บทที่ 613 หลบหนี
ดวงตาของชายที่สวมหน้ากากนั้นเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เขายกเท้าขึ้นและเตะคนที่พูดอยู่อย่างแรงจนอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสด้วยการเตะเพียงครั้งเดียว
“ราชครูขอรับ พวกเขาออกไปจากเมืองแล้วขอรับ” ไม่นานหลังจากนั้น ชายในชุดดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าชายสวมหน้ากาก เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ก่อนจะรายงาน
ชายในชุดขาวผู้นั้นคือราชครูแห่งเหมียวเจียงนั่นเอง เขามาที่นี่หลังจากหนานกงเยี่ยนได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว เขาถึงรู้ตัวว่าถูกหลอก
คนที่อยู่กับเด็กๆ ในเมืองอื่นนั้นไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว มันเป็นเพียงแผนการที่หลอกล่อพวกเขาเท่านั้น
“เวรเอ๊ย ออกตามหาพวกนั้นเดี๋ยวนี้” ราชครูตะโกนอย่างแค้นเคือง
หลังจากที่รู้ตำแหน่งของหนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ เขาก็เตรียมตัวอย่างดี โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาเข้ามาในบ้าน เขารอให้หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ ตกหลุมพรางที่เขาวางเอาไว้ แต่ใครจะคิดว่าคนพวกนั้นจะมาที่นี่ได้ และยังช่วยเหลือหนานกงเยี่ยนสำเร็จอีกด้วย คนพวกนั้นแอบพาผู้สำเร็จราชการหนีใต้จมูกเขา ทำให้เขาโกรธแค้นอย่างมาก
“ขอรับ”
หนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างวิ่งตามหงอิงและคนอื่นๆ ออกมาจากเมืองแห่งนั้น
พวกเขามิได้ขี่ม้า แต่ออกแรงวิ่งโดยใช้กำลังของตนเองแทน จนสุดท้าย ก็สามารถตามคนอื่นๆ ทันในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
เฉียวเทียนช่างมองไปรอบๆ ก่อนจะหรี่ตาลง “ไปยังภูเขาลูกนั้นกันเถอะ” ตอนนี้พวกเขาสามารถทำได้เพียงแอบอยู่ในภูเขาเท่านั้น
ชายหนุ่มมองกลุ่มคนตรงหน้าด้วยท่าทีจริงจัง
หากพวกเขายังคงวิ่งต่อไปเช่นนี้ สุดท้ายแล้ว อีกฝ่ายก็คงจะตามตัวเจออยู่ดี
แต่ถ้าหากพวกเขาหลบอยู่ในภูเขา และลบรอยเท้าให้หมด ก็คงพอมีเวลาที่จะซ่อนตัวไม่ให้อีกฝ่ายพบเจออีกสักพักใหญ่ๆ
ผู้เฒ่าไกว้มองชายหนุ่มและยิ้ม “พวกเราต้องไปให้ถึงภูเขาลูกนั้น แล้วไปยังบ้านของหนานอวี่ จากนั้นเทียนช่างกับเหยาเอ๋อร์ก็กลับบ้านได้”
หนิงเมิ่งเหยามองตากับสามี แล้วพยักหน้า “ตกลง”
พวกเขาตั้งใจจะทำแบบนี้เช่นกัน หากอีกฝ่ายตามหาพวกเขาไม่พบ คนพวกนั้นก็จะต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เด็กๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบกลับบ้าน
นั่นจึงเป็นแผนการของพวกเขา คนอื่นๆ จะเดินนำอยู่ข้างหน้า ส่วนเฉียวเทียนช่างจะช่วยลบรอยเท้าให้
อย่างไรก็ตาม หนิงเมิ่งเหยายังไม่อยากให้ชายหนุ่มลบร่อยรอยของพวกเขาจนหมดเกลี้ยง นางบอกให้เขาทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้เบื้องหลัง เพื่อให้อีกฝ่ายไล่ตามพวกเขาเป็นวงกลม
หลังจากเดินผ่านภูเขาไปสามลูก หนิงเมิ่งเหยาก็บอกให้สามีลบรอยเท้าออกให้หมดได้ เมื่อมาถึงภูเขาลูกสุดท้าย หญิงสาวก็เริ่มวิตกกังวล
เมื่อพวกเขามาถึงบนยอดเขา สองสามีภรรยาก็แยกออกจากกลุ่ม ก่อนจะพบถนนสายที่ใกล้ที่สุดที่พอจะพรางตัวพวกเขาได้ ส่วนผู้เฒ่าไกว้ก็พาหงอิงและคนอื่นๆ ไปยังหุบเขาที่ถูกซ่อนอยู่ และวางแผนจะซ่อนตัวอยู่ที่นั่น โดยจะกลับไปหาหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างเมื่อทั้งสองคนต้องการความช่วยเหลือ
หลังจากข้ามภูเขาแล้ว เฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยาก็มุ่งหน้าไปยังบ้านที่เพิ่งซื้อไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากที่มาถึงลานบ้านแห่งนั้น ชิงซวงและคนอื่นๆ ก็รีบถอดหน้ากากออก และพวกเขาทั้งสองคนก็ถอดหน้ากากออกเช่นกัน
เฉียวโม่เฟิงเห็นพวกเขาแล้วรู้สึกมีความสุขอย่างมาก “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านกลับมาแล้ว!”
“ใช่ เฟิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กดีหรือไม่” แม้ว่าตอนนี้หญิงสาวอยากจะเจอเจ้าลิงน้อยของตัวเองแล้ว แต่นางก็ต้องรักษาความรู้สึกของลูกชายคนนี้ด้วยเช่นกัน
เฉียวโม่เฟิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ ข้าเป็นเด็กดีมาก”
ผู้เป็นแม่ลูบศีรษะเฉียวโม่เฟิง “เจ้าเป็นเด็กดีจริงๆ ข้าเกรงว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นในวันหน้า เจ้ากลัวหรือไม่”
“ข้าไม่กลัวเลย เฟิงเอ๋อร์คนนี้ร่ำเรียนวรยุทธ์จากท่านอาหนานอวี่มาบ้างแล้ว ข้าจะปกป้องท่านพ่อ ท่านแม่ และน้องเล็กเอง” เฉียวโม่เฟิงส่ายศีรษะ สีหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างยิ่ง
หนิงเมิ่งเหยาขยี้ผมของเขาอย่างหมั่นเขี้ยวพลางยิ้มเบาๆ ‘การมีลูกชายแบบนี้มันช่างดีเหลือเกิน’
“ท่านแม่ น้องเล็กยังคงหลับอยู่ แต่อีกไม่นานเขาก็คงจะตื่นแล้ว” หลังจากที่พูดคุยกับหนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ เสร็จ เฉียวโม่เฟิงก็พูดถึงเฉียวโม่ซางต่อ
“อย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นพ่อกับแม่จะไปล้างตัวก่อน เฟิงเอ๋อร์ เจ้าช่วยไปดูว่าน้องชายของเจ้าตื่นแล้วหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกหวั่นไหวกับความรู้สึกของเด็กน้อย นางเองก็รู้สึกผิดด้วยเช่นกัน
“ตกลง ข้าจะไปดูให้เดี๋ยวนี้”
“คุณหนูเจ้าคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” ชิงซวงถามอย่างเป็นกังวลขณะมองหน้าทั้งสองคน
“ไว้ค่อยคุยกัน”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากที่เฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยาอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มก็กอดเอวภรรยาไว้แน่น “มาเล่นกับคนพวกนั้นกันเถอะ”
บทที่ 614 นี่แม่เอง มิใช่หมาป่า
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างหนีออกมาได้ ราชครูและคนของเขาก็ต่างมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องมีเรื่องทำให้พวกเขาประหลาดใจอีกมากมาย สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือสับขาหลอก และทำให้พวกเขาเชื่อว่าพวกตนมิใช่คนที่เข้าไปช่วยเหลือหนานกงเยี่ยนนั่นเอง
ตราบใดที่พวกเขาหลอกล่อราชครูและคนของเขาได้ ทั้งคู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าคนพวกนั้นจะจับดูพวกเขาทุกวัน
หนิงเมิ่งเหยาลูบคาง นางรู้สึกสนใจข้อเสนอของสามีมากขึ้น “เจ้ามีแผนการอย่างไรหรือ”
“แผนการของข้าน่ะหรือ เมื่อถึงเวลา เจ้าจะรู้เอง” เฉียวเทียนช่างยิ้ม
“เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้พวกเราไปหาเจ้าลิงน้อยกันเถอะ ข้าคิดถึงเขาแล้ว” หญิงสาวไม่เคยอยู่ห่างจากเจ้าลิงน้อยนานขนาดนี้มาก่อน นางสงสัยว่าเขาจะยังจำนางได้อยู่หรือไม่
เฉียวเทียนช่างเองก็ต้องการจะเห็นหน้าลูกชายด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มไม่เห็นหน้าเฉียวโม่ซางมานานแล้ว จึงรู้สึกคิดถึงเขาไม่แพ้ผู้เป็นแม่เลยทีเดียว
เมื่อทั้งสองคนอาบน้ำเสร็จ ก็เดินไปยังห้องของเฉียวโม่เฟิงที่กำลังแต่งตัวให้เด็กน้อยอยู่ เขาดูราวกับเป็นพี่ชายคนโต
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกสบายใจ เมื่อเห็นว่าลูกชายทั้งสองคนเข้ากันได้ดี
สายตาของเฉียวโม่ซางจับจ้องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนทันทีที่พวกเขาเข้ามาในห้อง “ท่านพ่อ…ท่านพ่อ”
ดวงตาของเฉียวเทียนช่างทอประกาย ก่อนจะกอดลูกน้อยในอ้อมแขน “ซางเอ๋อร์ เจ้าจำพ่อได้หรือ”
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกอิจฉาขึ้นมาในทันที ก่อนจะเดินไปตรงหน้า และเอ่ยถามอย่างคร่ำครวญ “เจ้าลิงน้อย เจ้าจำได้แต่ท่านพ่อหรือ แล้วจำท่านแม่ได้หรือไม่”
เฉียวโม่ซางกระพริบตา “หมาป่า…”
หญิงสาวมองลูกชายอย่างประหลาดใจ พร้อมกับสงสัยว่าทำไมคำๆ นั้นถึงฟังดูคล้ายกับคำว่า ‘ท่านแม่’ ขนาดนี้
เฉียวโม่เฟิงรู้สึกเขินอาย “สองสามวันก่อน ข้าเพิ่งสอนให้เขาพูดคำว่าท่านแม่ แต่…” ทำไมคำว่า ‘ท่านแม่’ ถึงฟังดูคล้ายกับคำว่า ‘หมาป่า’ ขนาดนี้เล่า
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวโม่เฟิงที่มีอาการเขิน แล้วจึงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว เฟิงเอ๋อร์ เจ้าคงจะลำบากแย่เลย”
เด็กน้อยฝึกฝนวรยุทธ์ทุกวัน และยังต้องดูแล รวมถึงสอนน้องชายคนนี้พูดอีกด้วย
“ไม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ข้ารักซางเอ๋อร์ และอยากพูดคุยกับเขาด้วยเช่นกัน” เฉียวโม่เฟิงพูดขึ้นอย่างรวดเร็วพลางส่ายหน้าปฏิเสธ
เด็กชายชอบที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ทุกครั้งที่เขาเล่นกับซางเอ๋อร์ เขาก็มีความสุขด้วยเช่นกัน
“เจ้าลิงน้อย เร็วเข้า เรียกข้าว่าท่านแม่สิ”
“หมาป่า”
“ท่านแม่…”
“หมาป่า…”
“ท่านแม่ ไม่ใช่หมาป่า” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวโม่ซางอย่างดื้อดึง และพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง
ลูกชายตัวน้อยมองผู้เป็นแม่นิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “หมาป่า…”
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกฉุนเฉียว ลูกน้อยพูดคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่คำว่า ‘ท่านแม่’ นั้นกลับตรงกันข้าม
“ท่านแม่ ไม่เป็นไรหรอก น้องเล็กนั้นเป็นเด็กฉลาด เดี๋ยวเขาก็จะเรียนรู้ได้เอง” เฉียวโม่เฟิงเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยามีอาการหงุดหงิด เขาจึงรีบปกป้องน้องชายคนเล็กอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าภรรยาพยายามอย่างหนักที่จะทำให้ลูกน้อยเรียกตนว่า ‘ท่านแม่’ ให้ได้ เฉียวเทียนช่างก็อยากจะหัวเราะออกมาในทันใด แต่เขารู้สึกว่ามันน่าขันยิ่งกว่าเก่า เมื่อเฉียวโม่เฟิงพูดเช่นนั้น ในที่สุด เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่
หนิงเมิ่งเหยาหันไปมองสามีอย่างรังเกียจ “เจ้าหัวเราะเยาะข้าหรือ”
เฉียวเทียนช่างกระแอมไอก่อนส่ายศีรษะในทันที “เปล่า ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าได้อย่างไรกัน”
เฉียวโม่เฟิงมองดูท่านพ่อกับท่านแม่พูดคุยกัน พร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
พวกเขาทั้งสี่คนอยู่ในห้องนั้นสักครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกมา
ผู้เป็นพ่อและแม่พาเด็กๆ ออกมาเดินเล่นข้างนอก โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้คนมองดูพวกเขาอยู่หรือไม่
เฉียวโม่เฟิงมองท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงออกมาเดินเล่นข้างนอกเช่นนี้ มีธุระสำคัญใดต้องทำเช่นนั้นหรือ
“พวกเราจะไปที่ไหนกันหรือ ท่านพ่อ ท่านแม่” เฉียวโม่เฟิงไม่อาจข่มความสงสัยไว้ในใจได้อีกต่อไป
เฉียวเทียนช่างยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามีงานประมูลของบางอย่าง จึงอยากจะไปดูสักหน่อย”
ลูกชายตกตะลึง และรู้สึกสงสัยกับคำพูดของท่านพ่อ
หนิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างแผ่วเบา หญิงสาวพยายามข่มความคาดหวังไว้ในใจ และรอดูว่าเฉียวเทียนช่างวางแผนจะทำอะไรกันแน่
ผู้คนมากมายหลั่งไหลมายังร้านประมูลที่ใหญ่ที่สุดในตัวเมือง
หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ เดินไปยังห้องส่วนตัวและดูการประมูลสินค้า และเมื่อสังเกตเห็นของบางสิ่ง หญิงสาวก็ขมวดคิ้วมอง “มีใครบางคนประมูลกระบี่หิมะโปรย”
เฉียวเทียนช่างเกร็งตัว ก่อนจะมองรายการของที่อยู่ในมือของภรรยา “ปล่อยให้พวกเขาประมูลไปเถอะ”