ตอนที่ 240 รับบัญชา

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 240 รับบัญชา

มิรู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ ๆ มู่จวินฮานก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา เขาเอ่ยว่า “ท่านพ่อวางใจเถิด ลูกโตแล้วขอรับ”

ใช่แล้ว บุตรชายของเขาโตแล้ว สามารถเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตนเองได้เช่นกัน

อ๋องมู่หัวเราะออกมาแล้วปลดกระบี่ที่แขวนอยู่บนผนังออก คมกระบี่สีขาวสะท้อนให้เห็นความดุเดือดและกระหายโลหิตบนใบหน้าของเขา

เช้าวันที่สองก็เป็นวันที่เหล่าขุนนางถกเถียงกันเรื่องแคว้นชิงเยว่

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ข่าวว่าแคว้นชิงเยว่กำลังระดมพลราวกับพวกมันเตรียมบุกโจมตีม่อเป่ยพ่ะย่ะค่ะ”

คนที่ยืนขึ้นเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ผู้หนึ่ง เขาพยายามอย่างมากในการสร้างผลงานแล้วไต่เต้ามาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ได้มาถึงจินหลวนเตี้ยน

ฮ่องเต้เหลือบมองเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็เผยแววพระเนตรที่เข้มงวดขึ้นมา ทว่าที่มีมากกว่าก็คือความโมโห

“เรื่องนี้ข้าได้ทราบข่าวมาก่อนแล้ว”

สีพระพักตร์มืดครึ้มของเขาทำให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นมิกล้าเอ่ยออกมา

แต่ยังคงเป็นอัครมหาเสนาบดีที่คาดเดาความคิดของฮ่องเต้ออก เขาจึงยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า

“ทูลฝ่าบาท แคว้นชิงเยว่เป็นเพียงแคว้นที่มีพื้นที่เล็กๆ แต่บังอาจเคลื่อนทัพมาโจมตีต้าโจวของเรา นั่นคือการรนหาที่ตายชัด ๆ ขอฝ่าบาททรงมีราชโองการให้เหล่าทหารกำจัดพวกมันจนสิ้นซากด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ขอฝ่าบาททรงมีพระราชโองการด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาทโปรดมีพระราชโองการให้กองทัพเจิ้นเป่ยของเราสังหารข้าศึก ปกป้องบ้านเมืองพ่ะย่ะค่ะ ! ”

อัครมหาเสนาบดีเพิ่งกล่าวจบ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนในราชสำนักก็ยืนขึ้นและเดินออกมาเป็นแถว แต่ละคนมีสีหน้าจริงจังและโกรธเคือง

เมื่อมีคำกล่าวของพวกเขา สีพระพักตร์ของฮ่องเต้จึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย

“ท่านอ๋องมู่”

ฮ่องเต้เรียกทีหนึ่ง อ๋องมู่พลันเดินออกมาและยกมือขึ้นคารวะ “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

“แคว้นชิงเยว่เคลื่อนทัพมาโจมตีต้าโจวของเรา เรื่องนี้ท่านรู้หรือไม่ ? ”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมทราบแล้วเมื่อวานพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอ๋องมู่ไตร่ตรองคำที่กล่าวออกมาอย่างเงียบ ๆ แล้วเงยหน้ามองสีพระพักตร์ของฮ่องเต้

เมื่อได้ยินว่าอ๋องมู่เพิ่งได้รับข่าวเมื่อวานเช่นกัน ดวงเนตรของฮ่องเต้จึงมีประกายดำมืดฉายผ่านวูบหนึ่ง แม้มิได้แสดงออกทางสีพระพักตร์แต่พระโอษฐ์ที่เม้มเข้าหากันแน่นก็คลายออกเล็กน้อย

อ๋องมู่รู้ทันทีว่าวันนี้ฮ่องเต้ทรงไร้โทสะ

แต่ก็ยังระแวงตนอยู่ดี !

ในใจของอ๋องมู่จึงรู้สึกมิค่อยดีอยู่ลึก ๆ

เขาเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเจิ้นเป่ย เป็นผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ในการสู้รบแต่กลับมิได้เฝ้าระวังอยู่ในม่อเป่ย ซ้ำยังถูกฮ่องเต้เรียกตัวกลับเมืองจิง เขาจึงกลายเป็นเหมือนเสือที่ถูกขังไว้ในกรง

แต่เพื่อมิให้ฮ่องเต้หวาดระแวงมากยิ่งขึ้น เขาจึงต้องเจียมตัวอย่างยิ่ง แม้กระทั่งบุตรชายคนโตเพียงคนเดียวก็ยังให้ทำท่าทางมิเอาไหนออกมา แต่ก็ยังลบล้างความหวาดระแวงของฮ่องเต้ออกไปมิได้

วันนี้แคว้นชิงเยว่กำลังเคลื่อนทัพเพื่อบุกโจมตีต้าโจว แต่ฮ่องเต้ยังใช้เวลาอันตรายเช่นนี้มาลองใจเขาอีกครั้ง นี่คือความโชคร้ายของเขาหรือคือความโชคร้ายของต้าโจวกันแน่ !

อ๋องมู่มิสบายใจยิ่งนัก บนใบหน้าของเขาจึงมีความทุกข์ปรากฏอยู่

แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว อารมณ์ของฮ่องเต้กลับดีขึ้นมิน้อยเลยทีเดียว

“ในเมื่ออ๋องมู่ทราบข่าวแล้ว คงรู้ว่าเรื่องนี้มีความรุนแรงมากเพียงใด”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอ๋องมู่ “ทั่วทั้งต้าโจวก็มีเพียงท่านที่คุ้นเคยกับม่อเป่ยที่สุด คุ้นเคยต่อทหารชิงเยว่ ข้าจักส่งท่านกลับม่อเป่ยแล้วให้นำทัพทหาร 100,000 นายสังหารทัพชิงเยว่ให้หมด ต้องทำให้พวกมันมิกล้าโจมตีพวกเราอีก ! ”

“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องมู่คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น เขาก้มศีรษะลง ดวงตาราวพยัคฆ์เต็มไปด้วยความฮึกเหิม

“กระหม่อมจักมิทำให้พระองค์ผิดหวัง กระหม่อมต้องทำให้แคว้นชิงเยว่ก้มศีรษะให้พวกเราได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ดี ข้าจักรอฟังข่าวดีจากท่าน!” ฮ่องเต้ตบพระหัตถ์หนึ่งฉาดแล้วร่างราชโองการทันที ทรงให้อ๋องมู่ถือตราจอมทัพนำทัพทหารเจิ้นเป่ย 100,000 นายกำจัดข้าศึกที่นอกภูเขาเยี่ยน

ราชโองการนี้มีผลในทันที อ๋องมู่ก็มิเสียเวลาอีก เขาเก็บสัมภาระอย่างง่าย ๆ แล้วนำม้าเร็วมิกี่ตัวพร้อมผู้ติดตามข้างกายเดินทางมุ่งหน้าสู่ม่อเป่ย

เมื่อส่งบิดาออกนอกเมืองไปแล้ว ใบหน้าอันหล่อเหลาของมู่จวินฮานจึงดูซับซ้อนขึ้นมาทันที

เขาหันกลับเข้าเมือง เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมประจำก็สั่งสุรามาหนึ่งไห

หน้าต่างที่เปิดอยู่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมของชั้นล่างได้ พ่อค้าแม่ขายทั้งสองข้างถนนต่างก็ตะโกนเสียงดังเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน เมืองหลวงมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่เสมอ

ต่อให้ห่างออกไปหลายพันลี้กำลังมีศึกสงครามบุกมา มีนักรบนับแสนนายกำลังเข่นฆ่ากันอยู่ แต่ที่นี่ก็ยังเป็นโลกที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง มีเสียงร้องเพลงและการเต้นรำดังเดิม

มู่จวินฮานรินสุราลงในจอก แต่มิได้มีอารมณ์อยากดื่มมันแม้แต่น้อย

เขากึ่งนั่งกึ่งพิงอยู่ข้างหน้าต่าง ดวงตามองลงไปด้านล่างก็เห็นเด็กน้อยที่กำลังน้ำลายไหลเพราะถังหูลู่สีแดงสด เห็นหญิงชราที่ร้านดอกไม้กำลังเรียกลูกค้าและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านไปพร้อมด้ามขวาน

นี่คือความสงบสุขของราษฎรที่บิดาของเขาและฮ่องเต้กำลังปกป้องอยู่

บิดาของเขาใช้เลือดเนื้อต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อปกป้องราษฎร แต่ฮ่องเต้ยังสงสัยและระแวงในตัวเขาอีก ทั้งยังกักตัวบิดาให้อยู่ในเมืองจิง ทว่าพอเกิดสงครามขึ้นก็ได้นึกถึงบิดาขึ้นมา !

แววตาของมู่จวินฮานมีความโกรธเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ฟู่หวางทำช่างมิคุ้มค่าเอาเสียเลย

ดวงตาของเขามืดมิดราวกับความโกรธรวมตัวกันอยู่ในดวงตาและได้หยุดลงในจุดหนึ่งโดยฉับพลัน

คนเหล่านั้นดูแปลก !

มู่จวินฮานจับจ้องพวกเขา ดวงตาเป็นประกายแหลมคม

ตอนนั้นเขาก็เคยเจอคนแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน เพราะความอยากรู้จึงเดินตามไป ต่อมาเห็นคนเหล่านั้นโยนของบางอย่างลงในบ่อน้ำ เดิมทีอยากวิ่งตามไปดู ทว่ากลัวจักถูกเปิดเผยตัวตนจึงมิได้ตามเรื่องนี้ต่อ

และคาดมิถึงว่าจักได้เจอพวกนั้นอีกครั้ง

มุมปากของมู่จวินฮานขยับขึ้นเล็กน้อยและดวงตาก็เอาแต่จ้องไปที่คนเหล่านั้น

เขาเห็นอีกฝ่ายทำทีขีดเขียนบางอย่างลงบนก้อนหินอย่างมิตั้งใจและยังมีคนอีกสองสามคนที่เดินไปมาเพื่อบดบังสายตาของเขาไว้

พวกนั้นกำลังส่งข่าว!

แม้มิเคยเข้าสนามรบมาก่อน แต่มู่จวินฮานก็หูตาไวยิ่งนัก ทั้งยังได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากอ๋องมู่

สายลับที่พวกเขาเคยส่งไปแคว้นชิงเยว่ก็ใช้วิธีนี้ในการส่งข่าว แต่ที่นี่คือต้าโจว คนของต้าโจวย่อมมิจำเป็นต้องใช้วิธีนี้

หากใช้วิธีหลบซ่อนเพื่อส่งข่าวในต้าโจว ย่อมเป็นไปได้อย่างเดียวก็คือสายลับของแคว้นอื่น !

ดวงตาของมู่จวินฮานเข้มขึ้น เขาจ้องไปยังคนเหล่านั้นและจ้องจนได้เบาะแสบางอย่าง

เขารีบออกจากโรงเตี๊ยมและถือไหสุราที่ยังดื่มมิหมดไว้ในมือ

พวกนั้นสองสามคนได้เขียนสัญลักษณ์บนก้อนหินเสร็จแล้วกำลังเตรียมตัวจากไป แต่ก็ถูกมู่จวินฮานชนอย่างแรงเสียก่อน

“เดินอย่างไรของเจ้า ? ”

คนที่ถูกชนร้องขึ้นมาทันที เขาดึงแขนเสื้อขึ้นและทำท่าเหมือนอยากเอาคืน

สำเนียงแปลกหูมิคุ้นเคย มู่จวินฮานจึงยิ่งแน่ใจในสิ่งที่คาดเดาเอาไว้มากขึ้น

เขาชำเลืองมองคนพวกนั้นด้วยใบหน้าเย่อหยิ่ง “เปิ่นซื่อจื่อต่างหากต้องถามว่าพวกเจ้าเดินกันเยี่ยงไร พวกเจ้ามารวมตัวกันที่นี่คงมิใช่เพราะคิดก่อเรื่องมิดีกระมัง ? ”

มิรอให้คนเหล่านั้นได้ตอบ มู่จวินฮานก็ร้อง อ้อ ออกมาทีหนึ่ง ท่าทางเหมือนคนเมาสุรา “เห็นทีพวกเจ้าจงใจมาชนข้าเองใช่หรือไม่ ? ”

เมื่อทหารลาดตระเวนเดินผ่านมา มู่จวินฮานจึงรีบตะโกนเสียงดัง “คนพวกนี้รวมตัวกันทำเรื่องมิดี รีบจับตัวพวกมันไว้เดี๋ยวนี้ ! ”