บทที่ 617 ยอมรับทุกเงื่อนไข + บทที่ 618 นายหญิงแห่งทงเป่าไจ

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 617 ยอมรับทุกเงื่อนไข

หญิงสาวผู้นั้นมองประตูที่ปิดอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจ นางรู้สึกขายหน้าอย่างยิ่ง “พี่ใหญ่ พี่รอง ทำไมพวกเราต้องรอที่นี่ด้วย พวกเขาปฏิบัติกับพวกเราเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

“เพราะตอนนี้กระบี่เล่มนั้นตกอยู่ในมือของพวกเขาน่ะสิ” ชายคนที่เคาะประตูเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา

“พี่ใหญ่…”

“พอเถอะ นึกถึงคำสั่งของท่านอาจารย์เอาไว้ หากพวกเราเอากระบี่เล่มนั้นกลับไปไม่ได้ เจ้าอยากจะถูกลงโทษเช่นนั้นหรือ” ชายอีกคนที่เงียบอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้ พูดขัดหญิงสาวอย่างทนไม่ไหว ดวงตาของเขาดูไม่พอใจอย่างมาก

ท่าทีของหญิงสาวเปลี่ยนไป นางหันไปมองพี่รองอย่างขุ่นเคือง “ข้าเพิ่งพูดไปแค่ประโยคเดียวเท่านั้น”

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาได้ยินว่ามีคนรออยู่ด้านนอกและต้องการจะพบนาง หญิงสาวก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย “พวกเขาต้องการจะพบข้าหรือ แต่พวกเราไม่รู้จักคนที่นี่เลยนะ”

“อาจจะเป็นคนจากร้านประมูลสินค้าก็ได้” เฉียวเทียนช่างวางกระบี่ของตนลงด้านข้าง ก่อนจะนึกย้อนเหตุการณ์เมื่อห้าวันก่อนอย่างคร่าวๆ

หนิงเมิ่งเหยาลังเล ก่อนจะเข้าใจได้ว่าพวกเขาคงเป็นผู้ประมูลกระบี่อีกคน แต่นางก็ยังสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม

“ให้พวกเขาเข้ามา”

หนานอวี่กลับไปเปิดประตู ก่อนจะมองอีกฝ่าย “พี่สะใภ้เชิญพวกเจ้าเข้าไปด้านใน”

พวกเขาทั้งสามคนมองหน้ากัน ก่อนจะเดินตามหนานอวี่เข้าไป บ้านหลังนี้ไม่ได้หรูหรานัก พวกเขาจึงคาดเดาว่ามันคงเป็นบ้านพักชั่วคราวของอีกฝ่ายเท่านั้น

ก่อนที่แขกทั้งสามคนจะเข้ามาพบหนิงเมิ่งเหยาก็เก็บกระบี่ทั้งสองเล่มเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้หญิงสาวยังเตรียมอาหารไว้มากมายอีกด้วย

“พวกเจ้ามาหาเรา มีธุระอะไรหรือ” ขณะที่ชายทั้งสองคนกำลังคิดว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี หนิงเมิ่งเหยาก็เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

ชายทั้งสองตกใจ ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินกรมท่ามองหญิงสาว ก่อนจะยิ้มมุมปากและพูดขึ้น “ขอคารวะ ข้าชื่อเฟิงหยวน ส่วนนี่คือศิษย์น้องและศิษย์น้องหญิงของข้า ที่พวกเรามาในวันนี้ก็เพราะกระบี่หิมะโปรย”

เฉียวเทียนช่างมองชายที่ชื่อว่าเฟิงหยวนอย่างเย้ยหยัน ในขณะที่หนิงเมิ่งเหยามองฝ่ามือของสามี และลูบไล้มันเล่น “ทำไมหรือ”

“ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะยกกระบี่หิมะโปรยให้กับพวกเรา พวกเรายินดีทำตามทุกเงื่อนไข ขอเพียงแค่พวกเจ้ายกมันให้พวกเราเท่านั้น” เฟิงหยวนยิ้มขณะมองหญิงสาว

ศิษย์น้องหญิงของเฟิงหยวนรู้สึกไม่พอใจรอยยิ้มของผู้เป็นศิษย์พี่ นางมองเขาอย่างไม่พอใจและขบฟันกรอด “ทำไมท่านพี่ถึงต้องยอมอ่อนข้อให้หญิงสาวผู้นี้ด้วยเล่า พวกเราเป็นถึงลูกศิษย์ของสำนักชิงหลินเชียวนะ แค่สั่งให้นางมอบกระบี่เล่มนั้นให้กับพวกเราก็พอแล้ว”

คำพูดและความยโสโอหังของหญิงสาวคนนั้นทำให้เฉียวเทียนช่างและภรรยามีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที โดยเฉพาะหนิงเมิ่งเหยา ตอนนี้นางกำลังจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

หญิงสาวปล่อยมือสามี ก่อนจะหยิบกระบี่ไร้ราชาออกมา เมื่อเห็นเช่นนั้น ใบหน้าของอีกฝ่ายก็แสดงความภาคภูมิใจออกมา ‘หญิงสาวผู้นี้มีเงินอยู่มากมายแล้วสำคัญอย่างไรเล่า เพราะสุดท้าย เมื่อนางรู้ว่าพวกเขามาจากสำนักชิงหลิน นางก็เป็นคนหยิบกระบี่เล่มนั้นออกมาเอง’

หนิงเมิ่งเหยามองกระบี่ในมือและยิ้ม “มันช่างเป็นกระบี่ที่ดีจริงๆ แล้วทำไมข้าต้องยกมันให้เจ้าด้วยเล่า เพียงเพราะว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักชิงหลินเช่นนั้นหรือ หากเจ้าต้องการกระบี่เล่มนี้จริงๆ ก็ควรจะประมูลมันมาให้ได้ตั้งแต่ในร้านสิ และตอนนี้มันก็อยู่ในมือของข้าแล้ว พวกเจ้าคิดว่าตนเองมาจากสำนักที่ไม่ธรรมดา แล้วจะยึดเอากระบี่ที่ราคาสูงลิ่วเล่มนี้ไปจากข้าได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงเดียวเช่นนั้นหรือ ช่างหน้าไม่อายเสียจริง”

หากอีกฝ่ายไม่เข้าใจในคำพูดประชดประชันของหญิงสาว พวกเขาก็คงเป็นคนที่หน้าด้านหน้าทนจริงๆ

เฟิงหยวนมองปรามศิษย์น้องหญิงที่ต้องการจะโต้เถียง ก่อนจะหันมองหนิงเมิ่งเหยาและอธิบาย “กระบี่เล่มนี้สำคัญกับพวกเราอย่างมาก”

“แล้วอย่างไรหรือ” หนิงเมิ่งเหยาโบกมืออย่างหมดความอดทน

หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มทนดูท่าทีอวดดีของอีกฝ่ายไม่ไหว นางขบฟันแน่นอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเราให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่สำนึก”

“ข้าควรเป็นฝ่ายที่พูดคำนั้นมากกว่า ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่สำนึก พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน สำนักชิงหลินเช่นนั้นหรือ แล้วจะทำไมเล่า” หนิงเมิ่งเหยาไม่ให้ความสำคัญกับสำนักชิงหลินเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะนางเป็นส่วนหนึ่งของทงเป่าไจ แต่เป็นเพราะสำนักชิงหลินนั้นยังไม่อาจเอาชนะสำนักอวี้หลินซานได้ด้วยซ้ำไป

“เจ้า…” ท่าทีของหนิงเมิ่งเหยาทำให้หญิงสาวผู้นั้นอับอายจนหน้าซีดเผือด ใบหน้าของนางถมึงทึงจนดูไม่ได้ ราวกับว่าเป็นตับหมูที่ถูกทิ้งอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานก็ไม่ปาน

“ถ้าหากพวกเจ้าทั้งสามคนมาที่นี่เพื่อกระบี่เล่มนี้ พวกเจ้าก็อย่ากลับมาที่นี่อีกจะดีกว่า”

บทที่ 618 นายหญิงแห่งทงเป่าไจ

หนิงเมิ่งเหยามองหญิงสาวที่มีอาการไม่พอใจและกำลังมองนางอย่างอาฆาตแค้น แต่หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจนัก อีกฝ่ายเป็นแค่ผู้หญิงที่เอาแต่ใจจนเคยตัวก็เท่านั้น

ชายหนุ่มหนึ่งในกลุ่มนั้นมองหญิงสาว ก่อนจะพูดต่อ “ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เกิดปัญหา แต่พวกเราต้องการกระบี่หิมะโปรยจริงๆ บอกพวกเราเถิดว่าเจ้าต้องการอะไร แล้วพวกเราจะยอมรับทุกเงื่อนไขเลยทีเดียว”

หนิงเมิ่งเหยาผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะลั่น “อะไรก็ได้ที่พวกเราต้องการเช่นนั้นหรือ เจ้ายอมรับทุกเงื่อนไขเลยหรือนี่ ทำไมถึงใจป้ำขนาดนั้นเล่า” ตอนนี้หนิงเมิ่งเหยาเริ่มโกรธเล็กน้อย ถ้อยคำของนางยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ คนเหล่านี้ถึงได้หน้าหนาอยู่ที่นี่ต่อ

เฟิงหยวนมองศิษย์น้องและศิษย์น้องหญิงของตน ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็พูดขึ้น “แม่นาง พวกเรายังหวังว่าเจ้าจะยอมยกมันให้กับพวกเรา”

“แล้วถ้าข้าบอกว่าไม่”

เฟิงหยวนอึ้ง ทั่วทั้งยุทธภพแห่งนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าพูดจากับเขาเช่นนี้ แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับพูดมันได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำให้เฟิงหยวนรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก

“เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงพูดจาเช่นนั้นกับพี่ใหญ่ของข้า”

หนิงเมิ่งเหยามองพวกเขาอย่างหมดความอดทน แววตาของนางเผยให้เห็นความเย็นชา “หนานอวี่ ส่งตัวพวกเขาออกไป…และอย่าเล่นตุกติกกับพวกเราเด็ดขาด มิเช่นนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่สามารถสรรหาคำอธิบายไปให้ท่านอาจารย์ของพวกเจ้าได้”

พวกเขาทั้งสามคนรู้ดีว่านั่นคือคำเตือน และมันเป็นคำเตือนที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย

หนานอวี่ยืนอยู่ข้างๆ แขกทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา “โปรดเดินตามข้ามาทางนี้ด้วย”

เฟิงหยวนอยากจะพูดอะไรเพิ่มเติม แต่เมื่อเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาหันไปพูดคุยกับชายหนุ่มอีกคนข้างๆ และไม่มีทีท่าว่าอยากจะมองหน้าพวกเขาเลย เฟิงหยวนจึงรู้สึกหงุดหงิดใจ หญิงสาวผู้นี้ช่างกวนประสาทเสียเหลือเกิน

หลังจากทั้งสามคนออกมาจากลานบ้านแห่งนั้น ผู้เป็นน้องสาวก็โวยวายทันที “ศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมพวกเราต้องทำตามที่นางบอกด้วยเล่า หญิงสาวผู้นั้นกล้าดีอย่างไรจึงทำให้พวกเราขายหน้าเช่นนี้”

เฟิงหยวนมองศิษย์น้องของตนก่อนจะพูดขึ้น “ไป๋อวี่ อย่าหลงตัวเองให้มากนัก เจ้าอาจจะมองว่าสำนักชิงหลินนั้นเป็นสำนักที่ทรงพลังที่สุด แต่ในสายตาของผู้ที่แข็งแกร่งกว่ากลับมองว่าสำนักชิงหลินนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย”

มองเพียงปราดเดียว พวกเขาก็รู้ดีว่าหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างนั้นไม่ใช่ใครที่จะต่อรองได้ง่ายๆ โดยเฉพาะหญิงสาว ดูจากลักษณะนิสัยของนางแล้ว คงจะต้องเป็นหญิงสาวที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

หญิงสาวผู้นี้สามารถจ่ายเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงทองได้โดยไม่สะทกสะท้าน เฟิงหยวนนึกถึงผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนี้ออกเพียงคนเดียว คือนายหญิงแห่งทงเป่าไจนั่นเอง

นายหญิงแห่งทงเป่าไจเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำตัวราวกับว่าเงินจำนวนนี้มันไม่มีค่ามากมายอะไร

ไป๋อวี่ยิ้มเยาะอย่างไม่พอใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านถ่อมตัวเกินไป”

ชายที่อยู่ข้างๆ มองไป๋อวี่อย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าคนธรรมดาสามัญจะควักเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงทองได้โดยไม่แยแสแม้แต่น้อยเช่นนั้นหรือ แม้แต่ราชวงศ์ในเมืองอื่นๆ ยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เลยด้วยซ้ำ”

“พวกเจ้าคิดว่าหญิงสาวผู้นั้นมียศศักดิ์สูงส่งกว่าราชวงศ์อีกหรือ” ไป๋อวี่กรอกตา และพูดอย่างไม่พอใจ

เฟิงหยวนมองศิษย์น้องหญิงผู้นี้ “หมิงเจ๋อพูดถูก มีเพียงคนไม่กี่คนจากทงเป่าไจที่จะสามารถใช้เงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร”

นอกจากคนพวกนั้นแล้ว เฟิงหยวนก็นึกถึงคนอื่นที่มีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ไม่ออกเลย

ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มต้องการกระบี่เล่มนั้นโดยเร็วที่สุด จึงไม่ได้คิดไตร่ตรองมากมาย เขาคิดเพียงแค่ว่าเมื่อหาหญิงสาวคนนั้นเจอ ก็จะจัดการเอากระบี่มาได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย รวมถึงเมื่อคิดย้อนไปถึงตอนที่นางทุ่มเงินจำนวนมหาศาลในร้านประมูลสินค้าแห่งนั้น เขาก็รู้ทันทีว่าคนๆ นี้น่าจะเป็นหนึ่งในหัวหน้าแห่งทงเป่าไจ

ไป๋อวี่มองพี่ชายทั้งสองคนอย่างตกตะลึง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ ล้อข้าเล่นหรือ เจ้าคิดว่าหญิงสาวผู้นี้มาจากทงเป่าไจหรือ เป็นไปไม่ได้”

“เจ้าโง่เอ๊ย” หมิงเจ๋อไม่อยากเชื่อว่าน้องสาวของตนจะซื่อบื้อถึงเพียงนี้ เขาพ่นลมหายใจฮึดฮัดเสียงดัง และไม่เข้าใจว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงยอมรับไป๋อวี่เข้ามาเป็นลูกศิษย์ เมื่อรับรู้ถึงความโง่เขลาของนางแล้ว หมิงเจ๋อก็รู้สึกอับอายอย่างยิ่งที่ต้องอยู่กับนางเช่นนี้

“ศิษย์พี่รอง เจ้า…” ไป๋อวี่มองเขาด้วยแววตาไม่พอใจและโกรธเคือง ก่อนจะพูดต่อ “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครจึงพูดกับข้าเช่นนี้”

“ข้าเป็นใครหรือ ที่ข้าพูดเช่นนั้น ก็เพราะว่าเจ้าช่างโง่เขลาจริงๆ น่ะสิ”

“เอาล่ะ พวกเราต้องวางแผนสำหรับเรื่องนี้กันต่อ” เฟิงหยวนขัดจังหวะการทะเลาะของทั้งสองคน ก่อนจะมองไป๋อวี่ด้วยแววตาตักเตือน “อย่าไปหาคนพวกนั้นจนกว่าข้าจะบอก”

“ทำไมล่ะ”

“นี่คือคำสั่ง”