ตอนที่ 241 สอบสวน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 241 สอบสวน

ทหารลาดตระเวนเป็นเพียงทหารธรรมดาที่สุดในเมืองหลวง

แม้ในมือของพวกเขามีดาบหรือกระบี่ ทว่าส่วนมากเป็นบุตรของขุนนางขั้นต่ำสุดจึงถูกส่งมาที่นี่เพื่อทำงานที่มั่นคงเท่านั้น จักคาดหวังให้พวกเขาเก่งกาจย่อมเป็นไปมิได้

ทว่าพวกเขาสวมเกราะและในมือยังถือดาบและกระบี่ ดังนั้นหากให้พวกเขาดูแลความสงบของราษฎรย่อมพอทำได้อยู่แล้ว

ตอนนี้พวกเขาได้ยินเสียงร้องของมู่จวินฮานจึงรีบปรี่เข้ามาและจ้องคนเหล่านั้นด้วยท่าทางดุดัน “พวกเจ้ามาก่อเรื่องที่นี่ใช่หรือไม่ ? “

คนที่โดนทหารล้อมไว้รีบมองสบตากัน จากนั้นก็เอ่ยว่า “เรียนใต้เท้า พวกเราแค่เดินผ่านมา มิได้รวมตัวกันก่อเรื่องใดเลยขอรับ”

หากมิใช่เพราะกลัวโดนเปิดเผยตัวตน พวกมันคงกำจัดทหารเหล่านี้ไปนานแล้ว !

มู่จวินฮานตะคอกทีหนึ่ง “เหลวไหล เมื่อครู่พวกเจ้าจงใจชนเปิ่นซื่อจื่อและท่าทางยังดูคุกคามนัก หากมิใช่ก่อเรื่องแล้วจักเป็นอันใด ? ”

ทหารเหล่านั้นแม้มิรู้จักมู่จวินฮาน แต่ก็ได้ยินเขาเรียกแทนตนว่าซื่อจื่อครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเนื้อผ้าของอาภรณ์ที่สวมก็ล้วนเป็นผ้าชั้นดีทั้งนั้น พวกเขาจึงรู้ว่าสถานะของมู่จวินฮานต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน

ส่วนคนเหล่านั้นแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา พวกเขาแทบมิต้องคิดเลยว่าควรช่วยใคร

“พวกเจ้าก่อกวนความสงบของเมืองจิง ต้องกลับไปกับเรา ! ”

ทหารนายที่ถือกระบี่อยู่ในมือเดินมาด้านหน้าแล้วใช้กระบี่ชี้ไปที่คนเหล่านั้น

มีคนหนึ่งที่ขยับมือ ทว่าถูกคนข้าง ๆ กดไว้พลางส่ายศีรษะเป็นเชิงห้ามปราม

“ใต้เท้า พวกเราเป็นคนธรรดาจริง ๆ ขอรับ ! ”

ชายที่ส่ายศีรษะอธิบายพลางขยิบตาให้พวกพ้อง

คนเหล่านั้นได้รับสัญญาณต่างก็กล่าวว่าตนโดนปรักปรำขึ้นมาทันที

“หยุดเอ่ยเรื่องไร้สาระได้แล้ว ! ”

เสียงเอะอะทำให้เหล่าทหารปวดหัว คนที่เป็นหัวหน้าจึงตะคอกขึ้นมาทีหนึ่ง “พวกเจ้าเป็นคนดีหรือไม่ ต้องให้พวกเราสอบสวนก่อน หากพวกเจ้ามิมีปัญหาอันใด พวกเราย่อมปล่อยตัวอยู่แล้ว”

คนเหล่านั้นส่งสายตาให้กันและกัน จากนั้นจึงยอมเดินตามทหารไปอย่างเชื่อฟัง

อย่างไรตอนที่พวกตนแฝงตัวเข้ามาในต้าโจวก็ได้ทำการปลอมแปลงทุกอย่างไว้แล้วจึงมิกลัวการโดนตรวจสอบ

มู่จวินฮานมองคนเหล่านั้นโดนนำตัวไปแล้ว ครานี้เขาจึงได้มีโอกาสไปดูสัญลักษณ์ที่เขียนไว้บนก้อนหิน

ตัวอักษรบนนั้นทำให้เขาต้องโยนไหสุราในมือทิ้งแล้วรีบร้อนเดินมุ่งหน้าสู่พระราชวัง

แต่เดินไปเพียงครึ่งทาง เขาก็หันกลับอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วเดินไปทางจวนโหวแทน

“ไปรายงานท่านโหวอันว่าเปิ่นซื่อจื่อมาเยี่ยม”

มู่จวินฮานกล่าวพลางเดินเข้าจวนโหวไปด้วย

เขาถือเป็นผู้มีพระคุณต่ออันอิงเฉิง ดังนั้นคนของอันอิงเฉิงจึงมิกล้ารั้งไว้และรีบเข้าไปรายงานให้นายท่านทราบทันที

“มู่ซื่อจื่อกำลังบอกว่ามีสายลับแคว้นอื่นลอบเข้ามาในเมืองจิงอย่างนั้นหรือ ? ”

อันอิงเฉิงนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ สีหน้าดูตกตะลึง

มู่จวินฮานพยักหน้าแล้วเล่าเรื่องราวที่ได้เจอออกมา

“ประมาณสองเดือนก่อน ข้าเคยเห็นคนเหล่านี้ทำตัวลับล่อแล้วโยนบางอย่างลงในบ่อน้ำของหมู่บ้านแถบชานเมือง วันนี้ก็เจอพวกเขาอีกครั้งและเห็นว่าพวกเขาทำเครื่องหมายลงบนก้อนหินขอรับ”

การทำเครื่องหมายไว้บนก้อนหินสำหรับคนธรรมดาต้องเสียเวลามิน้อย ทว่าสำหรับคนที่มีกำลังภายใน หากทำเรื่องนี้ก็มิต้องเสียแรงและเวลามากเท่าไร

เพียงแต่พวกนั้นเคลื่อนไหวในเมืองหลวงของต้าโจวจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นคนแคว้นอื่นที่กำลังส่งข่าวให้กัน

อันอิงเฉิงใช่ว่ามิรู้เรื่องอันใดเลย เขาครุ่นคิดสักพักก็เข้าใจได้ทันที

“แล้วตอนนี้คนพวกนั้นไปไหนแล้ว ? ”

หากคนเหล่านั้นหนีไปแล้ว แม้รู้ว่าเป็นสายลับจากแคว้นอื่นแต่จับตัวมิได้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี

มู่จวินฮานยกยิ้มตรงมุมปาก สีหน้าย่ามใจ “พวกเขาถูกทหารลาดตระเวนจับตัวไปแล้ว ตอนนี้คงถูกขังไว้ที่คุกของหน่วยลาดตระเวนขอรับ”

ตราบใดที่สายลับมิเต็มใจเปิดเผยตัวตน พวกเขาต้องปฏิบัติตามการสอบสวนของหน่วยลาดตระเวนอย่างเชื่อฟังซึ่งจักสามารถยื้อเวลาได้บ้าง

เมื่อเห็นอันอิงเฉิงตกตะลึง มู่จวินฮานจึงเอ่ยต่อ “ตอนนี้ข้าอยากมาขอความช่วยเหลือจากท่านโหวขอรับ”

“มิกล้า มิกล้า”

เมื่อผ่านเรื่องโรคระบาดมาได้ อันอิงเฉิงจึงมิกล้าดูถูกท่าทีที่มิเอาไหนของมู่จวินฮานอีก

แม้ภายนอกของคนผู้นี้อาจดูยิ้มแย้มสดใส ทว่าฝีมือโหดเหี้ยมมิธรรมดา

หากมิใช่มู่จวินฮานจับจุดอ่อนของใต้เท้าเจียวได้ พวกเขาคงยากทำตามแผนการรักษาโรคระบาดในฉู่โจวและเหตุการณ์อาจมิราบรื่นเช่นนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาถูกขังไว้ในคุกหลวง มู่จวินฮานก็ได้ออกหน้าให้จนเขาถูกปล่อยตัวออกมา อีกทั้งยังสามารถได้รับความเชื่อใจจากฮ่องเต้ด้วย

ด้วยเหตุผลหลายอย่าง แม้อันอิงเฉิงเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่ก็มิสามารถทำท่าเหนือกว่าใส่มู่จวินฮานได้อย่างแน่นอน

เขายิ้มออกมาโดยมิต้องนึก “มู่ซื่อจื่อกล่าวเช่นนี้ถือว่าเกรงใจข้าเกินไปแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าช่วย ข้าย่อมมิปฏิเสธแน่นอน เพียงแต่มิทราบว่ามู่ซื่อจื่อต้องการให้ข้าทำอันใดหรือ ? ”

“ตราพยัคฆ์สำหรับบัญชาการเคลื่อนพลของเซินจีหยิงอยู่ในมือของท่านโหว ข้าอยากให้ท่านนำคนไปที่หน่วยลาดตระเวนแล้วพาสายลับเหล่านั้นไปที่หน่วยเซินจีหยิงขอรับ”

มู่จวินฮานเอ่ยตามตรงมิอ้อมค้อม ดวงตาเรียวยาวมีประกายดำมืดวาบผ่าน “คนเหล่านั้นกล้าส่งข่าวในเมืองจิง ตอนที่ถูกคนของหน่วยลาดตระเวนนำตัวไปก็มิเห็นมีความแตกตื่นอันใด ข้าคิดว่าพวกเขาคงได้สร้างตัวตนปลอม ๆ ไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงมิได้กลัวการตรวจสอบขอรับ”

สายลับที่เราส่งไปแคว้นชิงเยว่ก็ปลอมตัวเช่นกัน เพราะแบบนั้นจึงสืบข่าวออกมาได้ง่ายกว่า ดังนั้นมู่จวินฮานจึงมีความคาดเดาเช่นนี้

“ข้าอยากทราบจุดประสงค์ของพวกมัน ดังนั้นต้องรบกวนท่านโหวอันร่วมมือด้วยขอรับ” มู่จวินฮานยกมือขึ้นแล้วคารวะอันอิงเฉิง

อันอิงเฉิงจึงรีบโบกมือ เขาเข้าใจเจตนาของมู่จวินฮานแล้วว่าอยากนำตัวคนเหล่านั้นกลับไปหน่วยเซินจีหยิง จากนั้นก็สืบสวนด้วยตนเอง

“ข้าโชคดีที่ได้รับความไว้ใจจากฝ่าบาท แน่นอนว่าข้าต้องดูแลความสงบสุขของเมืองจิงอยู่แล้ว”

เขายืนขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง “เชิญมู่ซื่อจื่อเดินทางไปกับข้าเถิด”

ดวงตาของมู่จวินฮานมีรอยยิ้ม เขามิได้กราบทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ แต่มาหาอันอิงเฉิงโดยตรงเพราะรู้ดีว่าอันอิงเฉิงต้องให้ความร่วมมือแน่นอน

ด้วยวิธีนี้เขาจักได้มิทำให้ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงอีก

มู่จวินฮานและอันอิงเฉิงออกจากจวนโหว ต่างคนต่างขี่ม้าเร็วไปคนละตัว อันดับแรกพวกเขาไปยังค่ายที่ตั้งของเซินจีหยิง จากนั้นก็รีบเดินทางไปที่หน่วยลาดตระเวน

ทหารลาดตระเวนรู้ว่าช่วงนี้อันอิงเฉิงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เมื่อได้ยินว่าเขามาขอรับตัวคนจึงโบกมือสั่งให้นำตัวสายลับเหล่านั้นออกมา

“ท่านโหวอัน คนที่ท่านต้องการอยู่ที่นี่แล้วขอรับ”

ใบหน้าของเจ้าหน้าที่เผยรอยยิ้มเป็นมิตรและดวงตายังดูกระตือรือร้นในการต้อนรับอีกด้วย

มู่จวินฮานเหลือบมองทีหนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมิทันสังเกตเห็น

อันอิงเฉิงตอบ อืม แล้วพูดเสียงดังกับสายลับ “ข้าได้รับร้องเรียนว่าพวกเจ้าสังหารคนไป 103 คนในหมู่บ้านคัง โทษของพวกเจ้าร้ายแรงมาก ยังมิรีบยอมรับออกมาอีก ! ”

พวกเขามิรู้จักหมู่บ้านคังอันใดทั้งนั้นและมิได้สังหารคนแต่อย่างใด

เหล่าสายลับรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ผิดปกติ ดังนั้นพวกเขาพลันผุดลุกขึ้นและโจมตีทหารที่อยู่ด้านข้างแล้วหลบหนีออกไป