มีผู้กล้ามาตะคอกเขาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยเปล่งประกายแสงวาบขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อมองไปที่สตรีผู้อยู่ตรงหน้า สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร

มู่อวู่ซวงผู้นี้เป็นคนที่สตรีผู้เป็นทีรักของเขารักและห่วงใยเป็นอย่างมาก มิอาจลงมือฆ่าเขาสุ่ม ๆ ได้

ร่างสีดำราวกับภูตผีปีศาจของจิ่วเยี่ยอันตรธานไปต่อหน้ามู่อวู่ซวงและมู่เฉียนซีอย่างรวดเร็ว

มู่อวู่ซวงตั้งใจจะสอบถามมู่เฉียนซีต่อ ส่วนมู่เฉียนซี นางทำได้เพียงแต่ตอบอย่างตรงไปตรงมา

มู่อวู่ซวง “ซีเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าต้องอยู่ห่างจากบุรุษผู้นั้นให้มาก ๆ ร่างของเขามีคำสาปที่อันตรายมาก หากถึงคราวตายเขาก็ต้องตาย เจ้าไม่ต้องไปสนใจความเป็นความตายของเขามากนัก”

หากจะบอกว่ามันเป็นเพียงคำสาป และการที่เขาทำเช่นนั้นกับซีเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์ก็คงจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่ถึงอย่างไรแล้วเยี่ยอ๋องก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง เช่นนั้นเขาก็ต้องรู้สึกบางอย่างอย่างแน่นอน ไม่เพียงแค่เพราะคำสาป บางทีเยี่ยอ๋องผู้นั้นอาจจะคิดไม่ดีกับซีเอ๋อร์ด้วยก็ได้

เมื่อมู่เฉียนซีอยู่ต่อหน้ามู่อวู่ซวงที่กำลังโกรธเกรี้ยว นางทำได้เพียงพยักหน้ารับคำ

“ท่านอาวางใจได้ ต่อไปข้าจะเชื่อฟังคำของท่านอา”

ครั้งนี้คำสาประเบิดออกมาแล้ว ครั้งต่อไปคงจะนานกว่าที่คำสาปนั่นจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง บางทีเมื่อถึงตอนนั้น ท่านอาก็คงจะผ่อนปรนลงบ้างแล้ว รับปากท่านอาไปก่อนก็แล้วกัน

มู่อวู่ซวง “วันนี้ซีเอ๋อร์คงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าไม่รบกวนแล้ว”

มู่เฉียนซีพยักหน้า “เจ้าค่ะท่านอา ท่านอาก็พักผ่อนได้แล้วนะเจ้าคะ”

เมื่อมู่เฉียนซีกลับมาถึงห้องนอนก็พบว่าเยี่ยอ๋องอยู่บนเตียงนอนอันอบอุ่นของนาง  มุมปากนางกระตุกเล็กน้อย กล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ท่านอาบอกให้เจ้ากลับไป แล้วเหตุใดเจ้าถึง…?”

จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เขาให้ข้าออกไปจากจวนตระกูลมู่ แต่ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ข้ากลับมาอีก”

“พักผ่อนเถอะ” กล่าวจบเขาก็คว้าร่างของมู่เฉียนซีมากอดไว้ในอ้อมอกอุ่น ๆ

วันนี้เกิดเรื่องวุ่นวายมาทั้งวัน มู่เฉียนซีนางก็เหนื่อยมาทั้งวันจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ เมื่อร่างของนางลงนอนบนเตียง ไม่นานนักนางก็ผล็อยหลับไป

อรุณรุ่ง

จิ่วเยี่ยจุมพิตลงบนแผลนางซ้ำอีกครั้งและเขาไม่ให้นางทายาเพื่อให้รอยจางลง

เช้าวันนี้ มู่เฉียนซีจำใจต้องกินของว่างแทนอาหารเต็มมื้อเพื่อรีบบอกให้ช่างตัดเสื้อผ้ามาตัดชุดคอสูงให้นางทันที

เมื่อวานเป็นวันที่โอวหยางหว่านขึ้นครองราชบัลลังก์ อีกทั้งยังมีราชาไป๋กู่ปรากฏตัว ทำให้ทั่วทั้งแคว้นเกิดเรื่องวุ่น ๆ

หลังจากที่ราชาไป๋กู่ตายลงไป ผู้คนที่โดนมันควบคุมก็กลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง

สำนักซวนเหลยได้ถูกทำลายล้างไป ด้วยเหตุนี้แคว้นจื่อเยี่ยจึงหลงเหลือเพียงแค่สำนักตานจี้สำนักเดียว

มู่อีกล่าวขึ้น “พวกคนชุดดำเหล่านั้นถูกขังไว้ในคุกใต้ดินทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะถามอย่างไร พวกมันก็มิยอมปริปากบอกข้อมูลอันใดเลย ท่านผู้นำตระกูล เราจะทำอย่างไรกับพวกมันดีขอรับ ?”

มู่เฉียนซี “กลัวว่าพวกมันจะเป็นคนประเภทเดียวกับอวิ๋นซินหราน ต่อให้ตัวตายก็ไม่ยอมปริปากบอกอะไรเรา  ฆ่าพวกมันให้หมด เผาทำลายอย่าให้เหลือแม้แต่ซาก!”

“ขอรับ”

“แล้วตามตัวโอวหยางหว่านกับมู่หรูเหยียนเจอหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม

“หาทั่วทั้งเมืองจื่อตูแต่กลับไม่เจอสองคนนั้นเลยขอรับ ข้าน้อยทำงานพลาด ขอท่านผู้นำตระกูลโปรดลงโทษ”

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สองคนนั้นเสียพลังไปมาก อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส คงไม่โผล่หัวออกมาง่าย ๆ แน่ เจ้าเตรียมคนของเราป้องกันทั้งในจวนและนอกจวนดี ๆ  อย่าให้พวกมันฉวยโอกาสเล่นงานเราได้”

“ขอรับ”

“ดี เช่นนั้นก็เข้าวังหลวงกัน”

เวลานี้ ในวังหลวงยังมีฮ่องเต้พระองค์ก่อนอยู่—ซวนหยวนจือ

แคว้นจื่อเยี่ยในเวลานี้มีเพียงสำนักนิกายเดียวที่เหลืออยู่นั่นก็คือสำนักตานจี้  ราชวงศ์ซวนหยวนต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก

ทันทีที่มู่เฉียนซีก้าวเท้าเข้าไปในวังหลวง ก็มีขุนนางกล่าวตอนรับนางด้วยความตื่นเต้น “ท่านผู้นำตระกูลมู่ ท่านมาแล้ว  รีบไปกราบทูลอวิ๋นอ๋องและหลี่อ๋องเร็วเข้า”

เหตุการณ์การสู้รบที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทำให้มู่เฉียนซีกับมู่อวู่ซวงกลายเป็นคนที่ช่วยผู้คนในแคว้นจื่อเยี่ยเอาไว้อย่างไร้ข้อสงสัย

ถึงแม้ว่าผู้ที่ลงมือปิดฉากคนสุดท้ายเป็นคนของสำนักอวิ๋นหยาน แต่พวกเขาทุกคนต่างก็รู้ดีว่าผู้ที่ต่อสู้กับราชาไป๋กู่จนเอาชนะมันได้นั้น เป็นท่านผู้นำตระกูลมู่กับนายท่านสามแห่งตระกูลมู่นั่นเอง ส่วนสำนักนิกายอันดับหนึ่งอะไรนั่น จัดเป็นเพียงแค่คนไร้ยางอายมาแย่งความดีความชอบ

ราชวงศ์ซวนหยวนได้รับบาดเจ็บกันอย่างสาหัส สถานการณ์ตกอยู่ในความวุ่นวาย และผู้ที่ควบคุมสถานการณ์อยู่ในตอนนี้นั้นก็คือซวนหยวนชิงอวิ๋นและซวนหยวนหลี่ซาง

สิ่งที่ทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกคลางแคลงใจก็คือ ซวนหยวนหลี่เทียนมิได้ฉวยโอกาสนี้ยึดครองบัลลังก์ กลับร่วมมือร่วมใจกับซวนหยวนชิงอวิ๋นคลี่คลายสถานการณ์ความวุ่นวายของบ้านเมือง

ในขณะที่ร่างสีม่วงเข้าไปในตำหนัก นางยังคงงดงาม สง่า และดูหยิ่งผยองเฉกเช่นเดิม

ซวนหยวนหลี่เทียนเห็นเช่นนี้แล้วก็ผงะไปครู่หนึ่ง ทว่าก็รีบควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตนเองเอาไว้ทันท่วงที

หลายวันที่ผ่านมานี้… เกิดเรื่องราววุ่นวายใหญ่โตขึ้นมากมาย มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาได้สติขึ้นมา

เรื่องของเขากับนางเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวขึ้น “เฉียนซี เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ?”

มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “ข้าไม่เป็นไร ซวนหยวนจือล่ะ ?”

ซวนหยวนชิงอวิ๋น “อยู่ในห้องบรรทม หากเจ้าอยากเข้าพบ ข้าจะพาเจ้าไป”

มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “อืม”

ซวนหยวนจือโดนพิษกู่มาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อไร้คนคอยควบคุม ร่างของเขาก็เหม่อลอยเปรียบเสมือนคนไร้จิตวิญญาณก็มิปาน

เข็มยาของมู่เฉียนซีพุ่งออกไปปักบนร่างซวนหยวนจือในทันทีที่นางก้าวเข้ามา

มู่เฉียนซี “ชิงอวิ๋น ทำให้เขาเลือดออกเพื่อบังคับพิษกู่ออกมา”

ซวนหยวนชิงอวิ๋นชักกริชออกมาพลันตัดมือของซวนหยวนจือทันที

ในขณะที่กู่นั้นออกจากร่าง ดวงตาของซวนหยวนจือเริ่มชัดเจนขึ้นไม่เลื่อนลอย  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในหัวของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะโดนควบคุม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะจำอะไรไม่ได้

จากนั้นไม่นานนัก พลังของซวนหยวนจือก็ระเบิดออกมา เขากล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “มู่เฉียนซี เจ้ากับมู่อวู่ซวงบังอาจทำร้ายฮองเฮาของข้า ข้าจะแก้แค้นให้ฮองเฮา”

ซวนหยวนจือนั้นรักโอวหยางหว่านอย่างสุดหัวใจ ถึงตอนนี้แล้วเขายังไม่สำนึกว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นตัวร้าย

ถึงแม้ว่าโอวหยางหว่านจะโหดร้ายกับเขา หักหลังเขา ทำร้ายเขามากสักเพียงใด เขาก็ไม่ยอมให้ใครทำร้ายฮองเฮาของเขาเด็ดขาด และหากมีใครกล้าทำร้ายนาง เขาก็จะไม่ยอมปล่อยมันผู้นั้นไปเป็นอันขาด

พลังจักรพรรดิยอดยุทธ์ระเบิดออกมาทันทีโดยที่มู่เฉียนซีไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย

ร่างสองร่างยืนขวางหน้าซวนหยวนจือเอาไว้

ซวนหยวนหลี่เทียนรีบกล่าวขึ้น “เสด็จพ่อ มันไม่ใช่ความผิดของซีเอ๋อร์ เสด็จพ่อพระทัยเย็นลงก่อน  ซีเอ๋อร์เป็นคนช่วยชีวิตเสด็จพ่อเอาไว้ เสด็จพ่อจะแก้แค้นนางได้อย่างไรกัน ?”

“เทียนเอ๋อร์ เจ้ามันโอรสเลวคิดทรยศข้าไปเข้าฝักฝ่ายนางมู่เฉียนซีรึ ? ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

— ปัง! —

ซวนหยวนจือง้างมือตบซวนหยวนหลี่เทียนอย่างแรง

ร่างของซวนหยวนหลี่เทียนกระแทกกับกำแพงจนกระอักเลือดออกมาคำโต เขาตะโกนขึ้นในทันใด

“ซีเอ๋อร์ รีบหนีไป!”

ทันใดนั้นเอง ซวนหยวนชิงอวิ๋นก็ชักกระบี่เล่มยาวออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ซวนหยวนจือ หากท่านกล้าทำร้ายมู่เฉียนซี ข้าจะสู้กับท่านให้ถึงที่สุด”

.