ซวนหยวนจือโกรธจนกระอักเลือด
“เจ้ามันก็เป็นโอรสเลวอีกคนงั้นรึ ?! คนเช่นเจ้าก็เห็นสตรีผู้นี้ดีกว่าบิดาของตัวเอง!”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นแค่นเสียงเย็นชา “ซวนหยวนจือ ในตอนที่ท่านแม่ของข้าถูกฮองเฮาทำร้ายจนสิ้นพระชนม์ ท่านก็ไม่เคยเหลียวมอง แม้แต่ไปดูใจก็ไม่มี มาตอนนี้ท่านมีสิทธ์อะไรมาว่าข้าหรือ ?”
ซวนหยวนจือจ้องมองมู่เฉียนซีอย่างโหดเหี้ยม
“เหอะ! ตระกูลมู่ของพวกเจ้าก่อเรื่องเอาไว้มากมายนัก มู่เฟิงอวิ๋นท่านพ่อของเจ้าทำให้ฮองเฮาของข้าหลงรักคะนึงหาอยู่ตลอดเวลาหลายปี และนี่ เจ้ายังทำให้โอรสชายของข้าทั้งสองปกป้องเจ้าได้ถึงเพียงนี้ เพื่อเจ้าพวกเขาถึงกับยอมวางตัวเป็นศัตรูกับข้า”
มู่เฉียนซีกล่าวติดตลก “นั่นมันไม่ใช่ว่าพวกเราเป็นคนก่อเรื่อง แต่ซวนหยวนจือ สาเหตุเป็นเพราะนิสัยแย่ ๆ ของท่านเองต่างหาก”
ซวนหยวนจือใบหน้านิ่วคิ้วขมวดมุ่น กล่าวอย่างเย็นชา “มู่เฉียนซี มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้าก็ยังปากเก่งดื้อดึงกล้าต่อปากต่อคำ วันนี้ต่อให้มีโอรสเนรคุณสองคนคอยปกป้องเจ้าข้าก็ไม่สนใจ ใครขวางข้า ข้าจะฆ่าให้หมด!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “ซวนหยวนจือ ต่อให้วันนี้ข้าไม่ลงมือกับท่าน ท่านก็มิอาจฆ่าข้าได้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านถึงทะลวงพลังระดับจักรพรรดิได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ?”
ซวนหยวนจือผงะไปครู่หนึ่ง “เหตุผลที่ข้าทะลวงพลังระดับจักรพรรดิได้ก็เป็นเพราะว่าข้าได้ยาจักรพรรดิหวงหลัวตานมาอย่างไรเล่า ต่อให้เงินที่ใช้เป็นเงินของตระกูลมู่แล้วอย่างไร ? หลังจากที่เจ้ากับมู่อวู่ซวงตาย ทรัพย์สมบัติทุกอย่างของตระกูลมู่ก็ต้องตกเป็นของข้าผู้นี้ผู้เดียว”
ใบหน้าของมู่เฉียนซีเปลี่ยนแปลง นางยิ้มเยาะเพราะรู้สึกสมเพชฮ่องเต้หน้าเงินผู้นี้อย่างแท้จริง
“ฮ่า ๆ ซวนหยวนจือเอ๋ยซวนหยวนจือ ท่านก็รู้แค่ว่าตัวท่านได้กินยาจักรพรรดิหวงหลัวตาน แต่ท่านต้องไม่รู้เป็นแน่ว่าใครคือผู้ที่หลอมยาจักรพรรดิหวงหลัวตานนั่นขึ้นมาได้”
สีหน้าซวนหยวนจือพลันเปลี่ยนไปทันที “หรือว่า… หรือว่าจะเป็นหมอปีศาจที่หลอมมันขึ้นมา ?”
เขารู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ
มู่เฉียนซีกล่าวสบาย ๆ “ไม่ใช่หมอปีศาจหรอก แต่เป็นหัวหน้านักปรุงยาในหอหมอปีศาจต่างหาก ข้ารู้ดีถึงกระบวนการหลอมยาจักรพรรดิหวงหลัวตาน หลังจากจบกระบวนการหลอมส่วนผสมยาตามปกติ หมอปีศาจก็ได้ใส่อะไรบางอย่างเข้าไปในนั้น แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวท่านที่กินยาเข้าไป ?”
“หึ ๆ ซวนหยวนจือ เดิมทีข้าตั้งใจจะจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยลงมือจัดการกับท่าน แต่ใครเลยจะทราบว่าจะโดนฮองเฮากับมู่หรูเหยียนเล่นงานเสียก่อน ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ข้าก็จะเดินตามหมากเดิมที่ได้วางเอาไว้”
ซวนหยวนจือโกรธจนใบหน้าเครียดคล้ำ เขาตะคอก “มู่เฉียนซี จะ… เจ้าลอบใช้ยาจักรพรรดิหวงหลัวตานแก้แค้นข้ารึ ? จะ… เจ้า…”
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าทำไมรึ ? หากไม่ใช่เพื่อให้ท่านติดกับดักข้า ยาวิญญาณระดับเจ็ดจะปรากฏขึ้นในแคว้นจื่อเยี่ยได้รึ ? ข้าจะยอมให้ท่านยืมเงินทองไปประมูลยารึ ? ทั้งยังสัญญาหมั้นหมายอะไรนั่นอีก”
ซวนหยวนจือกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “มู่เฉียนซี เจ้า… เจ้ามันเล่นสกปรก เจ้ามันน่ากลัวยิ่งนัก เจ้ามัน…”
มู่เฉียนซีหยิบกระดิ่งออกมา กล่าวอย่างเชื่องช้า “หากท่านไม่ละโมบโลภมากต่อตระกูลมู่ ตระกูลมู่กับราชวงศ์ซวนหยวนก็อาจจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ แต่นี่จิตใจของท่านมันละโมบยิ่งนัก แน่นอนอยู่แล้วว่าตระกูลมู่ไม่ปล่อยเอาไว้ให้เป็นอันตราย”
— ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง! —
มู่เฉียนซีสั่นกระดิ่ง ฉับพลันทันใดพิษที่อยู่ในร่างของซวนหยวนจือระเบิดออกมาทันที
ต่อมามู่เฉียนซีนางก็จะสะกดจิตซวนหยวนจือ จากนี้ไปเขาจะไม่มีความคิดต่อต้านใด ๆ อีก และเขาจะอยู่ภายใต้การควบคุมของนางอย่างสมบูรณ์
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ชิงอวิ๋น เจ้าอยากขึ้นเป็นฮ่องเต้หรือไม่ ? หากเจ้าปรารถนา ข้าก็จะให้ซวนหยวนจือสละบัลลังก์ให้เจ้า”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นส่ายหน้า กล่าวว่า “ไม่ดีกว่า ข้าไม่ชอบพัวพันกับบัลลังก์อันแสนน่าเบื่อ”
มู่เฉียนซีคิดไปคิดมา ที่ชิงอวิ๋นว่าก็จริงแท้อยู่ ซวนหยวนชิงอวิ๋นได้เป็นถึงทายาทจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น ต่อไปเส้นทางการฝึกฝนของเขายังมีอีกยาวไกล เขาไม่จำเป็นต้องหวังในตำแหน่งฮ่องเต้นี้เลย
มู่เฉียนซีหันไปมองใบหน้าซวนหยวนหลี่เทียน บุรุษผู้นี้ไม่มีความน่าเชื่อใจอะไรเลย ดังนั้นใช้ซวนหยวนจือจะดีกว่า
มู่เฉียนซีกล่าว “เอาล่ะซวนหยวนจือ ท่านยังคงเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นจื่อเยี่ยอยู่ ทำหน้าที่เป็นฮ่องเต้ต่อไปดังเดิม…”
ซวนหยวนจือได้กลับมาครองบัลลังก์มังกรอีกครั้ง สถานการณ์ของแคว้นจื่อเยี่ยกลับมาเป็นปกติ และทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม
ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนประมุขทั้งสองครั้งของแคว้นจื่อเยี่ยที่ผ่านมานั้นเป็นเพราะกู่พิษ ราวกับแคว้นจื่อเยี่ยได้ประสบกับฝันร้ายทว่าก็เพียงเวลาไม่นานนัก
…
มู่เฉียนซีประกาศไปทั่วทั้งแคว้นจื่อเยี่ยและแคว้นชิง
หากผู้ใดสามารถหาสมุนไพรวิญญาณที่นางต้องการได้ นางจะมอบรางวัลอีกทั้งเงินรางวัลมากมายให้ แต่พื้นที่ที่มีสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นมันเป็นพื้นที่ที่เล็กมาก ยากที่จะมีผู้คนหาเจอได้
หลังจากที่มู่เฉียนซีได้ประกาศไปทั่ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดพบเจอสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นที่นางต้องการ
ตราบใดที่หาสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นเจอ หรืออาจะเจอแค่ต้นเดียว ก็สามารถรักษาชีวิตของท่านอาเล็กเอาไว้ได้แล้ว
แต่หากหาสมุนไพรวิญญาณนั้นไม่เจอจริง ๆ จวบจนถึงเวลานั้นขึ้นมา ท่านอาก็ไม่อาจยับยั้งพิษนั้นเอาไว้ได้ และผลที่ตามมานั้นคงไม่ต่างอะไรกับหายนะ
…
ยามรัตติกาล
เยี่ยอ๋องลอบเข้ามาในห้องนอนของมู่เฉียนซีตามเคย เขากล่าวเสียงต่ำ “ซี… ไม่ต้องร้อนใจไป ข้าได้ส่งคนไปตามหาให้เจ้าแล้ว”
ไม่ต้องพูดถึงแคว้นจื่อเยี่ยกับแคว้นชิง ต่อให้เป็นทั่วทั้งเซี่ยโจว การหาสมุนไพรวิญญาณชนิดนั้นเจอมันเป็นเรื่องที่ยากมาก
มู่เฉียนซีกล่าว “รบกวนเจ้าอีกแล้ว”
แม้จะกล่าวไปเช่นนั้น แต่หากเป็นเรื่องการช่วยรักษาอาการป่วยของท่านอาเล็ก มู่เฉียนซีไม่มีความเกรงใจใด ๆ กับจิ่วเยี่ย
ในขณะที่จิ่วเยี่ยกำลังจะคว้าร่างของมู่เฉียนซีมากอด ทันใดนั้นร่างสีเขียวพลันปรากฏขึ้น ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่น่าหลงใหล
“เยี่ย!”
ถูกขัดจังหวะเช่นนี้ จิ่วเยี่ยไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกราวน้ำแข็งทันที
“ไสหัวออกไป! ”
จื่อโยวกระโดดขึ้นหน้าต่างก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมีชัยอย่างผู้ที่เหนือกว่า “เยี่ย ได้เรื่องแล้ว เจ้าแน่ใจรึว่าจะไม่ฟังข้า ?”
จิ่วเยี่ยถอนหายใจ เขาเดินไปตรงหน้าจื่อโยว
“ว่ามา”
“ได้ข่าวเรื่องนางแล้ว น่าจะอยู่ทางทิศออกของเซี่ยโจว เยี่ย เจ้าจะลงมือเมื่อใดรึ ?”
มุมปากจื่อโยวกระตุกเล็กน้อย เขาไม่ทันระวังว่าเวลานี้มู่เฉียนซีอยู่ด้วยก็พล่ามออกไปแล้ว
มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง
‘นาง ? นางไหนรึ ?’
มู่เฉียนซีรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพลังของจิ่วเยี่ยนั้นแข็งแกร่งมาก อีกทั้งเขายังเป็นคนที่ลึกลับซับซ้อนเหนือผู้ใด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์บนโลกใบนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการที่เขามาในแผ่นดินเซี่ยโจวนี้ เขาจะตามหาใครบางคน
จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้ารู้แล้ว วันพรุ่งยามฟ้าสางจะไปทันที”
“อ๊ะ ๆ ๆ! ไม่นึกเลยว่าจะไปวันพรุ่ง ดูท่าแล้วเยี่ยคงจะทำใจห่างจากสาวน้อยคนงามผู้นี้ไม่ได้!” ขณะกล่าวออกไปเช่นนั้น มุมปากของจื่อโยวยกยิ้มขี้เล่นเล็กน้อย
มู่เฉียนซีเอาหมอนขว้างไปที่จื่อโยวพลางกล่าว “จื่อโยว หากเจ้าไม่หยุดพูดจาเหลวไหล ข้าจะฝังเจ้าด้วยยาพิษทั้งเป็นเลยคอยดู”
จื่อโยวรีบหลบ ทว่าปากก็ยังกล่าววาจาขี้เล่นไม่หยุด “ฮ่า ๆ ๆ แม่สาวน้อย อย่าเพิ่งโกรธไปเลย โอ๊ะโอ! นี่เจ้าหึงหวงใช่หรือไม่ ?”
“ข้าบอกเจ้าก็ได้ วันพรุ่ง เยี่ยกับข้าจะไปหาใครบางคน ใครคนนั้นเป็นสตรี นางทั้งเป็นสตรีที่งดงามและอ่อนโยนมากเลยเชียว”
มู่เฉียนซีสะดุ้งเล็กน้อย “จื่อโยว เจ้าจะมาบอกเรื่องนี้กับข้าเพื่ออะไร ?”
“ไสหัวกลับไปซะ!” จิ่วเยี่ยสุดจะทน เขาระเบิดพลังไล่สหายปากไม่มีหูรูดนี้ออกไป
— ปัง! —
จื่อโยวไม่ทันระวังตัว ร่างของเขาจึงตกลงมาจากหน้าต่างกระแทกลงไปกับพื้น
“ไอ้หยา! เยี่ย เจ้านี่โหดร้ายแท้ ๆ” จื่อโยวบ่น เขาประคองตน มือปัดก้นพลางยันกายลุกขึ้นด้วยความอับอายเล็กน้อย
การที่เขากล่าววาจาเช่นนั้นออกไปก็เพื่อที่จะให้สาวน้อยมู่เฉียนซีผู้นี้รู้สึกอิจฉาและหึงหวง ทำเช่นนี้เพื่อที่จะให้สาวน้อยรู้ใจตัวเองว่านางสนใจเยี่ย มีความรู้สึกพิเศษกับเยี่ย มิเช่นนั้นแล้วหากปล่อยให้เยี่ยใช้วิธีของเขาต่อไป เห็นทีจะไม่มีวันชนะใจสาวน้อยคนงามผู้นี้แน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเวลานี้เยี่ยยังโกรธอยู่ จื่อโยวไม่อยากอยู่ใส่ไฟต่อไปอีก
จิ่วเยี่ยเดินไปตรงหน้ามู่เฉียนซี พลันคว้าร่างนางมากอดเอาไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ซี นับจากวันพรุ่งข้าจะไม่อยู่ช่วงหนึ่ง”
มู่เฉียนซีพยักหน้า กล่าวด้วยเสียงแข็ง ๆ ใส่อารมณ์โดยที่นางไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
“อืม! ข้ารู้แล้วว่าเจ้าต้องไปตามหาใครบางคน”
.