บทที่ 605 เจ้าขนปุกปุยสีขาวผู้หิวโหย + บทที่ 606 จิ้งจอกตัวน้อยคอยนำทาง

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 605 เจ้าขนปุกปุยสีขาวผู้หิวโหย

ที่แห่งนี้ไม่มีแม้แต่ผลไม้ให้กิน ทำให้หนิงเมิ่งเหยารู้สึกหดหู่

ปกติแล้ว เฉียวเทียนช่างสามารถอดทนต่อความหิวโหยได้มากกว่าหญิงสาว แต่ตอนนี้เขาเองก็เริ่มรู้สึกหิวแล้วเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับนาง

“ถ้าเช่นนั้น พวกเราลองสำรวจดูรอบๆ ว่าพอมีอะไรที่สามารถกินได้บ้าง” เฉียวเทียนช่างเห็นท่าทีของภรรยา ก็เข้าใจความรู้สึกของนางได้ในทันที

หลังจากนั้น หนิงเมิ่งเหยาก็เดินหาไม้มาทำฟืนอยู่พักใหญ่ จนได้จำนวนที่เพียงพอ

เมื่อหญิงสาวเดินกลับมา เฉียวเทียนช่างก็จับปลามาได้สองสามตัว จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มทำความสะอาดปลา

หนิงเมิ่งเหยามองปลาเหล่านั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย แต่มือของนางก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว นางจุดไฟ ก่อนจะช่วยชายหนุ่มย่างปลา

หญิงสาวลูบคางของตนขณะมองปลาที่ย่างไฟอยู่นั้น ก่อนจะเดินไปริมแม่น้ำและดึงหญ้าบางส่วนมายัดลงในท้องปลา

“มันจะช่วยดับกลิ่นคาวได้” เมื่อเห็นว่าเฉียวเทียนช่างมองตนด้วยความฉงน หญิงสาวจึงอธิบายด้วยรอยยิ้ม

ระหว่างที่กำลังย่างปลากันอยู่นั้น ทั้งคู่ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีดวงตาที่แดงก่ำคู่หนึ่งในความมืดกำลังจับจ้องมาที่พวกเขาอย่างเย็นชา

ทันใดนั้น เฉียวเทียนช่างก็หันหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พบอะไร

ชายหนุ่มคิดในใจว่าตนเองอาจจะคิดมากเกินไป

ในตอนนั้น เขารู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนมองดูพวกเขาอยู่ในความมืด ดวงตาของมันดูดุดันอย่างมาก

หลังจากที่เฉียวเทียนช่างมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบอะไร เขาจึงหันกลับมามองภรรยาที่กำลังย่างปลาอย่างตั้งใจ

เวลาผ่านไปสองก้านธูป ปลาจำนวนมากที่ย่างสดๆ ในกองไฟนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง หนิงเมิ่งเหยาหยิบมันขึ้นมาอย่างห้ามใจไม่ได้ ก่อนจะยื่นมันให้กับสามี และมองเขาอย่างหิวโหย

เฉียวเทียนช่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาส่ายหน้าพร้อมกับแกะเนื้อปลา ก่อนจะป้อนให้หญิงสาว

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังป้อนอาหารให้กันอย่างใกล้ชิด หนิงเมิ่งเหยาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

หญิงสาวมองไปโดยรอบอย่างสงสัย “เทียนช่าง เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่”

“ได้ยิน ไปดูกันเถอะ” และแล้วดวงตาของชายหนุ่มก็สังเกตเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ สีขาวมายืนอยู่ข้างๆ ขาของภรรยา

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาหันหน้าไปโดยไม่ระวัง นางก็เห็นสัตว์ตัวเล็กน่ารักสีขาวกำลังจ้องมาทางพวกเขา ไม่สิ…พูดให้ถูกก็คือมันน่าจะมองปลาในมือของพวกเขาอยู่ต่างหาก

หญิงสาวหยิบเนื้อปลาที่ยังไม่ได้กินวางไว้ตรงหน้าเจ้าตัวสีขาวนั้น “กินสิ”

เจ้าตัวสีขาวดูลังเลและมองดูปลาตรงหน้านิ่งๆ แต่แล้วมันก็อดใจไม่ไหว ในที่สุดก็เริ่มกินอาหารตรงหน้า

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเห็นว่าเจ้าตัวเล็กกำลังกินปลา นางก็หัวเราะอย่างอดไม่ได้ เฉียวเทียนช่างที่อยู่ด้านข้างไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นจึงแกะเนื้อปลา ก่อนจะป้อนให้นางเมื่อพวกเขากินจนอิ่ม เจ้าตัวเล็กนั้นก็หายไปแล้ว

หญิงสาวมองดูก้างปลาข้างๆ ด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หลังจากที่เจ้าตัวเล็กกินเสร็จ มันก็หนีหายไป โดยไม่ยอมให้นางได้ลูบคลำเลย

หนิงเมิ่งเหยาชอบสัตว์ที่มีขนสีขาวปุกปุยเป็นที่สุด

“นอนกันเถอะ” เฉียวเทียนช่างดึงภรรยาเข้ามากอดในอ้อมแขนและพูดกระซิบ

หญิงสาวผงกศีรษะและเอนตัวพิงหน้าอกของอีกฝ่าย จากนั้นจึงหลับตาลง

วันรุ่งขึ้น หลังจากที่หนิงเมิ่งเหยาตื่นนอน นางก็พบว่าตนเองกำลังนอนห่มเสื้อของเฉียวเทียนช่าง ในขณะที่เขากำลังทำความสะอาดปลาอยู่

หนิงเมิ่งเหยาเดินไปตรงแม่น้ำ เพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น ก่อนจะมองชายหนุ่มทำอาหารด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

ขณะนั้นเอง หญิงสาวก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

เมื่อนางหันไปมอง ก็พบจิ้งจอกขาวตัวน้อยซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับเมื่อวานนี้ มันกำลังคาบกิ่งไม้ที่มีผลไม้สองสามผลอยู่ในปาก และนั่นทำให้หญิงสาวหัวเราะคิกคัก

เมื่อเจ้าตัวน้อยเห็นหนิงเมิ่งเหยา มันก็ก้มหน้าเพื่อวางของในปากลง และส่งเสียงร้องทันที

หนิงเมิ่งเหยาเดินเข้าไปหยิบผลไม้ที่เจ้าตัวขาวนั้นเอามาให้ ก่อนจะกอดและลูบมันในอ้อมแขนด้วยความเอ็นดู

เจ้าตัวขาวไม่ขัดขืน นอกจากนี้ มันยังหนุนตัวอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวอีกด้วย

“เอามาให้ข้าหรือ”

บทที่ 606 จิ้งจอกตัวน้อยคอยนำทาง

เมื่อเฉียวเทียนช่างล้างปลาเสร็จเรียบร้อยรู้สึกสับสนเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาถือผลไม้สองสามผลอยู่ในมือ

“เจ้าตัวน้อยเอามาให้ข้า มันน่าจะกินได้” หลังจากกินผลไม้ไปลูกหนึ่ง ดวงตาของหญิงสาวก็ทอประกาย “มันอร่อยมาก เทียนช่าง เจ้าอยากจะลองชิมหรือไม่”

เฉียวเทียนช่างกินมันไปลูกหนึ่ง และรู้สึกว่ารสชาติของมันดีมากๆ

ทั้งสองคนกินผลไม้และปลาย่างจนหมด ก่อนจะเดินทางต่อพร้อมกับเจ้าตัวน้อยสีขาว

ขณะนั้นเอง เจ้าตัวน้อยสีขาวก็ส่งสัญญาณให้ทั้งคู่ช่วยกันขุดหญ้าที่ดูไม่โดดเด่นอะไร ทั้งสองคนไม่มีทางเลือก เพราะหากพวกเขาไม่ยอมขุด เจ้าตัวน้อยสีขาวก็จะไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย

หลังจากขุดต้นหญ้าออกมาจำนวนหนึ่ง หนิงเมิ่งเหยาก็ยื่นมือไปอุ้มเจ้าตัวน้อยสีขาว “เทียนช่าง เจ้าคิดว่าอย่างไร”

“มันน่าจะเป็นจิ้งจอก” เฉียวเทียนช่างมองมันและพูดสรุป

“พามันกลับบ้านด้วยกันเถอะ เมื่อเจ้าลิงน้อยของพวกเราโตขึ้น พวกเขาก็จะได้เป็นเพื่อนเล่นกัน” หญิงสาวมองสามี และพูดพร้อมกับดวงตาเป็นประกาย

เฉียวเทียนช่างมองดูจิ้งจอกตัวน้อยในมือของภรรยาอย่างเงียบๆ เจ้าชอบอะไรที่มันมีขนาดเล็กใช่หรือไม่

ท่าทีของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางจึงลูบจมูกและพูดเสียงอ่อย “ข้า…ข้าชอบมัน ทำไมหรือ ข้าชอบมันไม่ได้หรือ”

ดวงตาของเฉียวเทียนช่างเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเขกหน้าผากอีกฝ่าย “หากเจ้าชอบก็พามันกลับไปสิ”

พวกเขาไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กันต่อ เพราะจิ้งจอกตัวน้อยนั้นเริ่มออกแรงดิ้นอีกครั้ง

หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วมองมัน และจิ้งจอกตัวนี้ก็ทำให้พวกเขาชะงักฝีเท้าลงอีกรอบ มันชี้ไปตรงหย่อมหญ้าแห่งหนึ่ง และส่งเสียงร้องที่มีจังหวะเร็วและถี่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าต้นหญ้าเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน

หนิงเมิ่งเหยานั่งยองที่พื้นเพื่อมองหญ้าในบริเวณนี้ นางไม่รู้จักมัน ก่อนจะพูดขึ้น “ทำไมเจ้าต้องให้พวกเราขุดมันมาด้วยเล่า”

เฉียวเทียนช่างคิดอะไรไม่ออก เขาเพียงแค่เดินไปขุดดินตลอดทาง สีหน้าของเขานั้นปกติมาก

พวกเขาใช้เวลากว่าครึ่งวันขุดหญ้า จนในที่สุดพวกเขาก็เก็บหญ้ามาได้เป็นจำนวนมาก หนิงเมิ่งเหยาพูดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าจะเอาหญ้าพวกนี้ไปทำอะไรกันแน่”

เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยไม่อาจตอบคำถามได้ มันเพียงแค่เดินนำทางทั้งคู่ต่อไปเท่านั้น

พวกเขาเดินผ่านจุดที่มันเก็บผลไม้เมื่อตอนก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน

“เทียนช่าง ข้าอยากได้ผลไม้พวกนี้” หนิงเมิ่งเหยาพูดพลางมองผลไม้ที่มีทั้งสีเขียวและสีแดงบนต้นไม้ แต่ทว่าผลไม้สีแดงนั้นทำให้นางรู้สึกขนลุกเล็กน้อย

เมื่อหญิงสาวพูดจบ เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยก็กระโดดขึ้นมาบนไหล่ของนาง และพุ่งเข้าไปเก็บเฉพาะผลไม้สีเขียวจากต้นไม้ต้นนี้ให้

ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ผลไม้สีแดงกินไม่ได้หรือ”

“อาจจะ” มิเช่นนั้น เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยก็คงจะไม่เลี่ยงผลไม้สีแดง และเด็ดมาแต่ผลไม้สีเขียวเช่นนี้หรอก

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเห็นพื้นดินที่เต็มไปด้วยผลไม้กระจัดกระจาย นางก็รีบตะโกนบอกทันที “พอแล้ว”

เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยกระโดดกลับลงมาที่ไหล่ของหญิงสาวอย่างเชื่อฟัง

ชายหญิงทั้งสองคนเก็บผลไม้จากพื้น และใส่มันในตะกร้าใบเดียวกับที่เก็บหญ้า โดยหนิงเมิ่งเหยาเป็นคนถักมันขึ้นมาจากเถาวัลย์

เมื่อเดินเข้าไปด้านใน ภาพทิวทัศน์ที่พวกเขามองเห็นก็ค่อยๆ กว้างขึ้น แล้วจู่ๆ เสียงคำรามร้องที่พวกเขาได้ยินเมื่อวานนี้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้ น้ำเสียงนั้นฟังดูมีความวิตกกังวลและร้อนรน ราวกับมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

เจ้าจิ้งจอกน้อยดูกระวนกระวายใจเมื่อได้ยินเสียง มันกระโจนออกจากไหล่ของหญิงสาว และวิ่งไปทางที่เสียงนั้นดังขึ้นมา

หนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างมองหน้ากัน ก่อนจะเดินตามเข้าไป

หลังจากที่มาถึง พวกเขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่ฉุนจมูกอย่างรุนแรง จนหญิงสาวหน้ามุ่ยโดยไม่รู้ตัว

นอกจากกลิ่นคาวเลือดแล้ว ยังมีทางเดินที่ผุพังอีกด้วย และตรงหน้าพวกเขาก็มีถ้ำขนาดไม่ใหญ่มาปรากฏอยู่ หนิงเมิ่งเหยาค่อนข้างประหลาดใจที่มีถ้ำอยู่ในพื้นที่ที่ลาดต่ำเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เห็นบรรยากาศด้านใน หญิงสาวก็ตัวแข็งเกร็งไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกขนลุก

ภายในถ้ำแห่งนี้มีซากศพเน่าเปื่อยอยู่จำนวนมาก และเมื่อพิจารณาจากขนาดแล้ว ก็ทำให้รู้ว่าพวกมันคือสัตว์บางชนิด และท่ามกลางเหล่าซากศพพวกนี้ มี ‘มนุษย์’ ผู้หนึ่งที่พวกเขามองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนนัก