บทที่ 300 อานุภาพที่กำลังของมนุษย์ไม่อาจต้านทาน

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

ทั้งสี่ต่างเป็นมือสังหารที่สวมเสื้อโค้ทสีดำทั้งหมด คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ นอกจากเย่เทียนเฉินที่ยังไม่กลับมาแล้ว คนที่เหลืออีกสิบสองคนต่างลงมือต่อสู้เต็มกำลัง แต่ไม่สามารถสังหารสี่คนนี้ได้ในเวลาสั้นๆ นี่เป็นความท้าทายครั้งที่สองที่ได้พบตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ขึ้นมา

ความจริงฝีมือของมือสังหารทั้งสี่คนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะเอาชนะไม่ได้ อย่างน้อยอู๋เสวี่ย หวังเจี๋ยและเปาเทียนหลง หากทั้งสามคนนี้ลงมือเต็มกำลังก็มากพอที่จะจัดการพวกเขาได้ แต่อาวุธในมือของพวกเขาร้ายกาจเกินไป คนหนึ่งเป็นมีดแปลกๆ ชายร่างอ้วนถือค้อนอันใหญ่สีดำอยู่ในมือ ส่วนชายร่างผอมถือโล่สีเงินอยู่ในมือ อาวุธก็ทั้งสามนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พลังสังหารที่ปะทุออกมาก็ทำให้ผู้คนยากที่จะต่อต้านจริงๆ

มีดแปลกๆ ที่อยู่ในมือของชายร่างสูงคนนั้นมีลมปราณอันแข็งแกร่งปะทุออกมา ทันใดนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ หลินตวนที่เป็นผู้สืบทอดวิชาของพรรควรยุทธโบราณและเป็นหนึ่งในผู้ที่มีดาวเจ็ดดาวซึ่งเป็นอาวุธเทพอยู่ในมือ แน่นอนว่าย่อมมีความเข้าใจในเรื่องอาวุธอันร้ายกาจในตำนานเล่าขานอยู่บ้าง ในตอนที่มีดแปลกๆ เปลี่ยนเป็นกระบี่ เขาก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง!

“แม่งเอ้ย คนพวกนี้เป็นใครกันแน่ กระบี่ไท่อาเพิ่งจะถูกพวกเราเอาไปก็มีกระบี่อวี๋ฉางโผล่ออกมาอีกแล้ว!” หูหลงพูดออกมาด้วยความตื่นตกใจเล็กน้อย

“ทุกคนระวังให้ดี กระบี่อวี๋ฉางเป็นหนึ่งในกระบี่โบราณทั้งสิบเล่ม พลังอานุภาพไม่ด้อยไปกว่ากระบี่ไท่อาเลย ส่วนค้อนสีดำและโล่เสียเงินในมือของเจ้าอ้วนและผอมจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่!” หลินตวนกำดาบเจ็ดดาวแน่น พูดออกมาอย่างเคร่งเครียด

กระบี่อวี๋ฉาง หนึ่งในสิบกระบี่โบราณ อยู่ในลำดับที่แปด ถูกเรียกขานว่าเป็นกระบี่แห่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เป็นที่รู้จักในเรื่องของความกล้าหาญ จินตนาการได้เลยว่ากระบี่เล่มนี้จะร้ายกาจเพียงใด

ตามที่บันทึกไว้ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ กระบี่อวี๋ฉาง(ไส้ปลา) หรืออีกชื่อหนึ่งว่ากระบี่อวี๋ฉาง(ซ่อนปลา) เล่าขานกันว่า ปรมาจารย์กระบี่ท่านหนึ่งนามว่าโอวเหยียจื่อ สร้างถวายแก่เจ้าครองแคว้นเยว่ เขาใช้แร่ดีบุกจากเขาภูเขาชื่อจิ่น ทองแดงจากแม่น้ำรั่วเหยี่ย ผ่านสายฝนและสายฟ้าฟาด ได้รับแก่นพลังแห่งฟ้าดิน สร้างเป็นกระบี่ออกมาห้าเล่ม ได้แก่ กระบี่จ้านหลู กระบี่ฉุนจวิน กระบี่เซิ่งเสีย กระบี่อวี๋ฉาง และกระบี่จวี้เชว

เมื่อกระบี่อวี๋ฉางสร้างเสร็จ ซวีจู๋ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูลักษณะของกระบี่ถูกเชิญมาสำรวจ วิชาการทำนายลักษณ์กระบี่ของซวีจู๋แม่นยำราวหยั่งรู้ เขาสัมผัสได้ถึงลักษณะที่ซ่อนแฝงอยู่ในกระบี่อวี๋ฉาง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวออกมาว่ากระบี่อวี๋ฉางนั้น “ขบถดื้อรั้น ไม่อาจกำราบ บ่าวใช้ฆ่านาย บุตรใช้ฆ่าบิดา” เดิมทีกระบี่เล่มนี้เมื่อเกิดมาก็ฝ่าฝืนต่อหลักคุณธรรม ใช้สำหรับปลงพระชนม์ทำปิตุฆาต น่าหวาดกลัวยิ่งนัก ภายหลังเจ้าครองแคว้นเยว่ได้มอบของล้ำค่าให้แก่แคว้นอู๋ กระบี่เล่มนี้จึงย้ายจากแคว้นเยว่ไปแคว้นอู๋ด้วยเหตุนี้เอง

ส่วนที่มาของชื่อกระบี่ไส้ปลามีการอธิบายไว้สองแบบ แบบแรกอธิบายว่า ลวดลายบนตัวกระบี่ดูเหมือนไส้ปลา ซึ่งไส้ปลานี้ไม่ได้หมายถึงไส้ในตัวปลา แต่เป็นปลาที่ย่างจนสุกและถูกดึงกระดูกทั้งสองข้างออก เมื่อมองไปจะเห็นว่ามีไส้ปลาลวดลายเหมือนกับบนกระบี่ มีความหยักไปมาเป็นคลื่นนูนต่ำไม่เสมอกัน ด้วยเหตุนี้จึงได้รับชื่อนี้ ว่ากันว่าอู่ต้าซี แห่งราชวงศ์ชิงมีภาพวาดจำลองของกระบี่อวี๋ฉางอยู่ในครอบครอง ใบกระบี่เผยลวดลายออกมาเหมือนกลับไส้ปลา ความจริงไม่ใช่เพียงแค่ไส้ปลา ลวดลายยังเหมือนกับ กระดองเต่า เหมือนภูเขาสูง เหมือนคลื่นน้ำ เหมือนดอกฝูหรง…

การอธิบายอีกอย่างหนึ่งคือ คิดว่าชื่อของกระบี่อวี๋ฉางนั้นเป็นเพราะมันเล็กจนสามารถซ่อนเอาไว้ในท้องปลาได้ ตัวกระบี่ของกระบี่อวี๋ฉางเรียวยาวนิ่มเหนียว สามารถยัดลงไปในปากปลา โค้งงอลงไปตามไส้ปลา แต่ตอนที่ดึงออกมากลับคืนสภาพเดิม เป็นเหล็กที่มีความเหนียวอย่างหาใดเปรียบ เปล่งประกายลุกโชน และความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือกระบี่อวี๋ฉางเป็นของมีคมที่เล็กมากในหมู่กระบี่ทั้งหลาย เหมือนกับดาบสั้นหรือกริช

ในประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่าอันโด่งดังคือจวนจูซ่อนมีดในปลา ในตอนนั้นเหยี่ยวตัวใหญ่สีดำเหมือนเหล็กตัวหนึ่งบินไปยังตำหนักใหญ่ จวนจูกำลังยกปลาเฟิ่งจี้ย่างดอกเหมยที่ทำด้วยตัวเองไปที่ห้องโถง

แสงอาทิตย์บนท้องฟ้ามืดครึ้ม เหยี่ยวตัวใหญ่บินเข้ามา ยังตำหนักที่มีกองทหารยืนเรียง จวนจูก้าวเดินไปเบื้องหน้าอย่างมั่นคง

ก้อนเมฆถูกอำนาจของเหยี่ยวที่บินมาทำให้ตกใจจนหลบออกไป อ๋องเหลียวถูกกลิ่นหอมของอาหารในมือจวนจูดึงดูด สูดจมูกฟุดฟิดโน้มตัวไปด้านหน้า เขาเห็นแต่อาหารไม่เห็นจวนจู

อาหารจานนั้นเรียกว่าปลาเฟิ่งจี้ย่างดอกเหมย ปลาเฟิ่งจี้ เป็นปลาที่มีหางเหมือนหงส์ จะปรากฏออกมาในตอนที่น้ำในทะเลสาบร้อนเท่านั้น ส่วนการย่างจะใช้กิ่งไม้จากต้นเหมยในฤดูหนาวมาย่างปลาเฟิ่งจี้ที่มีหางเหมือนหงส์ท่ามกลาง ฤดูร้อนบริเวณทะเลสาบ

เหยี่ยวที่บินมาเห็นตำหนักลางๆ แล้ว ทันใดนั้นท้องฟ้าพลันมืดครึ้มลง จวนจูเดินมาถึงเบื้องหน้าอ๋องเหลียว นำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะทรงพระอักษร โคมไฟภายในตำหนักยังคงติดอยู่ ทว่าเมฆครึ้มบนฟ้าสลายไป เหยี่ยวตัวใหญ่สยายปีก อ๋องเหลียวกลืนน้ำลาย มองไปยังอาหารเลิศรสด้านหน้า

จวนจู กำลังใช้มือแบ่งปลาอย่างมั่นคง ตามมาด้วยเสียงดันสนั่นฟ้า เหยี่ยวตัวใหญ่บินโฉบลงมาในตำหนัก

อ๋องเหลียวพลันสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่หนาวเข้ากระดูกทิ่มแทงออกมาจากท้องปลา เขาถูกทำให้ตกใจจนนิ่งไปแล้ว

กระบี่อวี๋ฉางถูกนำออกจากฝัก(ท้องปลา) มันอิงแอบอยู่ในมือของจวนจูอย่างมั่นคง พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เหล็กสองคมของทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีสองเล่มถูกชักออกมาขวางไว้เบื้องหน้า กระบี่อวี๋ฉางทะลุผ่านไปยังช่องว่าง ยังคงแทงเข้าไปต่อ

เบื้องหน้ามีเกราะกันอยู่สามชั้น ชั้นแรกถูกแทงทะลุ ชั้นที่สองก็ยังทะลุ เมื่อมาถึงชั้นที่สามกระบี่อวี๋ฉางพบว่าตนเองหักแล้ว

กระบี่หักแต่ไอสังหารไม่ได้หักตาม กระบี่อวี๋ฉางยังคงมุ่งไปเบื้องหน้า

ในตอนที่เหยี่ยวตัวใหญ่โจมตีตำหนักจนวุ่นวาย กระบี่อวี๋ฉางก็แทงเข้าไปในหัวใจของอ๋องเหลียวแล้ว

ในตอนที่เหยี่ยวตัวใหญ่ได้รับบาดเจ็บจนตกลงมา มันร้องออกมาด้วยความยินดี

กระบี่อวี๋ฉางที่หักครึ่งปักอยู่ในหัวใจที่ค่อยๆ อ่อนแรงลงของอ๋องเหลียว ส่งเสียงเต้นออกมาเป็นบทเพลงที่ไร้เสียง

จวนจูถูกห่ากระบี่ฟาดฟัน ใช้แรงเฮือกสุดท้ายหัวเราะอย่างโดดเดี่ยวให้แก่พื้นดินใต้ใบหน้า

…จวนจูแทงอ๋องเหลียว เปรียบเหมือนดาวหางพุ่งชนพระจันทร์…

นี่คือที่มาที่ไปและตำนานเล่าขานของกระบี่อวี๋ฉาง กระบี่แห่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ต่อให้กระบี่หักแต่พลังของกระบี่ไม่ได้ลดทอนไป ต้องการจะฆ่าศัตรูให้ได้ ความน่ากลัวของพลังสังหารแบบนี้ ประดุจดั่งแม่น้ำซัดทลายพื้นดิน ประดุจดั่งดาวหางพุ่งชนดวงจันทร์จนจักรวาลแตกซ่าน

ความจริงในตอนนี้ มือสังหารทั้งสี่ก็รู้สึกแปลกใจมาก ก่อนหน้านี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาสี่คนลงมือพร้อมกันเลย ต่อให้พวกเขาคนหนึ่งคนใดลงมือคนเดียว การจะฆ่าคนนับร้อยก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ต่อให้พบกับคนที่มีฝีมืออยู่บ้างก็ยังใช้อาวุธเทพนี้เก็บกวาดได้ แต่วันนี้ในหมู่สิบสามจ้าวสวรรค์ นอกจากหลินตวนที่มีดาบเจ็ดดาวอยู่ในมือแล้ว คนอื่นๆ ต่างสู้ด้วยมือเปล่า จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่สามารถฆ่าได้สักคน ช่างน่าขายหน้าจริงๆ พวกเขารู้สึกว่าสิบสามจ้าวสวรรค์เหล่านี้สมคำร่ำรือ ไม่น่าล่ะถึงสามารถทำลายล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางที่เป็นตระกูลใหญ่แห่งโลกเบื้องหลังทั้งสองได้ภายในคืนเดียว

“เจ้าเตี้ย แกยังมัวรออะไรอยู่สิบสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย แกคิดว่าไม่ต้องใช้อาวุธของแกแล้วจะเอาชนะได้รึไง?” ชายร่างสูงในชุดสีดำพูดอย่างไม่พอใจ

“หึ ไม่ใช่ว่าพวกแกสามคนคิดว่าตัวเองร้ายกาจมากรึไง? ทำไม ตอนนี้ต้องให้ฉันใช้อาวุธแล้วเหรอ?”

ในใจของชายร่างเตี้ยรู้สึกไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ในตอนเริ่มต้นเขาพูดจาใหญ่โตไว้มาก บอกว่าเขาคนเดียวจะฆ่าพวกอู๋เสวี่ยทั้งหมด เพียงแต่กลับคิดไม่ถึงว่าสิบสามจ้าวสวรรค์จะไม่ใช่พวกเล่นง่าย แค่พลังการต่อสู้ของเปาเทียนหลงคนเดียวก็ทำให้ชายร่างเตี้ยตกใจแล้ว รวมกับการที่หลินตวนลงมือ เขาก็เกือบจะถูกฆ่า ถูกคนอื่นๆ อีกสามคนหัวเราะเยาะ ตอนนี้จึงต้องการแก้แค้นอย่างแน่นอน

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันภายใน แกก็รู้นิสัยของลูกพี่ดี ถ้าหากก่อนเขามา เรายังตัดหัวคนสิบสองคนนี้ไม่ได้ เกรงว่าพวกเราคงตายแน่!” เจ้าอ้วนที่ถือค้อนอันใหญ่สีดำอยู่ในมือเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา

“เจ้าเตี้ยถ้าแกอยากตายก็ไม่ต้องเอาอาวุธออกมา!” ชายร่างผอมมองไปยังอู๋เสวี่ยอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

การต่อสู้สั้นๆ เมื่อสักครู่นี้ ชายร่างสูงสู้กับหลินตวนมาโดยตลอด เขาต้องการที่จะฆ่าอีกฝ่ายแล้วเอาดาบเจ็ดดาวมาอยู่ในมือตน ส่วนเจ้าอ้วนที่ถือค้อนสีดำอันใหญ่อยู่ในมือก็สู้กับอู๋เสวี่ย ถึงแม้ค้อนอันใหญ่ในมือของเขาจะแฝงไปด้วยพลังปราณสายฟ้าที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่มวยสิงอี้ของอู๋เสวี่ยก็รุนแรงมากนัก รวมกับที่ได้รับคำชี้แนะจากเย่เทียนเฉินมาแล้วจึงแตกต่างจากวันวานไปมาก ปะทะกันไปหลายครั้งก็ยังไม่ถอย นี่ทำให้มือสังหารร่างอ้วนไม่พอใจมาก

ส่วนมือสังหารร่างเตี้ยและมือสังหารร่างผอมอีกคนหนึ่งสู้กับทุกคน โดยเฉพาะโล่สีเงินที่อยู่ในมือของมือสังหารร่างผอม ไม่เพียงแต่จะโจมตีได้ แต่ยังมีพลังในการป้องกันอีกด้วย แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ย่อขยายได้ ยากที่จะป้องกันต่อต้าน แทงไม่เข้า โจมตีไม่แตก รับมือได้ยากมาก

“แม่งเอ้ย หลายปีแล้วที่พวกเราสี่คนไม่ได้ร่วมมือกันใช้อาวุธ เห็นทีวันนี้ไม่ใช้ไม่ได้แล้ว!” ชายร่างเตี้ยพูดอย่างไม่พอใจ

วินาทีต่อมา ในมือของชายร่างเตี้ยปรากฏพัดเล่มหนึ่งขึ้น พัดเล่มนั้นพิเศษมาก เหมือนกับใช้ขนทั้งตัวมาทำ เป็นสีขาวทั้งเล่ม ไม่รู้ว่าใช้ขนอะไรมาทำ ดูแล้วไม่เหมือนกับสัตว์ ดูแปลกมาก

“เอาล่ะ เกมมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว!” ชายร่างเตี้ยพูดอย่างมั่นใจ

ฉัวะ!

ชายร่างเตี้ยเป็นคนลงมือก่อน พัดในเมืองของเขาสะบัดออกไป โบกสะบัดไปยังพวกอู๋เสวี่ย ทันใดนั้นลมอันบ้าคลั่งพัดหมุนในอากาศ พัดพาเศษดินและหินไปทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้น มีความรู้สึกเหมือนกับพายุทอร์นาโดเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น พวกอู๋เสวี่ยทั้งสิบสองคนเกือบจะถูกพัดลอยไปแล้ว

“พวกแกยังรออะไรอยู่อีก?” ชายร่างเตี้ยพูดอย่างไม่พอใจ

“ได้ รีบสู้รีบจบ!”

ฉัวะ!

สะบัดพัดอีกครั้งหนึ่ง บริเวณพื้นราบมีลมอันบ้าคลั่งปรากฏขึ้น โจมตีไปยังพวกอู๋เสวี่ย มือสังหารร่างสูงลงมือเป็นคนที่สอง กระบี่อวี๋ฉางส่องแสงสว่างจ้าออกมา เขาแทงกระบี่ออกไป ในสายลมอันบ้าคลั่งถึงกับมีเงากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น พลังรุนแรงอย่างหาใดเปรียบ ทำให้อากาศฉีกขาดไปนานแล้ว นี่ยังไม่จบ ตามมาด้วยมือสังหารร่างอ้วนที่ถือค้อนอันใหญ่อยู่ในมือ เขาทุบค้อนลงพื้น ประกายสายฟ้าพุ่งเข้าไปในสายลมอันบ้าคลั่ง พริบตรานั้นในอากาศเต็มไปด้วยพลังสายฟ้าคละเคล้าไปกับประกายเงากระบี่ มีพลังกดดันอันรุนแรง ทำให้พวกอู๋เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอยไปหลายก้าว พลังอำนาจเช่นนี้ถึงขั้นวิปลาสจริงๆ เป็นพลังอำนาจที่ไม่สามารถต่อต้านได้

ตู้ม!

มือสังหารร่างผอมที่ถือโล่สีเงินอยู่ในมือก็กระโดดขึ้นในตอนนี้เอง โล่สีเงินที่อยู่ในมือขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา ปกคลุมพวกอู๋เสวี่ยให้อยู่เบื้องล่าง กระทั่งลมหมุนวนอันรุนแรงก็ยังถูกกดเอาไว้

“แม่งเอ้ย นี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า จะทำยังไงดี” หูหลงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาอย่างตื่นตกใจ

“แข็งแกร่งมาก ทุกคนต้องตั้งสติให้ดี!” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้วพูด

“ฉันกับอู๋เสวี่ยจะหยุดโล่เงินนั่นเอง หลินตวนใช้ดาบเจ็ดดาวนำหน้า ทุกคนเข้าปะทะพายุทอร์นาโดนั่นด้วยกัน” หวังเจี๋ยพูดอย่างเคร่งเครียดหาใดเปรียบ

……….