บทที่ 39 ร้องขอความเมตตา

หรือว่า….

บนโลกใบนี้ ของพวกนั้นยังไม่ถูกค้นพบ? ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว ก่อนขอเข้าไปสำรวจเครื่องปรุงในครัวเพื่อจะเขียนสูตรอาหารให้เขาใหม่

โดยรวมแล้วขั้นตอนทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ซูหวานหว่านขายเห็ดหูหนูและเห็ดหอมที่นำติดตัวมาให้ร้านอาหารเจวียเซ่อได้ไปถึง 200 เหรียญ

เด็กสาวเดินออกจากร้านอย่างมีความสุขพร้อมถุงเงินที่หนักอึ้งไปด้วยเงิน ซูจิ่นเฉียงที่ยืนรอนอกร้านเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย ครั้นรู้ว่าซูหวานหว่านขายเห็ดป่าได้ถึง 200 เหรียญก็ตกใจและดีใจจนร้องออกมาเสียงดัง เขารีบชวนซูหวานหว่านกลับบ้านเพื่อไปเก็บเห็ดเพิ่มทันที

“ท่านพี่! ท่านจะรีบไปไหนเล่า?” ซูหวานหว่านยิ้มและดึงตัวซูจิ่นเฉียงไว้ไม่ให้เดินกลับไปขึ้นเกวียน ก่อนจะลากซูจิ่นเฉียงให้เดินตามนางไป

ซูหวานหว่านพาซูจิ่นเฉียงมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านตำราเพื่อพาเขามาซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ เช่น ตำรา กระดาษ พู่กัน หรือสิ่งจำเป็นอื่น ๆ สำหรับการเล่าเรียน เมื่อเสร็จธุระที่ร้านตำราแล้วทั้งคู่ก็พากันไปซื้ออาหารเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนจะออกเดินทางกลับบ้าน

ระหว่างทางนางเจอกับฉีเฉิงเฟิงที่ตั้งแผงขายรูปวาดและรับจ้างเขียนจดหมายอยู่ในตรอกเล็ก ๆ

หญิงสาวในชุดผ้าไหมสีชมพูยืนบิดตัวไปมาอยู่หน้าแผงขายของของเขา ข้างกายมีสาวใช้ที่เตี้ยกว่านางเล็กน้อยยืนอยู่ด้วย

“ท่านมาจากที่ใด ปีนี้อายุเท่าไร เป็นลูกคนเดียวหรือมีพี่น้อง?”

“…”

ฉีเฉิงเฟิงได้แต่ขมวดคิ้ว ทว่าไม่ได้ตอบคำถามผู้หญิงคนนั้นแต่อย่างใด

สาวรับใช้ที่ติดตามสตรีนางนั้นไม่พอใจกับท่าทีของชายหนุ่มที่เมินเฉยและไม่ได้ตอบผู้เป็นนายของตน หญิงสาวจึงโวยวายขึ้นอย่างไม่พอใจ “นี่เจ้าคนต่ำต้อยน่ารังเกียจ! คุณหนูของข้ากำลังถามเจ้าอยู่ เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบ ตอนนี้ตระกูลของเรากำลังมองหาชายหนุ่มที่เหมาะสมมาเป็นลูกเขยอยู่ หากเจ้าไม่ทำตัวดี ๆ เกรงว่าคุณหนูของเราจะไม่สนใจในตัวเจ้าเอานะ”

หญิงสองคนนี้ต้องการอะไรจากเขากัน?

ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้า เมื่อพบว่านี่ก็จวนจะเย็นแล้ว เป็นเวลาที่จะต้องเก็บแผงและปิดร้าน เขาจึงเริ่มลงมือเก็บข้าวของโดยที่ไม่สนใจหญิงสาวสองคนตรงหน้าเหมือนเดิม

สาวใช้คนนั้นไม่พอใจมากที่ชายหนุ่มที่ยังคงเมินเฉยไม่สนใจจึงหยิบพู่กันบนแผงมาปาลงพื้น ตะโกนโวยวายเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

“นี่เจ้าเป็นคนอย่างไรกัน!”

ฉีเฉิงเฟิงยังนิ่งเฉยก้มไปเก็บพู่กัน ทว่าสาวใช้ผู้นั้นชิงเก็บพู่กันขึ้นมาก่อน นางกำลังจะปาพู่กันลงพื้นอีกครั้ง ทว่าจู่ ๆ ก็มีหินจากที่ใดไม่ทราบลอยกระแทกเข้าที่มือของนางพอดิบพอดี

“โอ๊ย! เจ็บนะ ใครเป็นคนทำกัน!”

ซูหวานหว่านยิ้มออกมาก่อนกล่าวว่า “ข้าเอง ขอโทษด้วย พอดีกำลังเล่นอะไรบางอย่างกับหินนั่นแล้วเผอิญทำมันหลุดมือ”

“โกหก! เห็นชัด ๆ ว่าเจ้าตั้งใจ!!” นายหญิงของสาวใช้ผู้นั้นออกตัวตอบโต้แทนสาวใช้ของตน

“การกระทำของข้ามันชัดเจนเช่นนั้นเลยหรือ?” ซูหวานหว่านยิ้มบาง ๆ และหันไปบอกพี่ชายของตนให้เข้าไปช่วยฉีเฉิงเฟิงเก็บแผงร้าน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!” หญิงสาวผู้เป็นนายกล่าวอย่างฉุนเฉียว

“ข้าไม่รู้” ซูหวานหว่านส่ายหัวตอบ

“พ่อของข้าเป็นผู้ดูแลร้านอาหารเจวียเซ่อที่สวยงามและดีเลิศที่สุดในเมือง! ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ใช่หรือไม่ว่าพวกเรามีเงินมากมายขนาดไหน เจ้ากล้าดียังไงมายั่วโมโหข้า!”

“หึ” ซูหวานหว่านพยายามกลั้นขำ เหตุใดโลกมันถึงแคบเช่นนี้ นางไม่แปลกใจเลยที่หญิงสาวตรงหน้าจะทำตัวหยิ่งผยองและไร้สมองแบบนี้! เพราะเป็นลูกสาวของคนแบบนั้นนี่เอง!

สุดท้ายซูหวานหว่านหลุดขำออกมาจนได้ หญิงสาวคนนี้คงยังไม่รู้ล่ะสิว่าพ่อของนางถูกปลดจากการเป็นผู้ดูแลร้านและโดนไล่ออกแล้ว

ซูจิ่นเฉียงที่ยืนดูห่าง ๆ เห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งมาห้ามน้องสาวของตน “หวานหว่านรีบกลับบ้านเถอะ มันคงไม่ดีแน่หากไปมีเรื่องกับนางเข้า”

เมื่อหญิงสาวในชุดชมพูได้ยินที่ซูจิ่นเฉียงพูด นางก็หัวเราะขึ้นแล้วพูดด้วยท่าทางอวดดีกลับไป “หากรู้แล้วก็ดี!”

แต่นั่นไม่ได้ทำให้ซูหวานหว่านเกรงกลัวผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

ซูหวานหว่านยกยิ้มอย่างท้าทาย พลันใดชายวัยกลางที่คนแต่งกายในชุดผ้าไหมสีดำเดินตรงเข้ามาและตบเข้าที่ใบหน้าของหญิงสาวอย่างแรง

“เจ้า…นังลูกไม่รักดี ขอโทษแม่นางซูเดี๋ยวนี้!”

หญิงสาวที่ถูกตบเซจนเกือบล้มหันกลับมาจ้องเขม็งไปชายวัยกลางคนแล้วพูดว่า ”ท่านพ่อ! ท่านตบหน้าข้าทำไมกัน?”

ชายที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคืออดีตผู้ดูแลร้านอาหารเจวียเซ่อที่ถูกไล่ออกเพราะซูหวานหว่านนั่นเอง

สีหน้าของเขายังคงไม่สู้ดีนัก ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงเข้ม “หลี่เหลียนเอ๋อร์! ขอโทษแม่นางซูเดี๋ยวนี้!”

หลี่เหลียนเอ๋อร์หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความขับข้องใจ “ท่านพ่อ! เห็นชัด ๆ ว่านางเป็นคนรังแกข้าก่อน เหตุใดข้าต้องขอโทษนางด้วย!”

สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ พูดสนับสนุนขึ้นมา “นายท่าน! ท่านไม่รู้หรอกว่านังผู้หญิงคนนี้มันบ้ามากเพียงใด คุณหนูกำลังเลือกสามีตามที่ท่านบอกอยู่ ทว่าใครจะไปรู้ล่ะว่าอยู่ ๆ นังผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้จะสร้างปัญหาให้กับคุณหนูของข้า! อีกทั้งนางยังปาหินใส่ข้าอีกด้วย ช่างร้ายกาจเสียเหลือเกิน ท่านดูสิ!”

เพี๊ยะ! อดีตผู้ดูแลร้านตบไปที่หน้าของสาวใช้ “หุบปากไปเลย! เจ้าไม่มีสิทธิ์พูด!”

ทั้งสาวใช้และคุณหนูหลี่เหลียนเอ๋อร์ต่างก็เงียบปากลงทันที เพราะกลัวว่าจะโดนตบเข้าอีกรอบ

ซูหวานหว่านที่ช่วยฉีเฉิงเฟิงเก็บของเสร็จเรียบร้อยและกำลังจะออกจากตรงนั้น ทว่าก็ถูกอดีตผู้ดูแลร้านเรียกไว้ก่อน “แม่นางซู …ข้าผิดไปแล้ว ข้า… คือ… ท่านได้โปรด ขอร้องกับคุณชายให้ข้าได้หรือไม่ ให้ข้าได้กลับไปเป็นผู้ดูแลร้านอีกครั้ง ได้โปรดเถอะท่าน…”

ตำแหน่งผู้ดูแลร้านที่เขาทำก็เป็นเพียงชื่อตำแหน่งเท่านั้น เขาบกพร่องในหน้าที่ของตัวเอง ไม่ได้ทำหน้าของตัวเองให้ดีแต่ได้ค่าตอบแทนที่ดี เช่นนี้เขาควรจะกลับไปทำหน้าที่ผู้ดูแลร้านอีกเหรอ?

อย่างน้อยเขาก็รู้ล่ะนะว่านางแซ่ซู

ซูหวานหว่านส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ขออภัยด้วย ข้าว่าท่านต้องไปคุยกับคุณชายของท่านเอง”

หลี่เหลี่ยนเอ๋อร์ที่ได้ยินสิ่งที่ซูหวานหว่านพูดก็ตกตะลึงพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม นางเข้าไปหาผู้เป็นพ่อแล้วเค้นถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “อะไรนะ? ท่านพ่อ! ท่านพ่อไม่ใช่ผู้ดูแลร้านอีกต่อไปแล้วงั้นหรือ… หากเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อ…”

อดีตผู้ดูแลร้านเมินเฉยต่อคำถามของลูกสาวถึงแม้ว่าจะรู้สึกสงสารลูกสาวของเขาเพียงใด แต่ที่ทำได้ตอนนี้คือต้องเอาใจซูหวานหว่านเท่านั้น

ทว่าใครจะไปคิดว่าซูหวานหว่านจะไม่สนใจกับการกระทำของเขา!

อดีตผู้ดูแลร้านยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กสาว

“แม่นางซู ! ได้โปรด… ข้าเสียงานนี้ไปไม่ได้จริง ๆ”

ซูหวานหว่านมองอดีตผู้ดูแลร้าน ที่ตอนนี้ทำตัวถ่อมตนและนอบน้อมผิด ต่างจากท่าทีหยิ่งยโสในคราแรกราวฟ้ากับเหว

“ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าช่วยท่านไม่ได้จริง ๆ ท่านหาเรื่องใส่ตัวเอง ถ้าไม่มีเหตุ ผลก็จะไม่เกิด*[1] ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะท่านทำตนเองทั้งนั้น หากว่าท่านไม่ทำตัวหยิ่งผยองพองขนเช่นนั้น ตัวท่านเองตอนนี้คงยังไม่เสียงานเสียอาชีพเช่นนี้”

เมื่อพูดจบ ซูหวานหว่านก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปพร้อมกับซูจิ่นเฉียงและฉีเฉิงเฟิงทันที นางไม่ได้สนใจอดีตผู้ดูแลร้านที่เดินอ้อนวอนตามหลังนางเลยแม้แต่น้อย

ฉีเฉิงเฟิงที่รำคาญชายกลางคนที่ตามวอแวซูหวานหว่านไม่เลิกก็หมดความอดทนจึงหันไปบอกกับเขาว่า “เรากลับกันเองได้ ท่านไม่ต้องตามไปส่งหรอก”

คำพูดเช่นนั้นมันหมายความว่าอะไรกัน!?

คนพวกนี้คิดว่าตัวเองอยู่ที่ใด?

ทำไมถึงพูดราวกับว่าเขาเป็นเด็กส่งแขกเช่นนี้!?

อดีตผู้ดูแลร้านโกรธจัดจนแทบจะกระอักเลือด เขารู้สึกเหมือนโดนตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเจ็บปวดจนแทบอยากจะล้มลงไปนอนกับพื้น เขาอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แม้ภายในใจของเขาจะรู้สึกโกรธมากเพียงใดแต่เขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้เดินตามซูหวานหว่านไป

ซูหวานหว่านพร้อมทั้งพี่ชายของนางกับฉีเฉิงเฟิงเดินมาถึงเกวียนวัวและขึ้นไปนั่งก่อนที่คนอื่นจะมาถึง ซึ่งหลี่ฉือโทวก็กำลังนั่งว่าง ๆ อยู่ ทั้งสามจึงนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่นานสองนาน

ซูจิ่นเฉียงอดไม่ได้ที่จะเล่าถึงเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฉีเฉิงเฟิงฟัง ทว่าเขายังไม่ได้บอกออกไปว่าขายสิ่งใดไป

ฉีเฉิงเฟิงฟังซูจิ่นเฉียงเล่าก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

นางขายสิ่งใดกันถึงได้เงินมา 100 เหรียญต่อ 1 ชั่ง เรื่องที่เด็กสาวทำช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนตกใจยิ่ง!

เมื่อนึกถึงหยกคู่ที่เขาออกแบบไว้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ชายหนุ่มอยากรู้เหลือเกินว่าถ้าหากจี้นั่นเสร็จแล้วนางจะได้เงินเท่าไรจากการขายมัน!

ซูหวานหว่านเพิ่งพบว่าฉีเฉิงเฟิงมีเครื่องไม้เครื่องมือมากมายที่นางไม่รู้จัก ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการแกะสลัก เด็กสาวคิดอะไรบางอย่างได้จึงเข้าไปกระซิบข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าปกติ เพราะตั้งใจให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น “เจ้าจะแกะสลักหยกเหรอ?”

“ข้าเกรงว่าหากข้าไม่ทำ เจ้าคงจะทำวัสดุที่มีเสียเปล่าน่ะสิ” ฉีเฉิงเฟิงพูดเบา ๆ

เขากำลังจะบอกว่านางไม่มีฝีมืออย่างนั้นเหรอ!

หญิงสาวตัดสินใจยังไม่โวยวายและยั่วโมโหเขาในตอนนี้ ทว่ากลับรู้สึกว่าควรจะพิสูจน์ให้เขาเห็นกับตาเลยดีกว่าว่านางสามารถทำได้จริง ๆ!

เมื่อมีคนขึ้นมานั่งบนเกวียนวัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงเวลาออกเดินทาง

กว่าพวกเขาจะเดินทางกลับถึงบ้าน ฟ้าก็มืดลงเสียแล้ว ซูจิ่นเฉียงรีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยพร้อมกับนำเงินที่ได้จากการนำเห็ดไปขายมาอวดคนในบ้าน ชายหนุ่มเล่าเหตุการณ์ที่เจอในวันนี้อย่างออกรส

เมื่อทุกคนได้รู้ถึงราคาของเห็ดที่ซูหวานหว่านนำไปขายก็ถึงกับตกตะลึง จนซูต้าเฉียงถึงกับเอ่ยปากชม

“ลูกสาวของข้านี่เก่งจริง ๆ! พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกเจ้านายของข้าว่าข้าขอลาออก ข้าจะให้เขาหาคนมาแทน ข้าจะไปช่วยเจ้าเก็บเห็ดพวกนั้น ดีหรือไม่!”

“ข้าว่ามันก็ดีนะท่านพ่อ ทว่า…” ซูหวานหว่านยกยิ้มก่อนที่จะกล่าวต่อ “พรุ่งนี้คงจะเหนื่อยกันมากเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นแล้วพวกท่านหลับจนถึงตอนเที่ยงเลยเถอะ หลังจากนั้นตอนเย็น ๆ พวกเราถึงจะไปเก็บเห็ดกัน เมื่อไปถึงแล้วเราจะเก็บเห็ดกัน 1 ชั่วยามจากนั้นค่อยกลับ”

“ไม่ได้นะ” แม่เจิ้นแย้งขึ้นเสียงแข็ง

“กว่าลูกจะออกไปและกลับเข้ามามันก็ค่ำมืดแล้วน่ะสิ!!”

[1] ในภาษาจีนเขียนว่า 不作死就不会死 / No zuo no die แปลว่า ถ้าไม่หาเรื่องใส่ตัวก็จะไม่เจอสถานการณ์ยากลำบาก เป็นวลีที่โดยปกติจะใช้พูดตอนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นไปแล้ว ให้ความรู้สึกเชิงสมน้ำหน้าประมาณว่า แกทำตัวเอง อะไรแบบนั้น