ตอนที่ 40 ข้าต้องการเพียงความมืด

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 40 ข้าต้องการเพียงความมืด!

สิ่งที่ซูหวานหว่านต้องการคือการกลับมาในตอนค่ำนั่นแหละ!

ซูหวานหว่านยิ้มออกมา “ในช่วงเวลานั้นทุก ๆ คนกินอิ่มและเข้านอนกันแล้ว จะไม่มีใครรู้ว่าเราถืออะไรกลับมา หากว่าเรากลับมาในช่วงเวลากลางวัน คนในหมู่บ้านก็จะเห็นว่าเราเก็บอะไรมาจากไหน ไม่ว่าเราจะพยายามซ่อนมันยังไงก็ไม่น่าพ้นสายตาของผู้คนแถวนั้นหรอก!”

แม่เจิ้นและคนอื่น ๆ คิดตามสิ่งที่ซูหวานหว่านพูดก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนแม่เฒ่าเจียงที่นั่งฟังอยู่ด้วยก็ได้กล่าวขึ้นมาอย่างติดตลกว่า “ข้าก็แก่มากแล้ว คงไม่สามารถออกไปกับพวกเจ้าได้ ดังนั้นข้าขอทำอาหารรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ในภายภาคหน้าหากข้าขยับไม่ได้แล้ว พวกเจ้าก็ช่วยป้อนอาหารให้ข้าสักคำสองคำด้วยนะ ฮ่า ฮ่า”

เด็กสาวหัวเราะให้กับคำพูดของแม่เฒ่าเจียง นางส่งยิ้มอย่างอบอุ่นกลับไปให้หญิงชรา “ท่านย่า… ท่านก็เหมือนกับเป็นย่าแท้ ๆ ของข้า หากข้าไม่ดูแลท่านแล้วจะให้ข้าไปดูแลใครที่ไหน”

แม่เฒ่าเจียงรู้สึกขบขันกับคำพูดของเด็กสาวและกล่าวตอบกลับไปอย่างติดตลกเช่นกัน “โอ๊ย…ไม่ละ…ไม่เอาละ ข้าไม่อยากเป็นย่าแท้ ๆ ของเจ้า ข้าขอเป็นย่าบุญธรรมของเจ้าแทนดีกว่า”

ทุก ๆ คนหัวเราะให้กับบทสนทนาของทั้งคู่อย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งช่วยกันทำอาหารและทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้านอน

ซึ่งในวันต่อมาก็ไม่มีใครในบ้านออกไปทำงานสักคน เพราะพวกเขาทำตามที่ซูหวานหว่านบอกไว้ คือเริ่มตื่นกันตอนเที่ยง ๆ ถึงบ่าย ๆ และค่อยลุกขึ้นไปทำอาหาร

พฤติกรรมเช่นนี้ของครอบครัวซู ทำให้ชาวบ้านตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขาคงกำลังคิดว่าครอบครัวซูกำลังสิ้นหวังจากเรื่องร้าย ๆ และหมดอาลัยตายอยากในการใช้ชีวิตจนคิดฆ่าตัวตาย

ในขณะที่ซูหวานหว่านทำอาหารอยู่ในครัวก็ได้ยิงเสียงเคาะประตูเสียงดัง ดังมาจากหน้าบ้าน

ปึง! ปึง! ปึง!

“ซูต้าเฉียง! นี่เจ้าไม่คิดจะไยดีกับพ่อและแม่ของเจ้าแล้วใช่ไหม!?”

นั้นมัน…พ่อเฒ่าซู… เฮ้อ เขามาสร้างปัญหาอีกแล้วสินะ

ซูหวานหว่านนึกสงสัยว่าพ่อเฒ่าซูจะมาก่อกวนอะไรอีกจึงอยากจะออกไปดูด้วยตาตัวเอง ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นผู้เป็นพ่อที่ล้างหน้าล้างตาของตัวเองอยู่ ซูหวานหว่านจึงคิดอะไรขึ้นมาได้ และอยากจะทดสอบเขาสักหน่อย ดังนั้นนางจึงตัดสินใจรอดูเหตุการณ์อยู่เฉย ๆ

ซูต้าเฉียงที่เริ่มจะเป็นพ่อที่ดีขึ้น อีกทั้งเขายังปรารถนาดีต่อลูก ๆ มากกว่าเดิม เขาตักน้ำล้างหน้ามาเผื่อพวกเด็ก ๆ เพราะหวังว่าจะให้พวกเขาได้ล้างหน้าล้างตากัน

ซูหวานหว่าน แม่เจิ้น และซูเสี่ยวเหยี่ยนเป็นผู้หญิงจึงนอนในห้องเดียวกัน ส่วนซูจิ่นหมิง ซูจิ่นเฉียง และซูต้าเฉียงนั้นนอนด้วยกัน ดังนั้นถังน้ำที่ซูต้าเฉียงแบกมาจึงมีสองถัง เขาเดินนำถังน้ำไปวางหน้าประตูห้องนอนทั้งสองห้อง

จากนั้นเขาจึงเดินไปที่ประตูหน้าบ้านที่ตอนแรกมีสภาพไม่ดีนักทั้งลูกบิดประตูยังพังอีก ทว่าเขาก็ซ่อมแซมมันจนกลับมาเป็นปกติจึงชื่นชมตัวเองอยู่ในใจสักพักหนึ่งและตัดสินใจเปิดประตูออกไป

เมื่อประตูเปิดออก จึงเผยให้เห็นถึงร่างของชายชราที่กำลังก่นด่าทุกอย่างจนน้ำลายแห้ง สภาพของชายชราตรงหน้าค่อนข้างน่าตกตะลึง ผิวที่แต่ก่อนเป็นสีชมพูกุหลาบเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีด อีกทั้งริ้วรอยบนใบหน้านั้นดูเพิ่มมากขึ้น ทั้งกรอบหน้าของชายชราก็ดูชัดเจนขึ้นเนื่องจากผอมลง ในตอนนี้พ่อของเขาดูแก่ขึ้นกว่าเก่าสิบปีหลังจากที่ไม่ได้เจอกันสักพักหนึ่ง

หรือเป็นเพราะว่าเขาอดอยากเลยมีสภาพเช่นนี้กัน?

ลึก ๆ แล้วซูต้าเฉียงก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่เห็นสภาพเช่นนี้ของผู้เป็นบิดา ทว่าเมื่อนึกถึงลูก ๆ ของเขาที่ดูซูบผอมกว่าพ่อเฒ่าซูอยู่มาก เช่นนั้นแล้วความรู้สึกผิดก็ลดลง

“ท่านพ่อ… ท่านมีธุระอะไรหรือ?” ซูต้าเฉียงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบ

“ไอ้ลูกชายอกตัญญู! นี่ก็ปาเข้าปลายเดือนของช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ดูบ้านอื่น ๆ เขาสิสะอาดสะอ้านกันหมดแล้ว ส่วนบ้านเรายังไม่ได้ทำความสะอาดเลย วัชพืชเกาะเต็มไปหมดแล้ว”

ท่านพ่อมาเพื่อบอกให้เขาไปทำงานให้สินะ….

ซูต้าเฉียงตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านพ่อ…ที่ดินตรงนั้นเป็นของครอบครัวท่าน และเราก็แยกครอบครัวกันแล้ว ท่านเป็นคนพูดเองนี่ว่าหากเราแยกออกมาแล้วถือว่าความสัมพันธ์ของเราจบลงไป ท่านจำคำพูดที่ตัวเองพูดไม่ได้หรือ? ตัวข้าเองไม่มีแม้แต่ที่ทำกิน ทำได้แค่เก็บผักป่าตามฤดูแถวนี้ประทังชีวิต”

“ไอ้เวรนี่! ถึงจะแยกกันแล้วเจ้าก็ยังต้องช่วยข้า! เหมือนเจ้าจะยังเข้าใจไม่ชัดเจนนะ ถึงเจ้าจะแยกออกไปแล้วนั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่ต้องทำงานให้กับครอบครัวเราอีกต่อไปนะ!”

อะไรกัน? ทั้งอยากให้เขาแยกครอบครัวทั้งอยากให้ทำงานให้โดยไม่มีค่าตอบแทนทั้ง ๆ ที่แยกกันอยู่แล้วน่ะหรือ? มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ?!

ซูต้าเฉียงเกิดความไม่พอใจ และดูเหมือนจะหาทางออกในเรื่องที่ชายชราร้องขอได้แล้วจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ เอาเช่นนี้ไหม หากอยากให้ข้าช่วยจริง ๆ ข้าจะคิดค่าแรงถูก ๆ ก็แล้วกัน ปกติหากจ้างคนอื่นเขาก็น่าจะประมาณ 6 เหรียญต่อวัน ข้าจะให้ถูกกว่านั้น อืม…สัก 5 เหรียญอย่างไร?”

“ฝันไปเถอะ! ข้าจะไม่ให้เจ้าแม้แต่แดงเดียว! ข้าเป็นพ่อของเจ้านะเจ้ายังกล้าคิดเงินพ่ออีกงั้นหรือ!!” ตาเฒ่าซูตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ หลังจากที่ลูกชายคนนี้แยกตัวจากตระกูลไป มันก็เริ่มเหิมเกริมขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!

ซูหวานหว่านรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจผ่านน้ำเสียงของพ่อเฒ่าซูที่แสดงออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าตาเฒ่านั่นกำลังข่มขู่พ่อของนางอยู่ ซูหวานหว่านที่กลัวของพ่อของนางจะรับมือกับพ่อเฒ่าซูไม่ไหวจึงตัดสินใจออกมาดูสถานการณ์ด้วยตนเอง

เมื่อไปถึงซูหวานหว่านก็รับรู้ได้ว่านางคิดผิด…เพราะภาพที่นางเห็นคือ ภาพที่ซูต้าเฉียงปิดประตูใส่หน้าผู้เป็นบิดาอย่างไม่ไยดีทั้งยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า

“ท่านพ่อ…ต้องขอโทษด้วยที่ตอนนี้ข้าไม่สะดวก ไว้คราวหน้าแล้วกันนะ ข้าต้องไปกินข้าวแล้ว”

ในที่สุดท่านพ่อก็กล้าต่อต้านคนชราแห่งตระกูลซูสักที!

ซูหวานหว่านรีบวิ่งไปซ่อนตัว ทันใดนางสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง และนึกขึ้นได้ว่านางวางชามที่มีข้าวอยู่จำนวนหนึ่งไว้ตรงนี้ และมันก็ได้หายไปแล้ว?!

ใครกันที่เป็นคนหยิบไป?

พวกหนูคงไม่กล้าขนาดนั้น ซูหวานขี้เกียจจะเดินไปเรียกพวกหนูมาถามไถ่ นางจึงกำข้าวจากไหมาเล็กน้อยแล้วโปรยลงพื้น ไม่นานนักนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้บริเวณหลังบ้านก็บินลงมากินทีละตัวสองตัว

“ใครเป็นคนขโมยข้าวที่ข้าวางไว้ตรงนี้ไป?” ซูหวานหว่านใช้ความสามารถถามคำถามกับเจ้านกพวกนั้น

“ก็หญิงชรา …อันใดนะ ที่พวกเจ้าเรียกกันว่าแม่เฒ่าซูน่ะสิ นางน่ะเข้ามาขโมยข้าวตอนที่พวกเจ้าไม่อยู่!”

แม่เฒ่าซูอีกแล้วเหรอ!

ซูหวานหว่านขมวดคิ้วและวิ่งไปตรวจสอบเส้นบะหมี่ที่ซื้อมาเมื่อวาน นางยังได้ยินพวกนกพูดต่ออีกด้วยว่า “นางปีนข้ามกำแพงนี้มาและก็ปีนออกไปทางนี้ อ่อ! ตอนกำลังปีนออกนางลื่นด้วยนะ ตอนนี้น่าจะขาพลิกจนเดินไม่ได้สักพัก”

“สมน้ำหน้า!!” ซูหวานหว่านโกรธมากและยืนใช้ความคิดอยู่สักครู่ ฉับพลันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว เด็กสาวไม่รอช้ารีบคว้าไข่หนึ่งใบและเดินไปแถวพุ่มไม้สักพุ่ม นางวางไข่ที่ได้มาจากแม่เฒ่าเจียงลงช้า ๆ ก่อนที่จะเรียกงูเขียวออกมา ไม่ช้างูเขียวก็ปรากฏกายขึ้น มันเลื้อยออกมาจากพุ่มไม้มากินไข่ที่ซูหวานหว่านนำมาให้จนอิ่ม จากนั้นจึงเลื้อยออกไปยังทิศทางของบ้านตระกูลซู

——-

ในขณะเดียวกัน แม่เฒ่าซูที่กำลังหิวจัดต้องการทำอาหารกินก่อนที่ตาเฒ่าซูจะกลับมา เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจลุกลงจากเตียง ทว่ากลับต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โอ้ยย!!”

แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค…หญิงชราลากสังขารของตนลงจากเตียง ก่อนจะเดินกะเผลก ๆ เข้าไปในห้องครัวและไปหุงข้าว ตอนที่นางสอดมือเข้าไปในไหเก็บข้าวนางก็สัมผัสถึงอะไรลื่น ๆ ที่มือจนทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันทีด้วยความกลัว

นี่มันความรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนกับตอนที่นางโดนซูหวานหว่านกลั่นแกล้งเมื่อตอนนั้นเลย!?

แม่เฒ่าซูชักมือกลับอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างลื่น ๆ ได้รัดท่อนแขนของนางไว้ทำให้สะบัดไม่หลุด หญิงชราจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูและสิ่งที่ได้เห็นทำให้นางอ้าปากค้างอย่างตกใจ

งูเขียวตัวหนึ่งที่กำลังพันอยู่รอบแขนของนาง กำลังแลบลิ้นแตะปลายข้อมือของนางอยู่!!

“กรี๊ดดดด!!”

แม่เฒ่าซูกรีดร้องสุดเสียงด้วยความกลัวและไม่นานก็สลบไป

พ่อเฒ่าซูที่กลับมาถึงบ้านพอดีและได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาจึงวิ่งตามเสียงมา เขาพบนางนอนสลบอยู่กับพื้นแต่ก็ไม่ได้เข้าไปช่วยนางแต่อย่างใด ซ้ำยังบ่นด่านางอย่างไม่พอใจ “หากไม่อยากทำอาหารก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่นี่ถึงกลับมาหลับคาห้องครัวอย่างนี้ เฮอะ… น่าสมเพชจริง ๆ!”

เมื่อพ่อเฒ่าซูพูดจบเขาก็เหลือบไปเห็นเงาอะไรบางอย่างเป็นเส้น ๆ สีเขียว ๆ จากมุมของหางตา พลันความรู้สึกเสียวซ่านจนน่าขนลุกก็แล่นขึ้นมาจากปลายเท้า ด้วยสัญชาตญาณชายชราจึงรีบสะบัดขาไปมาแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บเข้าเล่นงาน

พ่อเฒ่าซูมั่นใจมาก ว่าเขาโดนงูกัด!!

เขาจะทำอย่างไรดี

มันมีพิษหรือเปล่า?

เขาจะไม่ตายใช่หรือไม่?

ความคิดในหัวของชายชราตีกันให้วุ่นไป เขาพยายามตั้งสติเพื่อคิดหาทางเอาตัวรอด สุดท้ายเขาก็ตกใจสลบไปด้วยอีกคน..

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ครอบครัวซูหวานหว่านกำลังนั่งกินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน เมื่อกินข้าวเสร็จทุกคนก็ไปรวมกันใต้ต้นไม้ใหญ่และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ซูหวานถือโอกาสที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินวิ่งออกไปหาฉีเฉิงเฟิง

ภายในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่คับแคบ ฉีเฉิงเฟิงที่กำลังนั่งร่างแบบของจี้หยกอย่างประณีต ในขณะที่ซูหวานหว่านได้เข้ามาพอดี นางเห็นร่างแบบมากมายบนกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า ซึ่งทุก ๆ แผ่นถึงแม้จะมองผ่าน ๆ ทว่าก็ล้วนเต็มไปด้วยความวิจิตรงดงาม

ขณะที่ซูหวานหว่านกำลังพิจารณามองหาแบบที่ถูกใจ ฉีเฉิงเฟิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือก้อนหยกเข้ามาด้วย ดูเหมือนว่าตั้งใจที่จะตัดแบ่งมันออกจากกัน

ซูหวานหว่านก็หยิบต้นแบบแผ่นนั้นบ้าง แผ่นนี้บ้างสลับกันไปอย่างเลือกไม่ถูก เพราะมันสวยทุกแบบเลย

นางหันไปถามกับฉีเฉิงเฟิงด้วยรอยยิ้ม “เจ้าว่าใช้แบบไหนดีกว่ากัน?”

ฉีเฉิงเฟิงตอบโดยที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ไม่ต้องเลือกหรอก ทำมันทุกแบบนั่นแหละ รอข้าทำชิ้นนี้เสร็จ เจ้าค่อยนำหยกก้อนใหม่ที่เจ้าหามาได้ แล้วนำมันมาให้ข้าหลังจากนี้ก็แล้วกัน”

นี่เขากำลังตามใจนางอยู่เหรอเนี่ย?!