ไป๋มู่เฟิงเห็นหญิงสาวตรงหน้า เขากล่าวขึ้นว่า “เป็นท่านผู้นำตระกูลมู่รึ ?”
มู่เฉียนซี “ใช่แล้ว ทำไมรึ ?”
“ราชวงศ์ชิงเตรียมจัดงานแข่งขันล่าสัตว์สําหรับคนหนุ่มสาว ข้าอยากเชิญมู่ซีมาร่วมงานด้วย เขาอยู่หรือไม่ ?” ไป่มู่เฟิงตอบก่อนปิดท้ายด้วยคำถาม
“อยู่ แต่มู่ซีกําลังเก็บตัว เกรงว่าคงไปไม่ได้” มู่เฉียนซีตอบง่าย ๆ
“ในเมื่อมู่ซีไปไม่ได้ เช่นนั้นท่านผู้นำตระกูลมู่ก็ไปด้วยกันเถอะ การล่าสัตว์ป่าของราชวงศ์มีสัตว์วิญญาณอยู่ไม่น้อย หากได้รับอันดับหนึ่งในการล่าสัตว์ในครั้งนี้ อีกทั้งหากจับสัตว์วิญญาณมาแบบทั้งเป็นได้ ก็สามารถให้ผู้ฝึกที่ราชวงศ์ชิงเชิญมาในครั้งนี้ทำให้เชื่องและทําพันธสัญญากับมันได้”
มู่เฉียนซีถามขึ้น “ในป่าล่าสัตว์ของราชวงศ์ชิง มีสัตว์วิญญาณอยู่มากมายเลยหรือ ?”
ไป๋มู่เฟิง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
“ข้าก็ไปได้ใช่หรือไม่ ?” ณ ตอนนี้ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณระดับปฐพีเลย มู่เฉียนซีจึงต้องรีบเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้เร็วที่สุด
ทะลวงผ่านระดับปรมาจารย์ภูติ ราชาแห่งภูติ และจักรพรรดิแห่งภูตให้เร็วที่สุดได้ยิ่งดี
มู่เฉียนซีนางรู้ดีว่าขณะนี้คุณหนูใหญ่ของสํานักอวิ๋นเยียน—อวิ๋นเฟิง อีกประมาณครึ่งปีก็จะถึงวันเกิดของอวิ๋นเฟิงแล้ว หากมู่เฉียนซีคิดจะไปเก็บหนี้ที่สํานักอวิ๋นเยียน ภายในครึ่งปีนี้นางต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว
แคว้นจื่อเยี่ยและแคว้นชิงมีป่าใหญ่อยู่ไม่น้อยเลย แต่กลับไม่มีสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังเท่าไหร่นัก ดังนั้นการไปหาประสบการณ์ล่าสัตว์ในป่าของราชวงศ์ชิงก็ถือว่าไม่เลว ไป๋มู่เฟิง “ผู้นำตระกูลมู่จะไปรึ ? ช่างดีเสียจริง ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าถือว่าร้ายกาจมาก ต้องทำได้ดีแน่”
มู่เฉียนซีเคยช่วยเขามาแล้วสองครั้ง ความแข็งแกร่งของนางเขาเคยประจักษ์แก่สายตามาก่อน ใจเขาจึงชื่นชมมู่เฉียนซียิ่งนัก
ถึงแม้จะไม่ได้เชิญหมอปีศาจมู่ซีมา แต่ไป๋มู่เฟิงก็ดีใจมากที่ได้เชิญมู่เฉียนซีมา เขายิ้ม กล่าวว่า “รอจนงานล่าสัตว์เริ่มขึ้น แล้วข้าจะมารับผู้นำตระกูลมู่ที่หอหมอปีศาจตกลงหรือไม่ ?”
“ได้”
……
งานล่าสัตว์ของราชวงศ์ชิงกําลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ไป๋มู่เฟิงบุตรชายคนเล็กของจวนกั๋วกงก็ได้ไปรับมู่เฉียนซีที่หอหมอปีศาจ
มู่เฉียนซีและไป๋มู่เฟิงมุ่งหน้าไปยังด้านนอกป่าล่าสัตว์ของราชวงศ์ด้วยกัน เวลานี้มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์จํานวนมากจากราชวงศ์ชิงมารวมตัวกันอยู่ด้านนอกบริเวณป่าล่าสัตว์ของราชวงศ์
“คุณชายน้อยไป๋มาแล้ว”
ไป๋มู่เฟิงในวันนี้มาในชุดคลุมสีเงินหรูหรา เด็กหนุ่มที่สง่างามคนหนึ่งทําให้สตรีหลายคนในที่นี้ต่างปรายตามองตามด้วยสายตาเป็นประกายชื่นชม
ทว่าไม่นานนัก หญิงสาวในชุดสีม่วงก็ลงมาจากรถม้าต่อจากไป๋มู่เฟิง
ทุกผู้คนในที่นั้นนิ่งอึ้งตะลึงลาน สตรีผู้นี้… ช่างงดงามน่าตื่นตาตื่นใจนัก ผมสีดําห้อยลงมาปรกไหล่และเคลียอย่างสง่างามอยู่ด้านหลังของนาง มันดูนุ่มลื่นราวกับผ้าแพร
หลายคนร้องตะโกนทันที “สตรีผู้นี้เป็นผู้ใดกัน ? คุณชายน้อยไป๋ถึงกับพาหญิงสาวผู้งดงามมาที่นี่ ไม่ธรรมดาแล้ว!”
น่าหลานอวี้ที่กําลังสนทนากับองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ชิงในเวลานี้ชะงักงันเล็กน้อย สายตาเขาเลื่อนมองไปยังเงาร่างสีม่วงที่คุ้นเคยแล้วกล่าวว่า “เป็นนางจริง ๆ”
อัจฉริยะจากสํานักใหญ่หลายแห่งในแคว้นชิงก็มาด้วย เมื่อเห็นมู่เฉียนซี ใบหน้าของเขาก็หมองหม่นลงทันที
‘สวรรค์! เหตุใดปีศาจมู่เฉียนซีถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?’
อา…
หลังจากงานแข่งขันระหว่างสำนักศึกษา สำนักศึกษาทั้งเจ็ดสํานักถูกมู่เฉียนซีและซวนหยวนชิงอวิ๋นจากสํานักศึกษาแคว้นจื่อเยี่ยทําร้ายอย่างน่าสังเวช
นับแต่นั้นมา เมื่อพวกเขาเห็นนางก็แทบอยากจะเดินอ้อมหลีกหนีไป
ในขณะนั้น ชายร่างกํายําผิวสีเงินเดินเข้ามา เขากล่าววาจาเย้ยหยัน “เจ้าหน้าขาว ได้ยินมาว่าไม่นานมานี้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเส้นปราณขาดเลยไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าไม่กลายเป็นขยะไปแล้วรึ ? กลายเป็นขยะแล้วยังกล้ามาเข้าร่วมงานล่าสัตว์ อืม… เจ้ามีความกล้าไม่เลวเลย”
ไป๋มู่เฟิงโบกมือก่อนจะกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เฮยอู๋ตี้ ใครบอกเจ้าว่าข้ากลายเป็นขยะ”
ไป๋มู่เฟิงเป็นคุณชายน้อยของจวนกั๋วกง ส่วนเฮยอู๋ตี้ผู้นี้คือคุณชายใหญ่แห่งจวนแม่ทัพใหญ่
จวนกั๋วกงและจวนแม่ทัพใหญ่ไม่ถูกกันอย่างมาก เมื่อพบหน้ากันก็มักจะเกิดเรื่องขึ้นเสมอ
เฮยอู๋ตี้รีบถอยออกไป ใบหน้าของเขาฉายแววตกตะลึง เขาไม่คิดว่าไป๋มู่เฟิงที่บาดเจ็บสาหัสไม่เพียงแต่ไม่ถูกทําลายราบไป กลับยังสามารถทะลวงผ่านจนกลายเป็นจอมภูตได้ เฮยอู๋ตี้จับจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาเฉียบคม เขายิ้ม กล่าวว่า “แม่สาวน้อย อย่าตามเจ้าหน้าขาวนี่ไปเลย การล่าสัตว์ในป่าของของราชวงศ์ชิงนั้นอันตรายนัก หากตามเจ้าหน้าขาวนี่ เกรงว่าเขาจะไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ ตามพี่ชายข้ามาดีกว่า เจ้าว่าอย่างไรล่ะ ?”
สีหน้าของไป๋มู่เฟิงหม่นคล้ำ เขากล่าวเสียงลอดไรฟัน “เฮยอู๋ตี้ไสหัวไปซะ! นางไม่ใช่คนที่เจ้าจะสามารถรุกรานได้”
เฮยอู๋ตี้หัวเราะเสียงดัง “ไป๋มู่เฟิง เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถปกป้องแม้สาวน้อยคนงามผู้นี้ได้รึ ? รอให้ถึงป่าล่าสัตว์ พวกข้าจะคอยดู”
“คอยดูก็คอยดูสิ ข้ามิกลัว” มีมู่เฉียนซีอยู่เคียงข้าง ไป๋มู่เฟิงมั่นใจอย่างมาก
เฮยอู๋ตี้ผู้นี้ล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน กลับเลือกที่จะล่วงเกินปีศาจตระกูลมู่ ช่างรนหาที่ตายเสียจริง!
ผู้จัดงานล่าสัตว์ในครั้งนี้คือจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง—จักรพรรดิฉินป้า
จักรพรรดิฉินป้ายืนอยู่บนแท่นสูง กล่าวว่า “หนุ่มน้อยสาวน้อยทั้งหลาย ถึงเวลาแล้วที่พวกเจ้าจะหลั่งเลือดออกมา เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในป่าล่าสัตว์ ชีวิตและความตายล้วนต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง จงฝึกฝนตัวเองในนั้นเพื่อให้คนรุ่นใหม่ของราชวงศ์ชิงแข็งแกร่งขึ้น”
ฉินป้าเป็นจักรพรรดิที่มีร่างกายกํายําและอุปนิสัยก้าวร้าว เขาอาจไม่ร้ายกาจเท่าซวนหยวนจือ ทว่าก็ไม่ใช่คนดี
“เปิดป่าล่าสัตว์ ทุกคนพยายามอย่างดีที่สุด! ขอเพียงได้อันดับหนึ่ง ขอเพียงสามารถจับสัตว์วิญญาณที่มีชีวิตมาได้ ข้าจะให้ปรมาจารย์จาง ผู้ฝึกสัตว์วิญญาณช่วยฝึกสัตว์วิญญาณเหล่านั้นให้เชื่อง เมื่อถึงเวลานั้น พวกเจ้าจะมีสัตว์พันธสัญญาในครอบครอง”
ลูกหลานตระกูลใหญ่นับพันในแคว้นชิงต่างมีดวงตาประกายกล้าฉายแววร้อนแรง เป้าหมายของพวกเขาคืออันดับหนึ่ง ผู้เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหลายรีบวิ่งไปยังป่าล่าสัตว์อย่างอดใจรอไม่ไหว
แม้ว่าฉินป้าจะแจ้งว่าพวกเขาต้องผ่านการฝึกฝนให้เจริญเติบโตด้วยอันตราย แต่ครอบครัวของเหล่าอัจฉริยะรุ่นเเรกเหล่านี้ คงไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาไปเสี่ยงอันตรายอย่างแท้จริงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงส่งคนมาปกป้องกลุ่มคนรุ่นเยาว์นี้อย่างลับ ๆ ในที่มืด
— ตูม! ตูม! ตูม! —
เมื่ออัจฉริยะเหล่านี้เข้าไปในป่าล่าสัตว์ ทั้งป่าเสมือนเดือดพล่านขึ้นมาในบัดดล
บางคนมีคนติดตามมาด้วยเป็นจำนวนกว่าสิบคน ในขณะที่บางคนมีคนติดตามมาสามถึงห้าคน แต่ทว่าไป๋มู่เฟิงนั้น มีเพียงแค่มู่เฉียนซีคนเดียวที่ตามเขามา
ในตอนนี้เอง องค์ชายใหญ่เดินเข้ามา กล่าวกับไป๋มู่เฟิงว่า “มู่เฟิง เจ้าเข้าร่วมกับข้าหรือไม่ ถึงแม้ว่าทีนี่จะเป็นป่าล่าสัตว์ของราชวงศ์ แต่ระดับวามอันตรายก็ไม่ได้น้อยไปกว่าป่าอื่น ๆ เลย”
ไป๋มู่เฟิงกล่าวอย่างสุภาพ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ดูแลข้า แต่ข้าเลือกที่จะมางานล่าสัตว์เพื่อฝึกตัวเอง”
“มู่เฟิง ต่อให้เจ้าไม่นึกถึงไม่เป็นห่วงตัวเจ้าเอง เจ้าก็ต้องนึกถึงความปลอดภัยของแม่นางผู้นี้ด้วย” สายตาขององค์ชายใหญ่เหลือบมองไปที่มู่เฉียนซี
น่าหลานอวี้เดินเข้ามาก่อนจะกล่าวว่า “ใช่แล้วคุณชายน้อยไป๋มู่เฟิง เจ้ากับผู้นำตระกูลลมู่มู่เฉียนซีบุกเข้าไปในเขตป่าล่าสัตว์หลวงสองคน หากเกิดเหตุอะไรขึ้นกับมู่เฉียนซี มู่ซีคงช้ำใจเป็นแน่”
น่าหลานอวี้ไม่อยากที่จะสนใจว่ามู่เฉียนซีจะอยู่หรือตาย แต่นึกขึ้นได้ว่านางนั้นเป็นผู้ที่มู่ซีให้ความสำคัญเป็นที่สุด เขาจึงไม่อยากให้เกิดอันตรายแก่นางอันจะเป็นเหตุทำให้มู่ซีต้องเสียใจ
มู่เฉียนซี “นายน้อยน่าหลาน ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น ท่านระวังตัวท่านเองเถอะ!” จากนั้นนางหันไปกล่าวกับไป๋มู่เฟิง “ไป่มู่เฟิง เราไปกันเถอะ!”
น่าหลานอวี้มองตามหลังเงาสีม่วงนั้น แล้วกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเคืองที่มีค้างอยู่บ้างในใจ “มู่เฉียนซีเจ้ามันหญิงไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่ามู่ซีชอบเจ้าที่ตรงไหน”
— กึก! —
มู่เฉียนซีหยุดก้าวเท้าอย่างกะทันหัน นางแสยะยิ้มก่อนจะหันไปกล่าวกับน่าหลานอวี้ “นายน้อยน่าหลาน เจ้าคงไม่ได้เป็นพวกนิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกันหรอกใช่ไหม ?”
.