บทที่ 275 พลังแห่งพระเจ้า

Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]

บทที่ 275 พลังแห่งพระเจ้า
บทที่ 275 พลังแห่งพระเจ้า

หลังจากที่เซียวเฟิงร่ายโฮลี่ไลท์ และถ้อยวาจาแห่งเงาใส่เผ่าพันธุ์แห่งความมืดแล้ว พลังชีวิตของมอนสเตอร์ที่อยู่ในระยะสายตาของเซียวเฟิงก็หายกันไปหมด ด้วยสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของมอนสเตอร์เต็มไปหมดเช่นนี้ มันจึงทำให้เซียวเฟิงกลายเป็นเป้าหมายของมอนสเตอร์อีกนับแสนไปในทันที

“ปกป้องท่านแม่ทัพใหญ่!”

“ทัพผู้พิพากษาที่ 3 แห่งวิหารแห่งแสง! ปกป้องท่านอาร์คบิชอป!!”

ความเสียหายและการรักษาที่เกิดขึ้นพร้อมกันด้วยฝีมือเซียวเฟิงนั้นน่าตกใจมาก ๆ ไม่เพียงแต่เผ่าพันธุ์แห่งความมืดเท่านั้นที่หันมาจับตามองที่เขา แม้แต่ฝั่งสัมพันธมิตรเองก็หันกลับมาสนใจชายหนุ่มเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้ทั้งแม่ทัพเหลาหู่และหัวหน้ากิโลจึงต่างพากันมาปกป้องเซียวเฟิงไว้อย่างรวดเร็ว

แต่เซียวเฟิงไม่มีเวลามาสนใจพวกคนเหล่านี้ เขาจ้องมองไปยังผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพ เพราะไม่ว่าพลังป้องกันของตัวเองจะสูงถึงเพียงใด แต่ก็ป้องกันได้เพียงมอนสเตอร์ทั่ว ๆ ไปเท่านั้น

แต่กับบอสนั้นแค่สะกิดตัวเซียวเฟิงก็ได้รับความเสียหายแล้ว และด้วยความที่มันเป็นบอส มีเหรอที่มันจะแค่สะกิด? ไม่เลย ฆ่าเขาให้ตายในทีเดียวยังง่ายเสียกว่า

ถึงอย่างนั้นแล้ว เซียวเฟิงก็ยังไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีบอสเลเวลสูงอยู่มากก็จริง แต่ท่ามกลางบอสเลเวลสูงเหล่านี้ก็มีบอสระดับเทพเจ้าปะปนอยู่ด้วย และภายใต้เงื่อนไขของสมรภูมิครั้งนี้ อัตราการดร็อปไอเทมเพิ่มขึ้นสิบเท่า บอสระดับเทพเจ้าจะถูกตีความเป็นอาร์ติแฟกต์เคลื่อนที่ไปโดยปริยาย ในขณะที่บอสธรรมดาบางตัวก็อาจจะมีโอกาสดร็อปไอเทมระดับเทพเจ้าได้เลยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เซียวเฟิงไม่ได้สนใจบอสเหล่านั้นเสียเท่าไหร่ เขามีเป้าหมายเพียงชุดอาร์ติแฟกต์มังกรปีศาจที่ดร็อปจากบอสผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพเท่านั้น ดังนั้นต่อให้บอสตัวอื่นจะดร็อปอาร์ติแฟกต์ชิ้นอื่นมาเซียวเฟิงก็ไม่ได้พอใจนักหรอก

“เธอรีบย่องตามฉันมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางทีหลังจากที่บอสระดับสูงตายลงไปแล้วมันอาจจะดร็อปอาร์ติแฟกต์ก็ได้ อย่างน้อย ๆ เธอจะได้มีโอกาสเก็บอาร์ติแฟกต์ได้ด้วยตนเองบ้าง!”

ก่อนจะเริ่มทำอะไรต่อ เซียวเฟิงส่งข้อความหาซือเยี่ยจิ๋งก่อน ที่แห่งนี้มีบอสระดับสูงรวมตัวกันอยู่มาก ซึ่งไอเทมที่ดร็อปลงมานั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ชายหนุ่มเพียงแค่อยากจะหาโอกาสกำจัดบอสลงด้วยตนเอง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วหากปล่อยให้ NPC เป็นผู้กำจัดบอส มันจะไม่ดร็อปอะไรลงมาเลย

แต่เพราะสมรภูมิแห่งนี้มันวุ่นวายเกินไป วุ่นวายจนเดินไปไหนมาไหนไม่สะดวก หากเซียวเฟิงเริ่มสู้กับบอสเลย สกิลของตัวเองมันจะสามารถกำจัดบอสได้ทีละเป็นวงกว้าง และถ้าหากบอสถูกกำจัดลงพร้อม ๆ กันหลายตัว ไอเทมมากมายก็จะดร็อปลงสู่พื้น หากคิดว่านี่เป็นเรื่องที่สมควรทำแล้วล่ะก็ จัดว่าคิดผิดถนัด! ของที่ดร็อปลงในสถานที่ที่เต็มไปด้วยกองกำลังของทั้งสองฝ่ายนั้น… ยากเกินที่จะเก็บได้หมด เพราะไม่ว่าจะไปทางไหน ก็จะโดนบล็อกเส้นทางจนเดินไปไม่ได้เสียที

ด้วยเหตุนี้เซียวเฟิงจึงให้ซือเยี่ยจิ๋งมากับตัวเองด้วย สกิลเร้นกายของเธอนั้นสามารถหลบหลีกความเกลียดชังของบอสได้ มันถือเป็นสกิลสำหรับการเคลื่อนที่ที่ดีที่สุดท่ามกลางสมรภูมิอันวุ่นวายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ซือเยี่ยจิ๋งยังเป็นผู้มีประสบการณ์ในการเก็บไอเทมจำนวนมากอีกด้วย

“หา? มีของดี ๆ งั้นเหรอ? ได้เลย ฉันจะรีบไป!”

ซือเยี่ยจิ๋งที่กำลังตามท้ายทัพของกิลด์มิดซัมเมอร์อยู่แสดงอาการตื่นเต้นออกมาทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่เซียวเฟิงพูด เธอไปพูดกล่าวกับหลิวเฉียงเหว่ยก่อนจะรีบปลีกตัวไปยังจุดที่เซียวเฟิงอยู่ด้วยความเร็วสูงสุดที่ทำได้

“ปกป้องฉันไว้!”

ขณะเดียวกันนั้นเอง เซียวเฟิงก็ตะโกนสั่งเหล่าทัพสัมพันธมิตรรอบ ๆ ตัวเขา ค่าความเกลียดชังที่มีต่อเขามีกำลังเพิ่มขึ้นจากทัพของเผ่าพันธุ์แห่งความมืดจำนวนนับไม่ถ้วนรวมถึงกลุ่มบอสที่เริ่มจะมุ่งหน้ามาทางเขาแล้วด้วย

“ปกป้องท่านอาร์คบิชอป!”

เซียวเฟิงถูกห้อมล้อมด้วยหน่วยพาลาดินจากวิหารแห่งแสงสาขาเมืองเทียนหลงท่ามกลางการชักนำของกัปตันโบลตัน กำแพงโล่ขนาดยักษ์ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องเซียวเฟิงไว้อย่างรวดเร็ว

เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับหน่วยพาลาดินหน่วยนี้ดี พวกเขาทั้งหน่วยเคยมาที่เมืองแห่งความโศกเศร้ากับเซียวเฟิงแล้วรวมถึงเคยทำลายแคมป์ของมิดซัมเมอร์เมื่อนานมาแล้วด้วย เพราะงั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาทั้งหมดจะซื่อสัตย์ต่อเซียวเฟิงและเข้ารับแรงกระแทกจากพวกเหล่าทัพแห่งความมืดอย่างหนักหน่วง

“กรรรร!!”

เสียงคำรามของเหล่าอันเดดกำลังเคลื่อนไปทั่วสนามรบพร้อมกับเจ้าของเสียงที่เหลือพลังชีวิตเพียงตัวละครึ่งเดียวเท่านั้น พวกมันพุ่งเข้าใส่เซียวเฟิงด้วยความดุร้ายตามท้ายด้วยเหล่าบอสเลเวลสูงที่เดินตามมา ผู้คุ้มกันชั้นที่ 3 แห่งปราสาทใต้พิภพเองก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย โล่ขนาดใหญ่ของมันโบกกระแทกไปมาเพื่อเปิดพื้นที่ให้มันชาร์จวิ่งชนได้ เป้าหมายของมันคือเซียวเฟิงเช่นเดียวกับที่เซียวเฟิงมองมันเป็นเป้าหมาย บอสที่ดุร้ายตนนี้ไม่สนแล้วว่าสิ่งที่โล่กระทบไปเมื่อครู่เป็นฝ่ายไหน เมื่อมันมีที่ว่างให้เคลื่อนที่ มันก็พุ่งเข้าใส่เซียวเฟิงอย่างไม่รอช้า!

“โบลตัน!”

ชายหนุ่มรีบถอยหลัง ทว่าก็ยังไม่สามารถหนีพ้นระยะการโจมตีของบอสระดับเทพเจ้าเลเวล 30 ตัวนี้ได้ แล้วถ้าเขาโดนการโจมตีนั่นเข้าละก็ มีหวังได้ตายในทันทีแน่ ๆ เมื่อเห็นท่าจะไม่ดี เซียวเฟิงจึงไม่ลังเลที่จะตะโกนเรียกผู้คุ้มกันของเขาบ้าง ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นบอสระดับสูง มันย่อมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่ระดับสูงเทียบเท่ากัน

“ข้ามาแล้ว!”

เสียงตอบรับจากกัปตันโบลตันดังกังวลพร้อมกับการปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังเซียวเฟิง โบลตันยกโล่ศักดิ์สิทธิ์ที่แขนซ้ายขึ้นสูง จากนั้นก็วิ่งเข้าปะทะกับผู้คุ้มกันชั้นที่ 3 แห่งมหาปราสาทใต้พิภพทันที

ตึง!

ด้วยเสียงปะทะกันที่ดังสนั่น ทั้งสองกระเด็นกระดอนไปกันคนละทิศละทาง ตัวเลขแสดงความเสียหายปรากฏขึ้นที่เหนือหัวของทั้งสองฝ่าย ตัวเลขหลักพันที่ถ้าเป็นผู้เล่นคงทำไม่ได้ขนาดนี้แน่ ๆ

“เจอนี่! ดาบแห่งการพิพากษา!”

กัปตันโบลตันรีบตั้งตัวและเข้าปะทะกับผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพอีกครั้งด้วยโล่ที่มือซ้ายดังเดิม แต่คราวนี้ดาบที่มือข้างขวาของเขาเองก็เปล่งแสงออกมาก่อนจะลุกโชติช่วงเป็นเปลวไฟสีแดงชาดด้วย พาลาดินผู้แข็งแกร่งตวัดดาบไฟเล่มนั้นฟาดฟันลงไปยังศัตรูตรงหน้ายังไม่ออมมือ!

-5,000!

ค่าความเสียหายกว่า 5,000 หน่วย มันชัดเจนเลยว่าผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพนั้นถูกโจมตีอย่างรุนแรง ร่างขนาดใหญ่ของมันกระเด็นลอยออกไปไกลราวกับลูกเบสบอลที่โดนหวดแรง ๆ ก็มิปาน

ขณะนั้นเอง คูลดาวน์ของสกิลรักษาทั้งสองสกิลของเซียวเฟิงก็หมดลงพอดี เขารีบขึ้นไปยืนบนหลังเสี่ยวเสวีย ด้วยความสูงระดับนี้ มันทำให้เซียวเฟิงสามารถมองเห็นสนามรบได้ในมุมกว้าง เขาเห็นเลขแสดงความเสียหายสีแดงปรากฏขึ้นสลับกับสีเขียวของการรักษาลอยปะปนกันจนเหมือนกลุ่มควัน

“ท่านอาร์คบิชอปทรงพลังจริง ๆ ! ข้าไม่คาดคิดเลยว่าท่านทรงพลังขนาดนี้!”

บิชอปเรนัลด์กล่าวเยินยอเสียงดังอยู่ด้านหลัง คำกล่าวนั้นไม่ได้เกินจริงเลย นั่นเพราะพลังในการต่อสู้ของเซียวเฟิงนั้นแข็งแกร่งจริง ๆ นอกจากความเสียหายที่เขาทำได้จะรุนแรงมากแล้ว ระยะการโจมตีรวมถึงการรักษายังกว้างไกลจนน่ากลัวอีกด้วย

“ท่านแม่ทัพใหญ่จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ข้าต้องขอโทษจริง ๆ ที่ประเมินท่านต่ำไปก่อนหน้านี้! ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมวิหารแห่งแสงถึงแต่งตั้งให้นักผจญภัยเป็นอาร์คบิชอป รวมถึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ของทัพสัมพันธมิตรด้วย!” แม่ทัพเหลาหู่ที่อยู่ด้านหลังเองก็พูดหลังจากได้เห็นพลังของเซียวเฟิงเช่นกัน

“ท่านอาร์คบิชอปน่ะเป็นข้ารับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า เพราะงั้นพลังของเขาย่อมต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว!” ได้ยินสิ่งที่เหลาหู่พูด หัวหน้ากิโลก็เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

“เฮียะ ๆๆๆ! ไอ้พวกหมารับใช้ของพระเจ้า! ไปลงนรกให้หมดเลยไป๊!”

ทันใดนั้นเอง ลำแสงแห่งความตายก็โจมตีลงมาที่เซียวเฟิงจากบนฟากฟ้าพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างที่โปร่งแสงและผอมแห้งที่กำแพงของเมืองแห่งความโศกเศร้า มันคือ เจ้าแห่งลิช เซียวเฟิงค่อนข้างคับคล้ายคับคลาเหมือนเคยเจอเจ้าตัวนี้มาก่อน จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยเจอมันมาแล้วที่ป่ามู่กวางเมื่อตอนนั้น

“บาร์เรียศักดิ์สิทธิ์!”

บิชอปเรนัลด์กวาดคทาร่ายเวทไปทางเซียวเฟิง จากนั้นบาร์เรียศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากแสงสว่างก็เข้าปกป้องเซียวเฟิงจากลำแสงแห่งความตายที่พุ่งเข้ามาได้อย่างทันท่วงที

“ไป! เหล่าทาสรับใช้แห่งความมืด! ไปทำให้พวกมนุษย์รับรู้ถึงความเจ็บปวดซะ!”

เจ้าแห่งลิชยกคทาขึ้นสูง จากนั้นเวทมนตร์แห่งความมืดก็ก่อตัวเป็นรูปร่างของมอนสเตอร์มากมายรอบ ๆ ตัวมันเอง ทันทีที่ร่างของพวกมันถูกสร้างสมบูรณ์ มอนสเตอร์พวกนั้นก็กระโจนออกมาจากกำแพงเมืองและเข้าโจมตีหน่วยพาลาดินของวิหารแห่งแสงอย่างไม่รีรอ

“ตาบ้า! ฉันมาแล้ว อาร์ติแฟกต์อยู่ไหน!?”

ขณะเดียวกันนั้นเอง ซือเยี่ยจิ๋งก็เข้ามาถึงจุดที่นัดหมายกันไว้ด้วยทักษะการย่องเบาขั้นสูงแล้ว แม้ว่ากิลด์ที่มาด้วยทั้งหมดจะติดพันกับการสู้กับทัพโครงกระดูกอยู่ แต่เธอก็สามารถมาหาเขาได้ภายในครึ่งชั่วโมง

“อย่าเพิ่งมาทางนี้! มันอันตรายเกินไป! ฉันถูกบอสระดับสูงหมายหัวอยู่!”

เซียวเฟิงตะโกน ระยะโจมตีของเจ้าแห่งลิชนั้นไกลมาก ๆ เพราะงั้นเขาจึงไม่อยากให้ซือเยี่ยจิ๋งมาอยู่ใกล้ตัวมากเกินไป เพราะเกรงว่าเธอจะโดนสกิลหมู่ไปด้วย

ตอนนั้นเอง 27 วินาทีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว คูลดาวน์สกิลของเซียวเฟิงหมดไปอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ทำเช่นเดิม ภาพของสนามรบที่เต็มไปด้วยค่าตัวเลขต่าง ๆ ราวกับควันก็ปรากฏให้เห็นอีกรอบ

อันที่จริง เซียวเฟิงก็อยากจะใช้สกิลให้มันครอบคลุมมากกว่านี้ อย่างน้อย ๆ อยากจะร่ายทีก็ให้ผู้คนที่อยู่ด้านหลังทัพได้ผลสกิลไปด้วย แต่เพราะความสามารถของเขาเองก็มีขีดจำกัด ข้อแรก…เซียวเฟิงไม่มีความสามารถในการบินหรือลอยตัว แถมความสูงเขาก็เพียงแค่มาตรฐานมนุษย์ผู้ชายทั่วไป เมื่อต้องมาเจอกับสมรภูมิที่แออัดและวุ่นวายแค่ร่ายสกิลให้ครอบคลุมถึงผู้คนครั้งละหลักร้อยหลักพันก็ถือว่าเต็มกำลังแล้ว

ข้อสอง สนามรบในครั้งนี้มันใหญ่เกินไป ขนาดที่ว่าเขาไม่สามารถมองเห็นจุดปลายของกำแพงเมืองทั้งสองด้านได้เลย ตัวเซียวเฟิงนั้นไม่มีทักษะตาทิพย์ ดังนั้นเขาไม่สามารถช่วยคนที่อยู่จุดปลายของสนามรบได้แน่ ๆ

[ท่านได้ทำการกำจัดบอสเลเวล 30 ระดับสูง หัวหน้ากองพันซี่โครงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! ได้รับค่าประสบการณ์ 3,000 แต้มและแต้มความสำเร็จสมรภูมิ 60 แต้ม!]

[ท่านได้ทำการกำจัดบอสเลเวล 30 ระดับสูง อสุรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว! ได้รับค่าประสบการณ์ 3,000 แต้มและแต้มความสำเร็จสมรภูมิ 60 แต้ม!]

[ท่านได้ทำการกำจัด…]

การร่ายสกิลครั้งที่สองนี้ทำให้มีบอสมากมายล้มตายเพราะโฮลี่ไลท์ เซียวเฟิงสามารถกำจัดมอนสเตอร์ได้หลักพันตัวจากการร่ายสกิลในครั้งเดียว มันทำให้เขาได้รับทั้งค่าประสบการณ์และแต้มความสำเร็จสมรภูมิมหาศาลกลับมาเป็นของรางวัล

เซียวเฟิงรีบโอนค่าประสบการณ์ให้เสี่ยวเสวียในอัตราส่วน 1:9 ซึ่งนั่นหมายถึงเสี่ยวเสวียจะได้รับค่าประสบการณ์มากถึง 90% สำหรับเพิ่มเลเวล เพราะตัวเซียวเฟิงเองยังไม่สามารถบรรลุการเปลี่ยนคลาสครั้งที่ 2 ได้ ดังนั้นเลเวลของเขาจะไม่สามารถสูงกว่า 30 ได้ ด้วยเหตุนี้การเก็บเลเวลของเขา ไม่ว่าจะมากเท่าไหร่มันก็จะไปตันอยู่ที่ 99.99% อยู่ดี ซึ่งมันจะสูญเปล่ากับค่าประสบการณ์ที่เกินออกไป เช่นนั้นแล้วถือโอกาสนี้เพิ่มเลเวลให้เสี่ยวเสวียไปเรื่อย ๆ จะเป็นผลดีเสียมากกว่า ตอนนี้เซียวเฟิงเลเวล 30 แล้ว ในขณะที่เสี่ยวเสวียนั้นยังไม่ถึงเลเวล 20 เลย มันยังต้องใช้ค่าประสบการณ์อีกเป็นจำนวนมากกว่าเสี่ยวเสวียจะตามเขาทัน

เช่นเดียวกับผู้เล่นที่ถึงเลเวล 30 ก็จะสามารถเปลี่ยนคลาสได้อีกครั้ง สัตว์ขี่เองเมื่อถึงเลเวล 30 ก็จะสามารถพัฒนาขึ้นไปอีกระดับได้ แล้วถ้ายึดตามลักษณะของเสี่ยวเสวีย เซียวเฟิงคิดว่าเมื่อถึงเลเวล 30 มันก็มีความเป็นไปได้ที่เสี่ยวเสวียอาจจะมีความสามารถในการบินเพิ่มขึ้นมาก็ได้!

“หยุดก่อนท่านโบลตัน! ตัวนั้นผมจัดการเอง!”

เขารีบตะโกนขึ้นมาทันที นั่นเพราะกัปตันโบลตันนั้นทำความเสียหายได้รุนแรงเกินไป อีกอย่างตอนนี้ผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพก็สูญเสียพลังชีวิตไปมากจากการโดนสกิลของเซียวเฟิงไปสองรอบ เพราะงั้นหากไม่ห้ามไว้ล่ะก็ บอสตนนี้จะถูกกัปตันโบลตันกำจัดไปได้อย่างง่ายดายเลยแน่ ๆ

และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เซียวเฟิงอยากเห็น หากปล่อยให้ NPC เป็นผู้กำจัดบอส มันจะไม่มีอะไรดร็อปลงมาเลย เขาไม่รู้ว่าระบบเกมนี้ถูกตั้งค่ามาอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าถ้า NPC เป็นผู้กำจัดบอสอย่างที่กล่าวมา ของทุกอย่างที่ดร็อปจะถูกตัว NPC เก็บไว้โดยอัตโนมัติ ซึ่งไม่มั่นใจว่าหลังจากที่ NPC ตัวนั้นถูกกำจัด ของที่ถูกเก็บไปจะดร็อปลงมาด้วยหรือเปล่า

แน่นอนว่าเซียวเฟิงไม่ได้อยากจะเสี่ยงดวงเช่นนั้นแน่ เขาจึงต้องรีบหยุดโบลตันไว้ก่อนเมื่อเห็นว่าผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพนั้นมีพลังชีวิตเหลือน้อยแล้ว

กัปตันโบลตันหยุดการโจมตีไว้ในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยเพราะพลังชีวิตที่น้อยลงเรื่อย ๆ ของบอสตนนั้น ชายหนุ่มกลัวว่ามันจะถูก NPC ที่เดินผ่านไปมาฆ่าโดยบังเอิญ ดังนั้นเซียวเฟิงจึงไม่รอให้เวลาคูลดาวน์อีก 27 วินาทีของเขาหมดลง ชายหนุ่มกระโจนจากหลังของเสี่ยวเสวียด้วยคทานักปราชญ์ที่เสียหายและพุ่งเข้าใส่ผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพโดยตรง

“ท่านโบลตัน ช่วยกันไว้ให้ผมที!”

เซียวเฟิงไม่กล้าเอาตัวเองเข้าแลกกับสกิลของบอสแม้แต่เพียงครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องให้กัปตันโบลตันเป็นผู้รับสกิลของบอสก่อนส่วนตัวเขาก็ร่ายบัฟให้ตนเองก่อนที่จะเข้าใกล้บอส

มังกรคำราม!

เขาเริ่มจากสกิลกดใช้ของกระโหลกมังกรทำให้ผู้คุ้มกันแห่งปราสาทใต้พิภพตกอยู่ในอาการมึนงง แม้ว่าด้วยผลของมังกรคำรามจะทำให้ผู้ที่อยู่รอบตัวไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือพันธมิตรได้รับผลไปด้วย ขนาดที่กัปตันโบลตันเองยังเป็นลมล้มพับไป นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อะไรเพราะเซียวเฟิงสามารถล้มผลดีบัฟให้กับอีกฝ่ายได้ด้วยสกิลชำระล้าง เมื่อช่วยกัปตันโบลตันกลับมาจากอาการมึนงงได้แล้วเขาก็มุ่งหน้าเข้าหาบอสตรงหน้าต่อในทันที

คมเขี้ยวมังกร!

ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป เซียวเฟิงสั่งใช้การสกิลของกรงเล็บมังกรต่อในทันที ซึ่งมันทำให้การโจมตีครั้งต่อไปของชายหนุ่มทำความเสียหายคริติคอลได้ 100% จากนั้นแสงสีทองก็ประกอบกันเป็นค้อนยักษ์สีทองในมือของเซียวเฟิงจนเห็นเด่นชัด

ค้อนแห่งการพิพากษา!