บทที่ 609 ร่วมมือกัน
“ไม่ พวกเราไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นั่น แต่พวกเราสามารถสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจกับสถานที่เหล่านั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องขยายอาณาเขต” จริงๆ แล้ว ประชากรของเหมียวเจียงไม่ได้มีมากนัก นอกจากนี้ยังห่างไกลกับประเทศเล็กๆ ในจงหยวนอีกด้วย แล้วจะเทียบชั้นกับเมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองเซียวได้อย่างไร
ซางถ่าหลินพูดอย่างไม่เสแสร้ง เขารู้สึกอยู่เสมอว่ามีสถานที่ต่างๆ มากมายในจงหยวนที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ ดังนั้นเขาจึงต้องการเป็นพันธมิตรกับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม มีผู้คนมากมายไม่เห็นด้วย และรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อยที่คนสูงศักดิ์โดยสายเลือดอย่างเหมียวเจียงนั้นจะไปอยู่ปะปนกับพวกชาวบ้านที่ป่าเถื่อน
ซางถ่าหลินคิดว่ามันช่างน่าขันนัก ชาวบ้านป่าเถื่อนคืออะไร พวกเขาคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าเพียงเพราะว่าสามารถทำสิ่งที่คนอื่นไม่อาจทำได้เช่นนั้นหรือ ช่างยโสโอหังเสียจริง
“ภรรยาของเจ้าคือซ่งลี่หรือ” ทันใดนั้น หนิ่งเมิ่งเหยาก็นึกถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมา และมองชายตรงหน้าอย่างอดไม่ได้
เมื่อได้ยินชื่อนั้น ซางถ่าหลินก็มีใบหน้าเคร่งขรึม ราวกับว่าเขาพร้อมที่จะฆ่าใครบางคนจนแทบทนไม่ไหว
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่จำเป็นต้องถามต่อ เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าซ่งลี่คือภรรยาของเขาจริงๆ
หญิงสาวจับจมูกของตน “ตอนนี้ นางมีตำแหน่งเป็นพระชายาแห่งเหมียวเจียง”
แววตาและท่าทางของซางถ่าหลินเย็นชาลง “ข้ารู้”
เฉียวเทียนช่างไม่ต้องการจะพูดเรื่องนี้ต่อ เขามองไปที่ซางถ่าหลิน “เจ้ารู้วิธีออกไปจากที่แห่งนี้หรือไม่”
ซางถ่าหลินพยักหน้า “ข้ารู้ และข้าก็อยากจะร่วมมือกับพวกเจ้าด้วย”
เมื่อเขาพิจารณาจากคำพูดและพฤติกรรมของอีกฝ่าย ก็รู้ดีว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ และหากตนได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขา เขาก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงเหมียวเจียงให้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้
เฉียวเทียนช่างมองซางถ่าหลิน “พวกเราจะได้อะไรจากการช่วยเหลือเจ้าหรือ”
ขณะนี้ เขาอยู่ตัวคนเดียว มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะช่วยซางถ่าหลิน แค่เพราะว่าเขาขอให้ช่วย
ซางถ่าหลินยิ้ม “เจ้าวางใจได้ ข้ามีผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์อยู่ประมาณหนึ่งหมื่นคน ตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาครั้งแรก ข้าได้พยายามส่งจดหมายไปหาพวกเขาแล้ว”
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอยู่รอดมาจนถึงวันนี้
ในเหมียวเจียง มีศาสตร์ลับที่สร้างกู่พิษจากโลหิตมนุษย์ ปกติแล้วกู่พิษประเภทนี้จะเงียบมาก หากคนๆ นั้นตาย กู่พิษก็จะตายไปด้วย และตัวที่สร้างมาจากเขานั้นอยู่ในมือของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ที่สุด
ตอนนั้น ซางถ่าหลินบอกว่าถ้าหากเขาตาย ก็ให้พวกเขาฆ่าซ่งลี่และคนที่เหลือ เพื่อปกป้องเหมียวเจียงเอาไว้
เขาไม่คิดเลยว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา จะเกิดเหตุการณ์มากมายเช่นนี้
เฉียวเทียนช่างมองซางถ่าหลิน “พวกเราจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร”
หากมีคนแบบนั้นจริง แล้วทำไมเขาจึงต้องอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามมานานหลายปีด้วยเล่า ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ซางถ่าหลินเข้าใจในความแคลงใจของอีกฝ่าย จึงมองพวกเขาและตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “ในเมื่อพวกเจ้าสามารถมาที่นี่ได้ นั่นหมายความว่าเจ้าเจอเขตแดนที่ป้องกันไม่ให้ข้าออกไปจากที่นี่ และไม่ให้มีผู้ใดเข้ามาช่วยข้าแล้ว คนพวกนั้นค้นพบวิธีนี้มาจากใครบางคนที่พวกเขาติดต่อด้วย”
คนพวกนั้นกักขังเขาไว้ที่นี่ด้วยวิธีมากมาย
เฉียวเทียนช่างเงียบและไม่โต้ตอบ ซางถ่าหลินจึงเป็นกังวลเล็กน้อย “ข้าไม่มีเหตุผลที่จะหลอกลวงเจ้า จริงไหม”
มันคือความจริงที่สุด เขาไม่มีเหตุจูงใจใดๆ ที่จะหลอกลวงอีกฝ่ายเลย
“หลังจากที่ออกไปได้ พวกเราค่อยคุยเรื่องที่จะร่วมมือกัน” ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะพูดถึงเรื่องนั้นไปเพื่ออะไร
ซางถ่าหลินหัวเราะ “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ แม้ว่าผู้คนภายนอกจะไม่สามารถเข้ามาในนี้ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่ภายในจะออกไปไม่ได้ เพียงแต่ว่ามันอาจจะลำบากเล็กน้อยเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” แม้ว่าที่นี่จะสวยงาม แต่หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่อาจทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้ว
ซางถ่าหลินลุกขึ้นยืนและพาทั้งสองคนเดินไปฝั่งตรงข้ามกับกระท่อมหลังนี้ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังถ้ำที่เขาเคยอยู่
หญิงสาวมองถ้ำแห่งนี้อย่างรังเกียจ “เจ้าพาพวกเรามาที่นี่ทำไมกัน”
“ทางออกอยู่ที่นี่” ซางถ่าหลินจับจมูก และพูดด้วยความลำบากใจ
หนิงเมิ่งเหยาเบิกตากว้าง ขณะมองถ้ำที่สกปรกโสโครกอย่างไม่อยากเชื่อ “ข้างในนี้น่ะหรือ เจ้าพูดเล่นใช่หรือไม่”
บทที่ 610 มันฆ่าเจ้าได้
ซางถ่าหลินเดินเข้าไปเป็นคนแรก ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยากระตุกเบาๆ แม้ว่านางจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ยังเดินตามเฉียวเทียนช่างเข้าไปข้างในด้วยกัน
เมื่อชายวัยกลางคนเห็นว่าทั้งสองคนเดินตามมาก็ยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นพวกเขาก็เดินไปตรงมุมๆ หนึ่ง แล้วเขาก็กดหินแผ่นหนึ่งที่ดูไม่โดดเด่นอะไร
ทันใดนั้น ก็มีอุโมงค์ทางเดินปรากฏขึ้นเหนือผนังหินนั้น
หนิงเมิ่งเหยามองอุโมงค์ทางเดินนั้นพลางคิดในใจ ‘เหมียวเจียงมีทางเดินลับกี่แห่งกันแน่’
เมื่อหลายวันก่อน พวกเขาก็เดินในทางเดินลับ และวันนี้ พวกเขาก็เดินในทางเดินลับอีกแห่ง ‘พวกเขาจะสามารถไปที่อื่นได้จริงหรือ’
นางคิดในใจ แต่มิได้แสดงออกทางสีหน้า
ทันใดนั้น หนิงเมิ่งเหยาก็สังเกตเห็นว่าซางถ่าหลินกำลังขมวดคิ้ว แต่ก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไร เฉียวเทียนช่างก็หรี่ตามองและเอ่ยถาม “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าที่นี่มีทางเดินลับ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่หนีออกไปเล่า”
ซางถ่าหลินชะงักฝีเท้า และเอ่ยตอบ “ตอนนั้น ที่นี่เต็มไปด้วยโคลนตม และหินแผ่นนั้นก็หายากนัก”
เมื่อเห็นว่าดวงตาของเขาหลุบต่ำ ประกายในแววตาของเฉียวเทียนช่างก็เผยความเย็นชาออกมา เพียงพริบตา ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าซางถ่าหลิน ฝ่ามือใหญ่ของเขาจับคอของอีกฝ่ายเอาไว้
“ซางถ่าหลิน อย่าคิดที่จะเล่นตุกติกกับข้า มิเช่นนั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่อีกต่อไป” ในช่วงแรกๆ ซางถ่าหลินวางตัวดี แต่เขามีบางอย่างที่ดูแปลกไป
เฉียวเทียนช่างไม่เคยพูดออกมา แต่เลือกที่จะรอให้เขาเป็นฝ่ายเผยไต๋ออกมาก่อน
แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการร่วมมือกับพวกเขาด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังมีทางลับจริงๆ อีกต่างหาก
ซางถ่าหลินไม่อยากเชื่อว่าเฉียวเทียนช่างจะรู้ความลับของเขาแล้ว จึงมองด้วยแววตาเย็นชาในทันที “เจ้าคิดว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดไปได้เช่นนั้นหรือ”
เฉียวเทียนช่างมองอีกฝ่ายอย่างเย้ยหยัน “เจ้าเป็นคนฉลาด การใช้ชีวิตที่นี่มาหลายปีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่หรือไม่ เจ้าต้องกินเนื้อดิบๆ เพื่อประทังชีวิต และยังทนต่อความเจ็บปวดทรมานตอนที่กู่พิษกัดกินภายในร่างกายของเจ้าอีกด้วย ตอนนี้ เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งคือพาพวกเราออกไปจากที่นี่เสีย แล้วพวกเราจะลองคิดเรื่องที่จะร่วมมือกับเจ้า หรือทางเลือกที่สอง คือยอมตายที่นี่”
ซางถ่าหลินไม่คิดว่าชายหนุ่มจะคาดเดาเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของเขาในช่วงหลายปีมานี้ได้อย่างถูกต้อง ขณะนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความอาฆาตแค้นอย่างแรงกล้า
“เจ้าต้องการจะฆ่าข้าเช่นนั้นหรือ ก็ลองลงมือสิ มาดูกันว่าระหว่างเจ้ากับข้า ใครจะตายก่อนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเยือกเย็น
หนิงเมิ่งเหยามองซางถ่าหลิน และเข้าใจได้ในที่สุด หญิงสาวรู้ว่าคนๆ นี้มีบางอย่างผิดปกติ จริงๆ แล้วเขารู้วิธีที่จะเสแสร้งแกล้งทำก็เท่านั้น
ซางถ่าหลินต้องการจู่โจม แต่ไม่อาจทำได้ ขณะที่เขากำลังจะพูด เฉียวเทียนช่างก็หันไปหาภรรยาของตน “ส่งโอสถที่ชิงซวงสกัดมาให้ข้าที”
หนิงเมิ่งเหยายิ้มตอบอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเทโอสถสีแดงเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดแก้ว ยังไม่ทันที่ซางถ่าหลินจะโต้ตอบอะไร เฉียวเทียนช่างก็ยัดโอสถเม็ดนั้นใส่ปากของเขา
โอสถนั้นละลายในทันที โดยที่ซางถ่าหลินไม่สามารถคายทิ้งได้ “เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” ตอนนี้ เขาเริ่มรู้สึกหวั่นใจกับมัน
หนิงเมิ่งเหยากอดอกและยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น “ทำใจให้สบายเถอะ โอสถนั้นมีฤทธิ์ทำให้เจ้าเชื่อฟังพวกเรามากขึ้นก็เท่านั้น”
“เจ้า…”
“อย่าโกรธไปเลย หากเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ เจ้าก็อย่ากล่าวโทษเราแล้วกัน” หญิงสาวยิ้มให้ซางถ่าหลิน
‘ใช่แล้ว นี่เป็นวิธีที่ดีมากๆ คราวหลัง เราน่าจะให้ชิงซวงสกัดโอสถนี้เพิ่มอีก’
เฉียวเทียนช่างมองชายวัยกลางคนและพูดขึ้น “ไปเถอะ”
สีหน้าของซางถ่าหลินดูพะอืดพะอม มันเปลี่ยนเป็นสีม่วง สีน้ำเงิน และในที่สุด ก็เปลี่ยนเป็นสีราวกับตับหมู เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินนำทางสองสามีภรรยาออกไปด้านนอก
เขาที่มีอายุหลายสิบปี กลับถูกคนรุ่นใหม่สองคนจับไต๋ได้ หากมีใครรู้เรื่องนี้เข้า เขาคงจะกลายเป็นตัวตลกแน่ๆ
หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจเขานัก นางเพียงเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
ซางถ่าหลินเดินนำพวกเขามาพักใหญ่ และจู่ๆ หญิงสาวก็พูดขึ้นอย่างผ่อนคลาย “โอสถที่พวกเราให้เจ้ากินนั้นคือโอสถควบคุม เจ้าต้องอยู่ห่างจากเราไม่เกินสามฉื่อ มิเช่นนั้น เจ้าจะรู้สึกทรมาน”
หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้ขู่หรือพูดจาเกินจริงเลย ไม่ว่าใครก็ต่างรู้ดีว่าซางถ่าหลินต้องการหาโอกาสที่จะหลบหนี แต่ก็ต้องดูว่าสองสามีภรรยาจะอนุญาตให้เขาทำเช่นนั้นหรือไม่