บทที่ 315 : ฝึกวิชาพลังลับหยินหยาง

หลิงหยุนรีบวิ่งออกมาจากประตูหิน สองมือกวัดแกว่งกระบี่มังกรดำและกระบี่มังกรขาวไปมาอย่างรวดเร็ว กระบี่ทั้งสองด้ามฟาดฟันฟันใส่ร่างของค้างคาวดูดเลือดที่พุ่งเข้ามาตัวแล้วตัวเล่าจนร่วงลงไปกับพื้นราวกับห่าฝน และในเวลานี้ตรงหน้าของหลิงหยุนก็ปรากฏกองก้อนเนื้อสีดำกองใหญ่

ดาบสองข้างที่กวัดแกว่งอยู่ในมือของหลิงหยุนนั้น อย่าว่าแต่ค้างคาวดูดเลือดเลย แม้แต่ยุงก็ยังไม่สามารถผ่านบินเข้าไปได้แม้แต่ตัวเดียว!

แสงของไข่มุกราตรีในกระเป๋าเสื้อของหลิงหยุนนั้น ช่วยให้เขามองเห็นสถานการณ์รอบๆตัวได้ชัดขึ้น ห่างจากที่หลิงหยุนยืนอยู่นั้น มีร่างที่ไร้ลมหายใจนอนเกลื่อนกลาดอยู่ราวห้าหรือหกร่าง และทุกร่างต่างก็ถูกค้างคาวดูดเลือดรุมทึ้งจนเป็นเป็นเหมือนเงาดำทะมัน และเพียงไม่นานพวกมันก็กัดกินเนื้อหนังจนหมด เหลือทิ้งไว้เพียงแค่โครงกระดูกเท่านั้น

หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับร้องเรียกเจ้าขาวปุยที่อยู่ในห้องให้ตามออกมา จากนั้นก็ยกเท้าของเขาขึ้นถีบไปข้างหลัง และขาซ้ายของเขาเตะโดนปุ่มหินอย่างแม่นยำราวกับมีตาหลัง และประตูหินก็ปิดกลับไปเช่นเดิม

ถัดจากถ้ำแห่งนี้ไปราวยี่สิบเมตร ยังมีถ้ำอยู่อีกแห่งหนึ่ง หลิงหยุนกวัดแกว่งดาบในมือพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังถ้ำหินนั้น ค้างคาวดูดเลือดต่างพากันบินกรูตามหลิงหยุนออกไป และเพียงไม่นานก็มาถึงหน้าถ้ำ

ค้างคาวดูดเลือดยังคงบินไล่ตามหลิงหยุนไปไม่หยุดหย่อน ส่วนหลิงหยุนเองก็จัดการฆ่าพวกมันทิ้งอย่างไม่ปราณีเช่นกัน ระหว่างนั้นสายตาของเขาก็แอบสำรวจภายในถ้ำไปด้วย

ทางเข้าของถ้ำแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ แต่ยิ่งลึกเข้าไปทางเดินกลับยิ่งแคบลงเรื่อยๆ และเมื่อหลิงหยุนเข้าไปด้านในได้เพียงร้อยก้าว ค้างคาวดูดเลือดที่บินตามมา ต่างก็พากันบินกลับออกไป และไม่ตามหลิงหยุนเข้าไปด้านในแม้แต่ตัวเดียว

หลิงหยุนหยุดและหันกลับไปมอง เขาคิดว่าน่าจะเข้าใกล้ดวงตามังกรซึ่งเป็นบริเวณกักเก็บพลังหยินมากแล้วจริงๆ เพราะแม้แต่ค้างคาวดูดเลือดพวกนั้นยังไม่กล้าที่จะบินตามเข้าไป

หลิงหยุนยกกระบี่มังกรดำ และกระบี่มังกรขาวขึ้นดู ปรากฏว่ากระบี่ทั้งสองเล่มยังคงเป็นสีดำและสีขาวเช่นเดิม ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของคราบเลือดจากค้างคาวที่ถูกเขาฆ่าตายเลยแม้แต่น้อย

“ไม่มีคราบเลือดเลยงั้นรึ!” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเก็บกระบี่มังกรขาวเข้าไปในแหวนพื้นที่ แล้วเดินถือเพียงกระบี่มังกรดำมุ่งหน้าไปยังดวงตามังกร

ไม่มีทางเส้นอื่นในถ้ำแห่งนี้อีกแล้ว ตั้งแต่เข้ามาหลิงหยุนไม่พบเจออันตรายใดๆ  นอกจากพบว่าพลังหยินเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้ำหินแห่งนี้ยิ่งเดินเข้าไปลึกทางก็ยิ่งก็ชัน หลิงหยุนเดินเข้าไปได้ราวสิบนาที ก็พบว่าตัวเองได้เดินเข้าไปลึกราวห้าสิบหรือหกสิบเมตรได้

ช่างโชคดีที่ตอนนี้ไข่มุกราตรีคอยส่องแสงสว่างให้ สายตาของเขาจึงสามารถมองเห็นได้ในระยะที่ไกลขึ้น

‘ไม่สิ! จากที่ข้าคำนวนไว้ ด้านบนของถ้ำแห่งนี้ น่าจะต้องจุดที่หญ้าหยินงอกเงย แต่เหตุใดจึงไม่ยังไม่พบตามังกรที่เป็นจุดกักเก็บพลังหยิน?’

หลิงหยุนลุกขึ้นยืน เขาแอบขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆ แม้ตรงจุดนี้จะมีพลังหยินน้อยแต่ก็บริสุทธิ์มาก และมีปริมาณที่เพียงพอต่อการฝึก แต่หลิงหยุนยังคงไม่ต้องการฝึกฝนที่นี่ เพราะที่นี่ยังไม่ใช่ตำแหน่งที่กักเก็บพลังหยินจริงๆ

“ลงไปดูด้านล่างกันดีกว่า!”

หลิงหยุนเก็บกระบี่มังกรดำ และเรียกพู่กันจักรพรรดิออกมาไว้ป้องกันตัวแทน เพราะทางเดินที่อยู่ข้างหน้านั้นค่อนข้างแคบ ความยาวของกระบี่จึงทำให้เดินเหินได้ไม่สะดวกนัก

หลิงหยุนเดินลงไปพร้อมกับเจ้าขาวปุย และเพียงไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงคล้ายฟ้าร้องคำราม และถ้ำทั้งถ้ำก็สั่นสะเทือนเบาๆ

“ด้านล่างนี้เป็นแม่น้ำ! ที่แท้ก็เป็นที่นี่นี่เอง!”

หลิงหยุนรีบชะโงกหน้าออกไปดู และเขาก็ได้ยินเสียงน้ำดังขึ้นเรื่อยๆ แต่พลังหยินกลับเริ่มลดน้อยลง..

อุณหภูมิภายในถ้ำเริ่มสูงขึ้น แต่ถัดไปอีกราวห้าสิบเมตรกลับเย็นและเปียกชื้นอีกครั้ง แล้วก็เริ่มมีน้ำหยดลงมา

“เหตุใดพลังหยินจึงได้ลดลง? หรือข้าจะกลับไปฝึกฝนที่นั่นดี? แต่ข้าไม่ต้องการที่จะ..” หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

ในเมื่อเขาตัดสินใจเดินออกมาจากที่นั่นแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะเดินไปดูข้างหน้าต่อ

การลงไปด้านล่างน่าจะใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว เพราะทางลงไม่ค่อยชันมากนัก เพียงแต่ตลอดทางที่ลงไปนั้นค่อนข้างเล็กมากจนไม่สามารถเดินลงไปได้ หลิงหยุนจึงต้องคลานลงไปแทน

หลิงหยุนเป็นคนที่เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ และเขาก็ไม่เชื่อว่าตัวเองจะคำนวนผิดพลาด เป็นไปไม่ได้ที่ค่ายกลหยินหยางจะไม่มีตำแหน่งที่เป็นดวงตามังกรที่กักเก็บพลังหยิน และถ้ามีเขาก็ต้องหาให้พบให้ได้!

ทั้งคนทั้งสุนัขจิ้งจอกต่างก็คลานลอดช่องแคบๆนั้นไป และเสียงของแม่น้ำที่น่าเกรงขามนั้นกลับยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ใจของหลิงหยุนเต้นแรงและรีบคลานให้เร็วขึ้น

ช่างโชคดีที่ยิ่งคลานเข้าไปลึกเท่าไหร่ทางก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดหลิงหยุนก็สามารถลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างหน้าต่อได้ เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีเขาก็สามารถไปถึงที่ท้ายถ้ำได้!

ทางเดินเส้นนี้นับว่าเป็นเส้นที่ยาวที่สุดตั้งแต่หลิงหยุนลงมาสำรวจ ตั้งแต่หลิงหยุนเดินออกมาจากห้องหินจนกระทั่งมาถึงที่นี่ ก็ใช้เวลาไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง!

“โอ้! ใช่แล้ว.. ต้องใช่แน่ๆ”

หลิงหยุนเดินมาถึงท้ายถ้ำได้ในที่สุด และพบว่าบริเวณรอบถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยภูเขาสูง แม่น้ำที่อยู่ด้านล่างนั้น เกิดจากน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาสูงกว่าหนึ่งร้อยเมตร ทำให้เห็นเป็นน้ำตกสวยงามที่มีความกว้างถึงหนึ่งร้อยเมตร และกระแสน้ำก็เชี่ยวและรุนแรงกว่ากระแสน้ำที่อยู่ก้นหลุมยักษ์มาก!

“เรายังต้องลงไปอีกราวหนึ่งร้อยเมตร!” หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่ามันคือภูเขาจริงๆ มันคือเขาหยกด้านใต้ หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าด้านล่างจะมีหลุมยุบอีก!

หลิงหยุนยกมือขึ้นหยิบหินก้อนขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา จากนั้นก็แปะยันต์อัคนีลงไปบนหินก้อนนั้น เขาโยนหินก้อนนั้นออกไปพร้อมกับตะโกนสั่งยันต์ให้ออกฤทธิ์..

หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปอุ้มเจ้าขาวปุยไว้ในอ้อมแขน ส่วนมือขวาถือพู่กันจักรพรรดิไว้ จากนั้นก็กระโดดลงไปบนหินที่ยื่นออก และเพียงการกระโดดแค่สามครั้ง หลิงหยุนก็สามารถลงไปยืนที่พื้นด้านล่างได้อย่างปลอดภัย

นี่เป็นทะเลสาปที่ใหญ่มากทีเดียว หรือจะเรียกว่าเป็นสระที่ทั้งลึกทั้งใหญ่มากก็ได้ และก็ไม่มีใครรู้ว่ามันลึกมากแค่ใหน แต่ดูเหมือนมันจะทำหน้าที่รองรับน้ำตกที่กว้างเป็นร้อยเมตรนั่นมาหลายปีแล้ว

“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ!”

หลิงหยุนสำรวจสภาพแวดล้อมของภูเขาลูกนี้และพบว่าหลังน้ำตกขนาดใหญ่นั้นมีถ้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติซ่อนอยู่

‘ไม่เลวเลย! ดวงตามังกรที่กักเก็บพลังหยินต้องอยู่ภายในถ้ำหลังน้ำตกนั่นอย่างแน่นอน’

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับวางเจ้าขาวปุยลง เขาถือพู่กันจักรพรรดิไว้ในมือ และรีบวิ่งตรงไปที่หน้าผาลื่น หลิงหยุนเสียบพู่กันจักพรรดิเข้าไประหว่างหินที่อยู่ตรงหน้าผาเพื่อใช้ดึงตัวสำหรับปีนขึ้นไป เพียงไม่นานเขาก็สามารถปีนขึ้นไปบนถ้ำที่อยู่หลังน้ำตกได้

“หนาวไม่เบาเลยทีเดียว!”

แต่ภายในถ้ำกลับแตกต่างจากด้านนอก เพราะทันทีที่เข้าไปถึง หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความมืดและความเย็น..

และแน่นอนว่า สถานที่แห่งนี้คือดวงตามังกรสำหรับกักเก็บพลังหยิน หลิงหยุนนึกชื่นชมผู้ที่สร้างค่ายกลมังกรหยินหยานแห่งนี้มากจริงๆ

ถ้ำหลังน้ำตกแห่งนี้อยู่สูงจากสระขนาดใหญ่ด้านล่างราวยี่สิบเมตร และมีขนาดใหญ่พอที่จะจอดรถตู้ได้ถึงสองคัน

หลิงหยุนไม่รู้ว่าที่นี่จะมีหยินวิญญาณปรากฏตัวหรือไม่? เขาจึงเรียกกระบี่มังกรดำออกมาถือไว้ในมือเพื่อความไม่ประมาท ส่วนมือขวาก็กำพู่กันจักรพรรดิไว้เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน

จากนั้นก็เรียกไข่มุกราตรีออกมาเพิ่มอีกสองสามเม็ดและใส่ไว้ในกระเป๋าเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้กับตัวเอง แล้วถ้ำก็สว่างไสวไปด้วประกายของไข่มุกราตรี

ตำแหน่งตามังกรนั้นอยู่ในลักษณะแนวตั้ง หลิงหยุนต้องการเดินไปยังจุดที่มีพลังหยินเข้มข้นที่สุด และเขาก็รู้ดีว่าจุดที่พลังหยินจะเข้มข้นที่สุดนั้นก็คือตำแหน่งตามังกรนั่นเอง

เมื่อรู้ว่าใกล้จะได้ฝึกวิชาพลังลับหยินหยาง และกำลังจะได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 หลิงหยุนก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ดวงตาของเขาเป็นประกายวิบวับ พร้อมกับเร่งรีบก้าวขาให้เร็วขึ้น

เดินไปได้เพียงแค่สิบนาที พลังหยินที่อยู่ตรงหน้าหลิงหยุนก็เข้มข้นอย่างมาก และอุณหภูมิบริเวณนั้นก็ต่ำกว่าปกติ น่าจะถึงกับติดลบราวสิบองศาเลยทีเดียว และดูเหมือนเจ้าขาวปุยกำลังหนาวสั่น

หลิงหยุนหยุดเดินและหันไปพูดกับเจ้าขาวปุยยิ้มๆ “ที่นี่ใช้เป็นที่ฝึกฝนได้เป็นอย่างดี เจ้าสามารถใช้โอกาสนี้บ่มเพาะพลังของเจ้าด้วยการต่อสู้กับความเย็นในสถานที่แห่งนี้!”

เจ้าขาวปุยพยักหน้าและเริ่มฝึกบ่มเพาะ แล้วมันก็ไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป

หลิงหยุนยังคงไม่ต้องการดูดซับพลังหยินเข้าไป เพราะเขารู้ว่าด้านหน้าอีกห้าสิบเมตรคือตำแหน่งตามังกร เขาจึงไม่รีบร้อนนัก!

หลิงหยุนลดความเร็วลง เขาถือกระบี่มังกรดำและพู่กันจักรพรรดิเดินเข้าไปอีกราวสิบกว่าเมตร เมื่อเดินเข้าไปถ้ำที่มีลักษณะคล้ายหม้อขนาดใหญ่ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง..

อุณหภูมิภายในถ้ำแห่งนั้นลดลงอย่างกะทันหัน และพลังหยินที่พุ่งออกมาก็มีจำนวนมหาศาลอย่างหาที่ใหนเทียบไม่ได้ หลิงหยุนจัดการเปิดรูขุมขนทั่วร่างกาย เตรียมพร้อมฝึกวิชาพลังลับหยินหยางพร้อมกับดูดซับเอาพลังหยินบริสุทธิ์เข้าไปอย่างบ้าคลั่ง!

แต่นับว่าโชคร้ายที่หลิงหยุนไม่พบหยินวิญญาณที่นับว่ามีพลังหยินที่ดีกว่าพลังหยินจากค่ายกลหยินหยางมากนัก

หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างไปยืนอยู่ตรงกลางถ้ำ ซึ่งมีหลุมดำลึก และพลังหยินทั้งหมดที่แผ่ซ่านอย่างมากมายอยู่ภายในถ้ำนั้น ก็ออกมาจากหลุมดำลึกแห่งนี้

หลิงหยุนสั่งเจ้าขาวปุยไม่ให้เข้าใกล้เขาระหว่างฝึก และให้มันรออยู่ห่างๆ จากนั้นจึงนั่งลงข้างหลุมดำลึกแห่งนี้

หลิงหยุนดูดซับเอาพลังหยินที่บริสุทธิ์เข้าไปและเริ่มฝึกฝนวิชาลับหยินหยาง

พลังหยินที่เข้มข้นรุนแรงไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิงหยุน และเริ่มเข้าสู่จุดตันเถียนผ่านทางเส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองเส้น

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป.. สองชั่วโมง.. สามชั่วโมง..

หลังจากผ่านไปเก้าชั่วโมงเต็ม หลิงหยุนรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาได้ดูดซับพลังหยินบริสุทธิ์เข้าไปจำนวนมาก และเมื่อปริมาณของพลังหยินเท่ากับปริมาณของพลังหยางที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกายแล้ว หลิงหยุนจึงเริ่มจัดการกับพลังที่อยู่ในจุดตันเถียนของตัวเอง

พลังหยางและพลังหยินที่อยู่ในจุดตันเถียนของหลิงหยุนนั้น เป็นพลังที่แตกต่างกัน และเมื่อยู่ภายใต้อิทธิพลของวิชาลับหยินหยาง พลังหยินและหยางก็เริ่มผสมผสานกันจนเกิดเป็นปั่นป่วน

หลิงหยุนไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เขาใช้วิชาลับหยินหยางควบคุมให้พลังหยินและพลังหยางที่อยู่ในจุดตันเถียนของตัวเองนั้นบิดเป็นเกลียวด้วยความเร็ว จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นพายุไซโคลนที่มีความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!

‘ใกล้แล้วสินะ!’

หลิงหยุนฝึกมาจนเกือบถึงขั้นตอนสุดท้าย แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าพลังอมตะในจุดตันเถียนของเขาเริ่มอลหม่าน!

พลังอมตะสีขาวและดำเคลื่อนออกจากจุดตันเถียนของหลิงหยุน และเริ่มกลืนกินพลังหยินหยางในร่างกายของเขาเอง!

“แย่แล้ว.. เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว!”