บทที่ 273 ปืนใหญ่ผลึกอสูร
บทที่ 273 ปืนใหญ่ผลึกอสูร
“ช่างกล้าหาญเสียเหลือเกินนะ!”
เซียวเฟิงจ้องมองไปยังสกายและคนอื่น ๆ เขาพูดด้วยความประหลาดใจ เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพราะได้รับข้อความจากหลิวเฉียงเหว่ยนั่นแหละ
เหล่าหัวหน้ากิลด์ทั้งหลายรวมตัวกันอยู่ที่ด้านหลังของทัพสัมพันธมิตร ระหว่างที่กำลังเคลื่อนที่ไปพร้อมกับการเดินทัพ พวกเขาก็แอบคุยกันอยู่ตลอด
คนเหล่านี้ต่างรวมตัวกันเพื่อพูดถึงข้อตกลงอะไรบางอย่าง และพวกเขาทุกคนเป็นคนที่เซียวเฟิงคุ้นเคยกันดีหรือบางคนก็เป็นพันธมิตรกับมิดซัมเมอร์ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาก็ยังทำให้เซียวเฟิงต้องตกใจอยู่ดี
พวกเขาพยายามที่จะขอเมืองแห่งความโศกเศร้าไปเป็นของตน!
บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาเหล่านี้คงจะไปได้ยินมาว่าเมืองแห่งความโศกเศร้านี้ถูกปกครองโดยเผ่าพันธุ์แห่งความมืด ที่ซึ่งเป็นเป้าหมายในการกำจัดของภารกิจในครั้งนี้ ถ้าหากเผ่าพันธุ์แห่งความมืดถูกโค่นล้มลงไป เมืองแห่งนี้ก็จะไร้ซึ่งผู้ครอบครอง และในส่วนของทัพสัมพันธมิตรที่ประกอบด้วยทัพของจักรวรรดิและวิหารแห่งแสง คนเหล่านี้คงไม่ได้อยากจะเก็บเมืองที่เคยเป็นเมืองขึ้นของเผ่าพันธุ์แห่งความมืดเอาไว้แน่ ๆ
หรือถ้าจะพูดให้ง่ายขึ้น เมืองแห่งความโศกเศร้านี้จะกลายเป็นเมืองร้างในที่สุด เหล่าตึกรามบ้านเมืองรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็จะถูกระบบกลืนกินไปตามกาลเวลา ในเวลานี้เหล่ากิลด์หลัก ๆ ขนาดใหญ่ทั้งหลายต่างโหยหาการขยายอำนาจและฐานที่ตั้ง ดังนั้นเขาคงจะไม่ยอมเสียโอกาสที่จะได้ครอบครองพื้นที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
“ฉันเคยเข้าไปสำรวจในเมืองนี้ก่อนหน้าแล้ว มันไม่มีอะไรเหลือให้พวกนายใช้ได้หรอกนะ”
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เซียวเฟิงก็พูดออกไป เขาน่ะเคยเข้าไปสำรวจในเมืองแห่งความโศกเศร้าไปแล้วเมื่อครั้งเดินทางเข้าไปในดินแดนแห่งความมืดครั้งแรก ภายในเมืองนั้นไม่มีอะไรเลย มันเหมือนเป็นเพียงปราการร้าง ๆ เท่านั้น
“ในเมื่อมันเป็นเมืองหลัก ต่อให้เป็นแค่ปราการมันก็ยังมีค่าอยู่ดีนั่นแหละ หากมีวัตถุดิบหายากถูกสุ่มให้ปรากฏในพื้นที่นี้ มันจะยิ่งมีค่ามากขึ้นไปอีกนะ!” สกายพูดขึ้นด้วยไฟที่ลุกโชนในขณะที่จืออี้ได้แต่ยกมือก่ายหน้าผากตนเองอยู่ด้านหลังเขา ส่วนคนอื่น ๆ เองก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
“นี่พวกนายเป็นตั๊กแตนกำลังหารวงข้าวใหม่กันหรือไงน่ะ?” เซียวเฟิงรู้สึกตกใจขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกหมดคำพูดด้วย
“เจ้าแห่งฮีลเลอร์ ในเมื่อนายเป็นแม่ทัพใหญ่ในครั้งนี้ นายเองก็น่าจะต้องมีสิทธิพิเศษมากมายอยู่แล้ว นายใช้สิทธิ์พิเศษพวกนั้นช่วยพวกเราได้ไหม? หากเมืองแห่งความโศกเศร้านั้นตกลงไปอยู่ในการตัดสินใจของสัมพันธมิตรแล้ว พวกเราจะไม่สามารถต่อรองขอผลประโยชน์อะไรได้เลยนะ”
“ใช่แล้ว ฉันคิดว่ากิลด์ไดนัสตี้พูดถูกต้องที่สุด ได้โปรดเถอะนะเจ้าแห่งฮีลเลอร์ ถ้าหากเมืองแห่งความโศกเศร้าไม่อยู่ในจุดที่สามารถต่อรองได้เช่นตอนนี้ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้กันแล้วนะ ลองคิดดูดี ๆ พวกเราน่ะเป็นพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ต่อมิดซัมเมอร์ที่สุดแล้ว แล้วไหนจะหัวหน้าเฉียงเหว่ยเองก็อยู่ที่นี่ด้วย”
สกายพูดพร้อมขยิบตาให้หลิวเฉียงเหว่ยอย่างไม่หยุดยั้ง ทว่าเธอกลับหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่แยแสแทน
“ฉันน่าจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยตรงไม่ได้ ถ้ายังไงจะลองถามคนอื่น ๆ ดูอีกที” เซียวเฟิงพูดแล้วหันมองไปรอบ ๆ ที่แห่งนี้เขาพบเพียงกัปตันโบลตันที่อยู่เพื่อคอยอารักขาเขาเท่านั้น ดังนั้นเซียวเฟิงจึงเรียกอีกฝ่ายมาหาเขาอย่างเร่งรีบ
“ท่านโบลตัน ช่วยเข้ามาด้านในทีครับ”
“ท่านอาร์คบิชอป มีอะไรให้ข้าช่วยได้บ้าง?” กัปตันโบลตันเดินเข้ามาภายในวงสนทนาแทบจะทันที และด้วยความกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากตัวเขา มันก็ทำให้สกายรู้สึกตกใจและพูดอะไรไม่ออก NPC คนนี้มีระดับสูงถึงขั้นเทพเจ้า ดังนั้นพวกเขาทุกคนในที่แห่งนี้จึงไม่มีใครสามารถคุยกับอีกฝ่ายได้ อันที่จริง NPC ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเซียวเฟิงนั้นก็มีแต่ระดับสูงเทียบเท่าบอสกันทั้งนั้นเลยตอนนี้
“ขอผมถามอะไรหน่อย ถ้าหากเมืองแห่งความโศกเศร้าสามารถถูกครอบครองได้ มันจะตกไปอยู่ในมือใครในตอนสุดท้าย?” เซียวเฟิงถาม
“อืม…เมืองแห่งความโศกเศร้าตั้งอยู่ในเขตแดนของมนุษย์ เพราะงั้นน่าจะต้องขึ้นตรงกับจักรวรรดิแน่นอน วิหารแห่งแสงเองก็น่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ว่านะ เรื่องของเมืองแห่งความโศกเศร้านั้นค่อนข้างจะพิเศษนิดหน่อย เพราะมันเคยเป็นเมืองขึ้นของพวกเผ่าพันธุ์แห่งความมืดมาก่อน จักรวรรดิจึงไม่คิดจะใช้เมืองนี้ทำอะไรอยู่แล้ว ตามปกติแล้วถ้าหากไม่ถูกปล่อยให้กลายเป็นเมืองร้าง ก็จะถูกชำระล้างโดยเหล่าวิหารแห่งแสงเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งกำเนิดของเผ่าพันธุ์แห่งความมืดอีกครั้งในอนาคต” โบลตันคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายออกมา
เซียวเฟิงพยักหน้า แต่ก่อนที่เขาจะถามอะไรมากกว่านี้ ก็เหลือบไปเห็นว่าสกายกำลังขยิบตาให้เขาอยู่พร้อมกับส่งข้อความส่วนตัวมาหาด้วย
หลังจากที่ได้อ่านข้อความจากสกายแล้ว เซียวเฟิงก็พูดไม่ออกอีกครั้ง เขาคิดหนึ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับโบลตันอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านโบลตัน ท่านพอจะอนุมัติภารกิจกิลด์ให้กับพวกเขาได้ไหม? รางวัลเป็นค่าประสบการณ์กิลด์หลังจากที่กำจัดมอนสเตอร์ลงไปก็ได้”
สิ่งที่ทำให้เซียวเฟิงพูดไม่ออกก็คือ คนเหล่านี้จ้องจะหาลู่ทางคว้าโอกาสทุกให้ตนเองให้ได้ พวกเขาไม่ยอมปล่อยกัปตันโบลตันออกไปโดยที่ตัวเองไม่ได้อะไรเลยด้วยซ้ำ ในสายตาของพวกเขา การที่ NPC ระดับสูงเข้ามาถึงที่นี่ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีภารกิจมามอบให้กันบ้างล่ะ
“ภารกิจกิลด์เหรอครับ? ของง่าย ๆ”
กัปตันโบลตันแสดงความเคารพเซียวเฟิง จากนั้นเพียงแค่เขาโบกมือ เหล่าหัวหน้ากิลด์ต่างก็ได้รับสัญญาณเตือนถึงภารกิจกิลด์กันอย่างถ้วนหน้า
“เจ้าแห่งฮีลเลอร์นี่ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ!”
หลังจากที่ได้รับภารกิจแล้ว สกายก็กลั้นหายใจไว้จนกระทั่งกัปตันโบลตันเดินออกไป เขาตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มาก ๆ
“เจ้าแห่งฮีลเลอร์ นายสนใจจะเข้าร่วมกับกิลด์ไฟโลกันตร์ไหม? ฉันจะให้นายเป็นรองหัวหน้าแล้วก็ยอมทุกข้อเสนอของนายเลยนะ ฉันสัญญาว่าจะทำให้นายพึงพอใจให้ได้มากที่สุดเลยล่ะ!”
สปิริตอิมมอทัล หัวหน้ากิลด์ไฟโลกันตร์มองไปยังเซียวเฟิงแล้วเอ่ยถาม เขาค่อนข้างคาดหวังมาก ๆ ว่าจะได้ตัวเซียวเฟิงมาอยู่ด้วย ทว่าฝั่งเซียวเฟิงนั้นกลับหันหน้าหนีแล้วเดินออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
มีเพียงสกายเท่านั้นที่เบ้ปาก และแอบเหลียวมองไปยังหลิวเฉียงเหว่ยผู้งดงาม ขณะเดียวกันชายหนุ่มอย่างสกายก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่เจ้าแห่งฮีลเลอร์จะไปเข้าร่วมกับกิลด์อื่นหรอก
“ไปกันเถอะ ทำภารกิจกิลด์กันก่อน” หลิวเฉียงเหว่ยละสายตาจากแผ่นหลังของเซียวเฟิงก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ
พวกเขาทุกคนในที่นี้ต่างก็ได้รับภารกิจกิลด์กันอย่างครบถ้วนด้วยการใช้เส้นสาย และด้วยรางวัลของภารกิจที่เป็นค่าประสบการณ์ของกิลด์นั้น ไม่มีกิลด์ไหนสามารถอดใจได้อยู่แล้ว
“ท่านหัวหน้าเฉียงเหว่ย ช่วยจับตามองเจ้าแห่งฮีลเลอร์ไว้ด้วยนะคะ ถ้าหากเห็นโอกาสที่จะสามารถคว้าผลประโยชน์จากเมืองแห่งความโศกเศร้าได้ ช่วยบอกพวกเราที”
จืออี้ยิ้มและพูดกับหลิวเฉียงเหว่ยด้วยน้ำเสียงยืดยาดและนุ่มนวลอันเป็นเอกลักษณ์
“จะไม่ลืมก็แล้วกันนะ”
หลิวเฉียงเหว่ยไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากตอบไปเช่นนั้น เธอหันหน้าและเดินออกจากวงสนทนานี้ เช่นเดียวกับซือเยี่ยจิ๋งที่ย่องเดินตามเธอออกไปด้วย ซึ่งตลอดเวลาที่คุยกันนั้น ไม่มีใครรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเธอเลยไม่เว้นแม้แต่สกาย
นำโดยมิดซัมเมอร์ เหล่ากิลด์หลาย ๆ กิลด์ที่อยู่ทางตอนใต้ก็เริ่มเข้ามาร่วมกันเป็นพันธมิตร ทำให้พวกเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อย ๆ และด้วยความแข็งแกร่งนี้ มันจะช่วยดึงดูดผู้คนให้เข้าร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ เอง
หลิวเฉียงเหว่ยเข้าใจดีว่าเธอไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายกับผลประโยชน์ที่จะได้มาจากเมืองแห่งความโศกเศร้าไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
ขณะเดียวกันเธอก็เข้าใจด้วยว่าสิ่งที่คอยเกื้อหนุนกิลด์พันธมิตรรวมถึงเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้มิดซัมเมอร์แข็งแกร่งขึ้นได้ คือคนเดียวกัน
คนคนนั้นคือเซียวเฟิง!
หญิงสาวหยุดเดินทันทีและหันไปมองยังฝั่งของหน่วยบัญชาการทัพสัมพันธมิตรที่เซียวเฟิงเพิ่งจะเดินไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยประกายแสงระยิบระยับก่อนจะเดินจากไป
“ท่านแม่ทัพใหญ่! พวกเราโดนพวกเผ่าพันธุ์แห่งความมืดขัดขวางแล้วครับ! เป็นกลุ่มอันเดดจำนวนหมื่นตัวโดยประมาณ!”
“ไม่ต้องไปใส่ใจ อ้อมไปเลย”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ครับ! มีพวกแม่มดลอบโจมตีพวกเราครับ! หัวหน้าของพวกมันเป็นแม่มดที่ใช้คลื่นเสียงกรีดร้องได้ทรงพลังมาก!”
“ช่างมัน! ให้พวกนักผจญภัยรับมือมันแทนเรา!”
…
ขณะที่ทัพของสัมพันธมิตรเดินทัพลึกเข้าไปในดินแดนแห่งความมืดมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเร็วในการเดินทัพของก็ลดลงอย่างมากเพราะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของทางเผ่าพันธุ์แห่งความมืดที่ดาหน้ากันเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง แถมแต่ละทัพเองก็แกร่งระดับซูเปอร์บอสอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยการชี้แนะของเซียวเฟิง มันทำให้ทัพสัมพันธมิตรไม่สูญเสียกำลังพลแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาใช้วิธีหลบเลี่ยงการปะทะไปใช้การอ้อมแทน ซึ่งมันทำให้ทั้งสองแม่ทัพอย่างเหลาหู่และกิโลต่างพากันพูดไม่ออก
ใช่แล้ว… คำสั่งที่แม่ทัพใหญ่สั่งนั้นถูกต้องทุกประการ เพราะคำสั่งเหล่านี้มันทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงเมืองแห่งความโศกเศร้าได้โดยไม่ต้องสูญเสียอะไรเลย มันถือเป็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งมาก ๆ กองทัพแห่งความมืดเหล่านั้นทรงพลังและมีมหาศาล การที่ต้องสู้จะทำให้ทัพสัมพันธมิตรต้องแบกรับภาระไหนจะต้องแบกรับความเสียหายอีก
แต่เพราะสงครามในครั้งนี้มันสงบเกินไป แม่ทัพทั้งสองจึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
เพื่อให้การป้องกันความเสียหายเป็นไปได้อย่างเต็มกำลัง เซียวเฟิงเลือกที่จะหลบเลี่ยงการต่อสู้ให้ได้มากที่สุด ขนาดที่ว่าจนกว่าบอสจะปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าพวกเขา เขาจะไม่สั่งให้แยกย้ายกันไปสู้เด็ดขาด
เหล่ากิลด์ขนาดใหญ่ระดับสูงของเขตฮัวเซียต่างรวมกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว พวกเขากำลังห้อมล้อมทัพสัมพันธมิตรเอาไว้ นั่นหมายถึงที่แห่งนี้มีผู้เล่นอยู่รวมกันกว่าสิบล้านคน กองทัพแห่งความมืดที่ทยอยมาหย่อมเล็ก ๆ พวกนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับแหล่งฟาร์มไอเทมกับแต้มความสำเร็จสมรภูมิชั้นยอดเลย เซียวเฟิงไม่คิดหรอกว่า ‘กำลังหลัก’ ที่ตัวเองเตรียมมานั้นจะรับมือทัพแห่งความมืดไม่ได้ ดังนั้นไม่มีทางที่ทัพสัมพันธมิตรจะได้รับแรงปะทะจากทัพเหล่านี้แน่ ๆ
สถานการณ์ดำเนินไปด้วยความราบรื่นเช่นนี้อยู่ร่วมสองชั่วโมง ทัพใหญ่เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งเห็นเงาของเมืองแห่งความโศกเศร้าอยู่เบื้องหน้า
ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของดินแดนแห่งความมืด ดังนั้นแล้วจึงถือว่าพวกเขาได้เข้ามาเจอกับทัพหลักของเผ่าพันธุ์แห่งความมืดแล้ว เหล่าผู้เล่นมากมายนับไม่ถ้วนพากันมายืนดูสถานการณ์ตรงหน้ากันอย่างคับคั่งไม่เว้นแม้แต่เหล่าผู้เล่นทั่วไปที่เขยิบออกมาดูกันอย่างเบียดเสียด
“ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกเรามาถึงเมืองแห่งความโศกเศร้าแล้ว!”
NPC กัปตันที่คุมการเคลื่อนย้ายมวลสารเข้ามาหาเซียวเฟิงและรายงานด้วยความเคารพ
แต่ถึงจะไม่มีใครมารายงาน เซียวเฟิงก็เห็นด้วยตาตนเองอยู่แล้ว เมืองแห่งความโศกเศร้านั้นยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกแห่งสงครามสีเทาดังเดิม ราวกับว่ามันคือสัตว์ร้ายที่กำลังหมอบคลานเพื่อรอกระโจนใส่ผู้คนที่เข้าใกล้มันอยู่
ทัพสัมพันธมิตรหยุดเคลื่อนทัพอยู่ที่ด้านนอกเมืองห่างจากตัวกำแพงเมืองห้าพันเมตร และคอยสังเกตสถานการณ์ภายใน ด้วยเซียวเฟิงไม่ต้องการที่จะโถมโจมตีราวกับพายุโดยที่ยังไม่รู้สถานการณ์ภายในนั้น
ผู้เล่นจากกิลด์ต่าง ๆ เองก็ยืนอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาเพียงแค่รอเวลาที่จะบุกทะลวงเท่านั้น
มอนสเตอร์ที่เป็นเผ่าพันธุ์แห่งความมืดตั้งแต่ระดับต่ำสุดจนถึงระดับบอสต่างถูกเติมเต็มไว้ในเมืองแห่งความโศกเศร้าแห่งนี้เป็นจำนวนมาก ๆ มาก จนกล้าที่จะพูดได้ว่าบางทีแต้มความสำเร็จที่ได้จากด้านนอกเมืองนั้น อาจจะไม่สามารถเทียบเท่าได้กับภายในเมืองนั้นเลย หรือดีไม่ดี ไอเทมที่พวกเขาเก็บได้ตลอดทาง อาจจะเทียบไม่ได้กับสิ่งที่กำลังรอพวกเขาอยู่ภายในเมืองแห่งความโศกเศร้านี้เลยก็ได้!
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเหล่ากิดล์ทั้งหลายถึงได้หยุดที่จะกระจายตัวไปไล่เก็บแต้มจากด้านนอกเมือง หากแต้มพวกนั้นไม่ได้มาจากการปราบบอส พวกเขาไม่เปิดฉากการโจมตีจนกระทั่งยืนยันแล้วว่าเป้าหมายเป็นบอสระดับสูง!
ทัพของกิลด์หลาย ๆ กิลด์เริ่มถอยร่นไปอยู่ด้านหลังเพื่อรวมทัพกันใหม่ พวกเขารู้ดีว่า NPC ในทัพนี้ล้วนแต่เป็น NPC ระดับสูงที่ทรงพลัง ดังนั้นแล้วเป็นไปได้ว่าบอสที่เกิดขึ้นในเมืองนั้นเองก็จะเป็นบอสระดับที่สูงเกินกว่าจะรับมือได้ด้วย ขืนบุ่มบ่ามเข้าไป พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับฝุ่นที่เข้าไปให้โดนปัดกวาด…
เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงรออยู่ตรงนี้เพื่อเข้าโจมตีหลังจากที่ทัพของ NPC เปิดฉากไปก่อนแล้ว ยังไงเสียถ้าพวกเขาสามารถโจมตีปิดฉากบอสตัวนั้น ๆ ได้ ผลประโยชน์มากมายก็ตกเป็นของเขาอยู่ดี ตอนนี้คงต้องอดทนรอเวลาให้เมืองแห่งความโศกเศร้าถูกพายุการโจมตีเข้าปะทะก่อน จากนั้นสงครามจริง ๆ ถึงจะได้เริ่มต้นขึ้น
พลังของพวกเขาทั้งหมดในตอนนี้คงจะไม่สามารถรับมือกับบอสระดับสูงในเมืองนั้นไหว แต่ถ้าหากเป็นบอสที่ตัวเล็กลงมาหรือเป็นทัพมอนสเตอร์ที่ไม่ใหญ่มากล่ะก็ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว เมืองแห่งความโศกเศร้าถือเป็นฐานที่ตั้งของเผ่าพันธุ์แห่งความมืด เพราะงั้นมันน่าจะมีมอนสเตอร์ปริมาณมากพอที่จะแบ่งปันแต้มต่าง ๆ ให้คนในกิลด์ที่เข้าต่อสู้อย่างแน่นอน
เหล่าผู้เล่นที่กระจายกันมารับรู้ถึงเป้าหมายของกิลด์แล้ว และเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย โอกาสของพวกเขาน้อยมาก ๆ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถกำจัดมอนสเตอร์ที่เหลืออยู่ในดินแดนแห่งความมืดนี้ได้ต่อไป แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปกำจัดมอนสเตอร์ภายในเมืองแห่งความโศกเศร้าได้แน่ ๆ ดังนั้นแล้วพวกเขาหลายคนจึงมีความคิดกันว่าจะเข้าร่วมกับกิลด์ใหญ่ ๆ ยังไงเสียการหวังพึ่งกำลังทัพที่แข็งแกร่งกว่าก็ย่อมเป็นผลดีกว่าอยู่แล้ว
“ทำไมถึงไม่มีเสียงอะไรเลยนะ? เมืองแห่งความโศกเศร้ากลายเป็นเมืองร้างจริง ๆ ไปแล้วเหรอ?”
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทั้ง NPC และผู้เล่นกิลด์ต่างเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดจากภายในเมืองได้บ้างแล้ว
ด้วยระยะห้าพันเมตรนั้นไม่ได้ไกลอะไรเลย พวกเขาเห็นเค้าโครงของเมืองแห่งความโศกเศร้าได้อย่างชัดเจน ทว่าที่แห่งนั้นกลับไม่มีเสียงอะไรดังออกมาสักนิด
มันไม่ใช่เรื่องปกติแน่ ๆ ถ้าหากจะบอกว่าอีกฝ่ายไม่รู้ถึงการมาของทัพมนุษย์ที่ใหญ่ขนาดนี้ เพราะถ้าเทียบขนาดแล้ว ทัพของสัมพันธมิตรและผู้เล่นนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าขนาดเมองแห่งความโศกเศร้าเลย แล้วไหนจะการล้อมเมืองของทัพ NPC อีก ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ทางที่พวกมอนสเตอร์ภายในจะไม่รู้ว่าด้านนอกกำลังโดนบุกเข้ามาแล้ว
“ช่วยเข้าไปตรวจสอบให้ที”
เซียวเฟิงให้ไปพูดกับ NPC พาลาดินที่อยู่ใกล้ ๆ พาลาดินคนนี้ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเขาดี นั่นเพราะเขาคือพาลาดินที่ประจำอยู่ในหน่วยพาลาดินที่เทวสถานแห่งที่ 2 ของเมืองเทียนหลง
“รับทราบ ท่านอาร์คบิชอป”
NPC พาลาดินคนดังกล่าวรีบมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองแห่งความโศกเศร้าด้วยม้าศึกของเขา
ตู้ม!
ทันใดนั้นเอง เมืองแห่งความโศกเศร้าที่เงียบสนิทมาตลอดก็เกิดแสงสีม่วงสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงอันดังกึกก้องของปืนใหญ่ ตามด้วยลำแสงสีม่วงราวกับดาวตกที่ลอยออกมาจากเมืองพุ่งเข้าใส่ทิศที่เซียวเฟิงยืนอยู่อย่างรวดเร็ว!
“นั่นปืนใหญ่ผลึกอสูร! ท่านอาร์คบิชอป ระวัง!”
บิชอปเรนัลด์ที่อยู่ใกล้ตะโกนขึ้น เขาบอกให้เซียวเฟิงระวังตัวขณะที่ตนเองกำลังวิ่งถอยห่างไปแล้ว ซึ่ง NPC คนอื่น ๆ ต่างก็พากันวิ่งกระจายออกกันไปอย่างรวดเร็วด้วย
“บ้าเอ๊ย! ปกป้องท่านอาร์คบิชอปไว้!”
เซียวเฟิงตกใจมาก เขารู้อยู่แล้วว่าพวกเมืองหลักทั้งหลายจะต้องมีกลไกการป้องกันศัตรูถูกติดตั้งเอาไว้อยู่ ยกตัวอย่างเช่นเมืองเทียนหลง เองก็มีปืนใหญ่ที่กำแพงเมืองที่คอยปกป้องตัวเมืองไว้ ขนาดแคมป์ของกิลด์มิดซัมเมอร์เองก็ยังมีอัสนีบาตคอยป้องกันแคมป์ถึงสองชั้น
ทว่าปืนใหญ่ผลึกอสูรนี้ดูแปลกออกไป เขามองไปยังรอบ ๆ ตัวแล้วก็พบว่าแม้แต่แม่ทัพเหลาหู่และหัวหน้ากิโลต่างก็หวาดกลัวจนต้องหนีออกไป!
คำถามก็คือ ทำไมปืนใหญ่กระบอกนั้นถึงเล็งเป้าหมายมายังเขาแบบนี้!?