บทที่ 271 เริ่มต้นความร่วมมือ
บทที่ 271 เริ่มต้นความร่วมมือ
หลังจากที่ออกมาจากความแออัดได้ เซียวเฟิงก็รีบเดินทางไปยังจุดที่เหล่าสัมพันธมิตรรวมตัวกัน ทว่า เพราะจำนวนผู้เล่นที่เข้าร่วมภารกิจสมรภูมินั้นมีจำนวนมาก จนเมืองหรี่ลั่วถึงกับอยู่ในสถานแออัดและทำให้เขาไม่สามารถเขาถึงทัพสัมพันธมิตรได้ ดังนั้นหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เซียวเฟิงจึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าตรงไปยังดินแดนแห่งความมืดแทน
ยังไงเสียทัพสัมพันธมิตรก็มีจำนวนมากกว่าสองแสนคนอยู่แล้ว หากให้ไปรวมกันอยู่ที่เมืองหรี่ลั่ว คงได้กลายเป็นเป้าสายตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหานี้ ดินแดนแห่งความมืดน่าจะตอบโจทย์ด้านพื้นที่รวมพลสำหรับ NPC จำนวนมากได้ดีกว่าเป็นไหน ๆ
จริง ๆ ทัพสัมพันธมิตรเองก็กำลังล้อมกรอบดินแดนแห่งความมืดกันอยู่แล้ว เพราะเมื่อครั้งที่พวกเขาไปถึงเมืองหรี่ลั่ว ผู้เล่นมากมายก็มารวมตัวกันเพราะเป็นที่นัดหมายภารกิจเสียแล้ว ครั้นจะให้แทรกอยู่กับผู้เล่นมันก็กระไรอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อย ๆ ขยับตัวออกมาอยู่ด้านนอกเมืองแทน กระนั้นจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากอิทธิพลของภารกิจก็ทำให้พวกเขาต้องขยับออกมาเรื่อย ๆ จนมาถึงด้านนอกดินแดนแห่งความมืดที่มีพื้นที่มากพอจะตั้งทัพใหม่ดี ๆ ทั้งนี้ทัพสัมพันธมิตรได้ส่งคนไปบอกข่าวเซียวเฟิงแล้วแต่พวกเขาทำไม่สำเร็จ
เหตุผลที่ทำให้การดำเนินการไม่สำเร็จนั้นก็มาจากที่ผู้เล่นแทบจะทั้งหมดต่างก็อยากจะมารับภารกิจเพิ่มนอกเหนือจากภารกิจสนามรบ การที่ได้เห็น NPC มากมายอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วยมันล่อลวงให้ผู้เล่นเหล่านี้อยากจะเข้าไปพูดคุยเผื่อว่าจะได้ภารกิจย่อยเพิ่มมาจาก NPC สัมพันธมิตร
ผู้เล่นที่ค่าชื่อเสียงน้อยจะสามารถคุยกับ NPC ทหารทั่ว ๆ ไปได้เท่านั้น ในขณะที่ผู้เล่นคนไหนที่มีค่าชื่อเสียงสูงก็จะสามารถคุยกับนายทหารชั้นหัวหน้าได้ ผู้จัดการกิลด์หลาย ๆ กิลด์ที่มีค่าชื่อเสียงสูงลิ่วบางคนสามารถคุยกับแม่ทัพของทัพใหญ่ในครั้งนี้เพื่อขอเควสต์ระดับสูงเลยยังได้
การที่ต้องมาประจัญหน้ากับผู้เล่นปริมาณมหาศาลเช่นนี้ ทัพสัมพันธมิตรไม่สามารถหยุดถอยออกได้จนกระทั่งถึงดินแดนแห่งความมืด
ด้วย NPC สัมพันธมิตรกว่าสองแสนนายที่อยู่ตรงกลาง ห้อมล้อมไปด้วยผู้เล่นกว่าล้านชีวิตที่มาจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขามารวมตัวกันก็เพื่อจะไล่ล่ามอนสเตอร์ในภารกิจสมรภูมิครั้งนี้อย่างคับคั่ง!
กลุ่มผู้เล่นที่ห้อมล้อมทัพสัมพันธมิตรอยู่นั้น หากมองดี ๆ จะพบว่าพวกเขาแบ่งตนเองเป็นกลุ่มก้อนกันอีกทีหนึ่ง และสิ่งที่ใช้แบ่งคนเป็นกลุ่มได้นั้นก็คือกิลด์ต่าง ๆ!
เหล่ากิลด์ที่โด่งดังมากมายในเขตฮัวเซียมารวมกันอยู่ที่นี่แล้ว มีเพียงไม่กี่กิลด์เท่านั้นที่ไม่รวมอยู่ด้วย พวกเขาเหล่านี้ค่อนข้างจะตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงและไม่ได้ต้องการเพียงแค่แต้มความสำเร็จสมรภูมิอย่างที่ผู้เล่นทั่ว ๆ ไปต้องการ ทุกกิลด์ที่มารวมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ต้องการที่จะเข้าโจมตีเมืองแห่งความโศกเศร้าพร้อม ๆ กับทัพสัมพันธมิตรอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด!
“ทำไมทัพของ NPC ถึงยังไม่ทำอะไรอีกล่ะ? มอนสเตอร์ที่ออกมาจากดินแดนแห่งความมืดตรงหน้านั่นจะโดนจัดการหมดแล้วนะ ขืนปล่อยไว้แบบนี้พวกเราก็ไม่ได้อะไรเลยสิ”
กิลด์แต่ละกิลด์มีการเลือกตำแหน่งการจัดทัพของพวกตนที่ค่อนข้างเด่นชัดและลงตัว พวกเขาจัดให้ทัพสัมพันธมิตรอยู่ตรงกลางในขณะที่ด้านซ้ายมีทัพขนาดใหญ่ของกิลด์ไดนัสตี้ขนาบคู่กับทัพของมิดซัมเมอร์ทางด้านขวาส่วนด้านหลังได้กำลังของเอลฟ์และออร์คที่ปัจจุบันหลังจากกิลด์กลอรี่สูญเสียจุดยืนไป เดอะวูล์ฟก็ขึ้นมาเป็นผู้นำทั้งสองเผ่าพันธุ์แทน
หัวหน้า รองหัวหน้ากิลด์ รวมไปถึงสมาชิกหลักของแต่ละกิลด์ไม่ได้อยู่ท่ามกลางสมาชิกของพวกเขาแต่อย่างใด คนเหล่านี้เลือกที่จะไปอยู่กับเหล่าทัพของสัมพันธมิตร บริเวณที่ได้อยู่ใกล้กับหน่วยบัญชาการรบให้ได้มากที่สุด พวกเขาให้ความสนใจและความสำคัญกับค่าชื่อเสียงของตนเป็นอย่างมาก และเห็นได้ชัดว่ามันได้ผล เหล่าผู้นำกิลด์เหล่านี้สามารถพูดคุยกับ NPC ระดับสูงภายในทัพสัมพันธมิตรได้ กระนั้นก็ยังได้สูงสุดแค่ระดับหัวหน้าอย่างบิชอปแห่งวิหารแห่งแสงหรือไม่ก็แม่ทัพลำดับ 3 เหลาหู่เท่านั้น สำหรับผู้นำสูงสุด รองแม่ทัพสูงสุด หัวหน้าบัลลังก์ผู้พิพากษาหรือพระสันตะปาปา พวกเขายังคงมีค่าชื่อเสียงไม่เพียงพอ
“นั่นสิ… ถ้าพวกเราไม่เริ่มลงมือเร็ว ๆ นี้ล่ะก็ เราจะได้แต้มความสำเร็จกันก็ต่อเมื่อเข้าใกล้เมืองแห่งความโศกเศร้าเท่านั้นนะ ไม่มีทางเก็บมอนสเตอร์ระหว่างทางเป็นค่าเสียเวลาแน่ ๆ ดูนั่น พวกผู้เล่นคนอื่นวิ่งเข้าไปอีกแล้ว”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า NPC กำลังรออะไรกันอยู่ ทำไมพวกเขาถึงยังอยู่นิ่ง ๆ แบบนี้? หากไม่ใช่ว่าเราต้องมารอให้พวกนี้เคลื่อนทัพก่อนถึงจะทะลวงเข้าไปได้ ป่านนี้พวกเราคงบุกเข้าไปเองแล้วมั้ง”
หัวหน้ากิลด์บางกิลด์เริ่มจะบ่นขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากรอมาเป็นเวลานาน พวกเขาได้แต่มองผู้เล่นคนอื่นที่บุกเข้าไปเดี่ยว ๆ หรือไปเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ไปยังดินแดนแห่งความมืดตรงหน้าโดยที่พวกตนได้แต่กระวนกระวายใจอยู่ด้านนอก ใครก็ตามที่ฆ่ามอนสเตอร์ได้ก็จะได้รับแต้มความสำเร็จ ถ้าไม่มีสิ่งนี้มันคงไม่สามารถเรียกคนจำนวนมากมาที่นี่ได้
“สกาย… ไม่ใช่ว่านายมีค่าชื่อเสียงสูงหรอกเหรอ? ฉันคิดว่าอย่างนายน่าจะมีค่าชื่อเสียงสูงพอจะไปคุยกับ NPC ที่เป็นผู้นำทัพสูงสุดเลยนะ ลองไปถามเขาไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงยังไม่สั่งเคลื่อนทัพอีก? ถ้าพวกเขายังคิดจะรออยู่เฉย ๆ แบบนี้ พวกเราจะนำหน้าเข้าไปเก็บแต้มความสำเร็จก่อนนะ ไว้คิดได้ว่าต้องเคลื่อนทัพก็ไปเจอกันที่ด้านนอกกำแพงเมืองแห่งความโศกเศร้าก็ได้”
หนึ่งในหัวหน้ากิลด์จากฟากใต้เร่งเร้าสกาย
หัวหน้ากิลด์ต่าง ๆ รวมกันแล้วสิบคนกำลังรวมตัวกันอยู่ ทุกคนต่างมารวมกันด้วยผลประโยชน์ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงวางความแค้นส่วนตัวของแต่ละคนไว้เบื้องหลังก่อน อย่างเช่นการที่ หลิวเฉียงเหว่ย บราเธอร์ไนน์ออฟกลอรี่ และดูมส์เดย์ก็อดเองก็มารวมกันอยู่ที่นี่ด้วย แม้ว่าที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เย็นยะเยือกขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ไม่มีสมาชิกของกิลด์ไหนเปิดประเด็นบาดหมางขึ้นมา…
“เรื่องนั้นฉันถามไปแล้ว เขาบอกว่ากำลังรอคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่อยู่ พวก NPC ที่อยู่ที่นี่ก็กระวนกระวายเหมือนกัน พวกเขาเกือบจะออกเควสต์เพื่อให้เราออกตามหาแม่ทัพใหญ่กันแล้วด้วย”
สกายส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ท่ามกลางหัวหน้ากิลด์ที่มารวมตัวกันนี้ ค่าชื่อเสียงของสกายถือว่าสูงที่สุดแล้ว มันเลยทำให้ชายหนุ่มสามารถคุยกับ NPC ระดับสูงสุดได้
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? แม่ทัพใหญ่หายสาปสูญไปแล้วหรือไง? แล้วพวกเราต้องไปตามหาเหรอ?”
“แม่ทัพใหญ่เองก็เป็น NPC ด้วยใช่ไหม? หรือว่าเขาจะถูกบอสในเมืองแห่งความโศกเศร้าฆ่าตายเอาน่ะ?”
“แม่ทัพใหญ่? เท่าที่ฉันเห็นที่นี่มีแม่ทัพของทัพจักรวรรดิที่ 3 กับหัวหน้าบัลลังก์ผู้พิพากษาจากวิหารแห่งแสงพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่แล้ว พวกเขาไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ของศึกนี้เหรอ? ถ้างั้นเป็นใครกัน? องค์ชายจักรพรรดิ? หรือจะเป็นพระสันตะปาปาองค์ไหน?”
ใครบางคนพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ ในสายตาของพวกเขา ทั้งหัวหน้านายกองและบิชอปล้วนแต่เป็น NPC ระดับสูงกันหมด ไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพกับหัวหน้าบัลลังก์ผู้พิพากษาเลย
“ฉันเดาไม่ได้เลยว่าเรายังต้องรอไปอีกนานขนาดไหน ถ้ายังไงเรา… เอ๊ะ? นั่นคนของกิลด์ไหนหรือเปล่า?”
ผู้เล่นคนหนึ่งที่ทนรอให้ทัพสัมพันธมิตรเคลื่อนพลไม่ได้ ตัดสินใจพูดขึ้นขณะมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความบังเอิญ ทางนั้นมีใครบางคนกำลังมุ่งหน้าตรงมายังหน่วยบัญชาการด้านหลังทัพที่พวกเขาอยู่กันนี้ ผู้มาใหม่นั้นปิดบังชื่อไว้ แต่นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าเขาเองก็เป็น ผู้เล่น เหมือนกัน
“ไม่น่าจะใช่นะ ที่แห่งนี้ก็มีคนจากทุกกิลด์รวมกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง? เดี๋ยวก่อนสิ หรือว่าเขาจะมาจากกิดล์แอนติควิตี้?”
การมาของผู้มาใหม่นั้นทำให้ผู้เล่นต่างพากันสงสัย แต่ทันใดนั้นความคิดบางอย่างมันก็ผุดขึ้นมา ที่แห่งนี้คือที่นัดรวมตัวของเหล่าหัวหน้าของอะไรสักอย่างหรือกิลด์อยู่แล้ว ดังนั้นไม่น่าจะมีผู้เล่นธรรมดาที่ค่าชื่อเสียงสูงจนสามารถเข้ามาได้ NPC ต้องไม่ยอมแน่ ๆ
เพราะงั้นเมื่อเห็นมีผู้เล่นเข้ามาทางนี้เพิ่ม พวกเขาจึงคิดก่อนเลยว่าคน ๆ นั้นจะต้องเป็นระดับหัวหน้าขององค์กรสักอย่างหรือไม่ก็หัวหน้ากิลด์สักกิลด์ที่มาสายแน่ ๆ แล้วในบรรดากิลด์ที่ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมาในตอนนี้ก็มีแต่กิลด์แอนติควิตี้เท่านั้น
“คนคนนั้นไม่ได้มาจากกิลด์แอนติควืตี้หรอก เขาไม่ใช่คลาสนักดาบน่ะ กิลด์นั้นมีแต่คลาสนักดาบเท่านั้น ลองมองเขาดูดี ๆ ก่อน ฉันเห็นเขาถือคทามาด้วย บางทีอาจจะเป็นนักเวทไม่ก็นักบวชล่ะมั้ง”
สักคนหนึ่งปฏิเสธข้อสันนิษฐานนั้น กิลด์จำนวนมากในที่แห่งนี้ต่างได้สืบเสาะข้อมูลของกิลด์ลึกลับกิลด์นี้กันบ้างแล้ว แต่เพราะข้อมูลมีน้อยมาก ๆ ทำให้พวกเขาไม่ได้รู้อะไรเยอะไปกว่านี้ สิ่งที่เขารู้ก็คือ กิลด์นี้มีแต่คลาสนักดาบเท่านั้น
“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมฉันรู้สึกคุ้นเคยกับคนคนนี้จังเลย? ไม่รู้สึกว่าเขาเหมือนเจ้าแห่งฮีลเลอร์บ้างเหรอ?”
ทันใดนั้นเองสกายก็พูดขึ้นด้วยความสงสัย เขามองชายที่กำลังมุ่งหน้าเข้าหาเขาด้วยความคุ้นเคย
“ไม่เหมือนล่ะ เขาคือเจ้าแห่งฮีลเลอร์ตัวจริง!”
ผู้คนที่หันมองไปยังทิศทางเดียวกันต่างก็เริ่มคิดว่าเขาคนนั้นคือเซียวเฟิงจริง ๆ ด้วยความมั่นใจ
และมันก็เป็นเรื่องจริง เซียวเฟิงเพิ่งจะมาถึงที่นี่ เขาสวมชุดแฟชั่นที่ต่างออกไปจากเดิม ถึงผู้เล่นทั่วไปจะจดจำเขาไม่ได้ แต่ชุดพวกนี้ไม่มีทางตบตาเหล่าหัวหน้ากิลด์ทั้งหลายได้หรอก
ยิ่งเซียวเฟิงเดินเข้ามาใกล้ ทุกคนก็ยิ่งจำเขาได้ ซึ่งพอจำได้แล้วแต่ละคนต่างก็มีท่าทีแต่งต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น ดูมย์เดย์ก็อดที่ดูสีหน้าขมขื่น ไนน์ที่มีสีหน้ามืดมน สกายที่กำลังดีใจและหลิวเฉียงเหว่ยที่ดวงตากำลังเป็นประกาย
“เจ้าแห่งฮีลเลอร์ นายมาที่นี่เพราะภารกิจสมรภูมิเหมือนกันเหรอ?”
สกายรีบเดินเข้าไปหาเซียวเฟิงก่อนเป็นคนแรก มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ได้เห็นเจ้าแห่งฮีลเลอร์มาปรากฏตัวในที่แบบนี้ เพราะถ้าสงสัย เพียงแค่มองไปยังอันดับค่าชื่อเสียงทุกคนก็จะสามารถตอบข้อสงสัยตนเองได้ด้วยตำแหน่งของเซียวเฟิงที่อยู่บนนั้น เขาคือผู้ที่มีค่าชื่อเสียงสูงที่สุด สูงในระดับที่ไม่มีใครที่จะมีโอกาสตีตื้นขึ้นมาได้เลย ส่วนเหตุผลที่ทำให้เจ้าแห่งฮีลเลอร์มาปรากฏตัวที่นี่ พวกเขาก็คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะมาเพราะภารกิจสมรภูมิเหมือนกัน…
“อืม…” เซียวเฟิงอยากจะกล่าวทักทายแต่ก็หยุดปากตนเองไว้ก่อนด้วยประโยคสั้น ๆ เนื่องจากแม่ทัพเหลาหู่และหัวหน้าบัลลังก์ผู้พิพากษากิโลนั้นต่างพากันวิ่งเข้ามาหาเขาเสียก่อน
เหล่าหัวหน้ากิลด์ทั้งหลายต่างมองไปยัง NPC ที่ทรงพลังเหล่านี้ที่กำลังวิ่งเข้าไปหาพวกตนด้วยความตกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าพวกเขาเผลอไปทำอะไรผิดกฏภารกิจนี้หรือเปล่านะ?
อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คลี่คลายและได้เผยให้เห็นว่า พวกเขาคิดมากไปเอง NPC ทั้งสองไม่ได้มีท่าทีสนใจพวกเขาเลย กลับกันทั้งสองคนนั้นกลับเข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าเซียวเฟิง สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนที่ได้เห็นแทนเสียด้วยซ้ำ
“ท่านแม่ทัพใหญ่! มาแล้วสินะ!”
“ท่านอาร์คบิชอป ได้โปรดออกคำสั่งด้วย! ทัพสัมพันธมิตรพร้อมรับคำสั่งแล้ว!”
ทั้งแม่ทัพเหลาหู่และหัวหน้ากิโลต่างก็ไปรวมตัวกันรอบ ๆ เซียวเฟิงพร้อมกล่าวด้วยท่าทีเคารพ
“เคลื่อนทัพได้เลย…เดินหน้าเต็มกำลังเข้าสู่เมืองแห่งความโศกเศร้าที่อยู่กลางดินแดนแห่งความมืด ณ บัดนี้!”
เพียงแค่มองผ่าน ๆ ด้วยสายตาก็พอจะบอกได้แล้วว่าทัพขนาดใหญ่ที่ได้ผู้เล่นมาเสริมนั้นน่าจะเกินล้านคนแล้ว อีกทั้งเซียวเฟิงเองก็พอรู้อยู่แล้วด้วยถึงจำนวนผู้เล่นที่จะเข้าร่วมในภารกิจนี้ ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับมอนสเตอร์ที่จะบุกเข้ามาทำร้ายทัพใหญ่แต่อย่างใด สิ่งเดียวที่ต้องรีบทำในตอนนี้ ก็คือบุกทะลวงเข้าไปยังฐานที่ตั้งของอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด
“รับทราบ!”
เหลาหู่และกิโลรับคำสั่งพร้อมกับก่อนจะรีบเดินออกไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้รับหน้าที่บัญชาการหน่วยสังฆราช บิชอปเรนัลด์กับหัวหน้าหน่วยโบลตันเดินเข้ามาแทนที่
“เฮ้ ท่านอาร์คบิชอป ข้าพาตัวกัปตันโบลตันมาให้ท่านด้วยนะ เป็นไงล่ะ?” บิชอปเรนัลด์ที่แม้จะอายุเยอะแล้วแต่ก็ยังหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่เกรงใจและเรียกหาเครดิตอย่างไม่รู้สึกอายปาก
“ขอบคุณท่านมาก ๆ ที่ใส่ใจข้า ข้าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเลยครับ” กัปตันโบลตันยิ้มให้เซียวเฟิงด้วยความเคารพและซาบซึ้ง
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ทำหน้าที่ของทุกท่านให้ดีที่สุด ท่านบิชอปไคเซอร์ นำทัพสังฆราชไปไล่ปัดเป่าหมอกแห่งสงคราม ส่วนท่านหัวหน้าโบลตัน แค่ปกป้องและคอยดูแลพลังชีวิตของผมไว้ให้ดีก็พอครับ”
ไม่มีการลังเลหรือรีรอ เซียวเฟิงสั่งการในทันที เขาขอให้กัปตันโบลตันคอยช่วยดูแลเขาเหมือนบอดี้การ์ด ซึ่งเทพธิดาแห่งแสงสว่างนั้นพูดไว้ถูกต้องแล้ว และด้วยพลังของเสี่ยวไป๋ที่ส่งผลถึงตัวชายหนุ่มเอง เซียวเฟิงกลายเป็นผู้เล่นที่สามารถสร้างความเสียหายต่อวินาทีได้มากที่สุดหากศัตรูเป็นเผ่าพันธุ์แห่งความมืด แต่ถึงอย่างนั้นหากอีกฝ่ายเป็นบอสระดับสูง เซียวเฟิงก็ยังถือว่าห่างชั้นกับมันมากอยู่