ตอนที่ 41 กับดัก

ซูหวานหว่านขบริมฝีปากตนเอง พลางพยักหน้าด้วยความปีติยินดี และรู้สึกว่าตัวเองทำกับฉีเฉิงเฟิงเกินไป จึงเอ่ยออกมาว่า “เจ้าทำงานได้รวดเร็วมาก งั้นพวกเราก็แบ่งกันคนละ 50:50 ก็แล้วกัน”

“ไม่จำเป็น ให้ข้าแค่ 30 เหมือนเดิมก็เพียงพอแล้ว” น้ำเสียงของฉีเฉิงเฟิงเรียบนิ่ง ราวกับว่าเขาจะไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินเท่าไร

แล้วสิ่งใดจูงใจให้เขาทำสิ่งนี้?

ความประทับใจของซูหวานหว่านที่มีต่อฉีเฉิงเฟิงดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย

ฉีเฉิงเฟิงไม่ได้สนใจซูหวานหว่าน เขานั่งทำงานของตัวเองต่อไป ไม่นานเขาก็ตัดหยกได้เป็นจำนวน 6 ชิ้นเท่า ๆ กัน จากนั้นใช้แท่งไม้จุ่มลงไปในหมึก พร้อมกับวาดลวดลายลงบนพิมพ์กระดาษ ซูหวานหว่านจึงทิ้งตัวนั่งอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่ม เดิมทีนางอยากจะลงมือทำด้วยตนเอง แต่ต้องการปิดบังฐานะของตัวเองเช่นกัน หากฉีเฉิงเฟิงรู้ว่านางสามารถแกะสลักได้เขาจะมองนางเป็นตัวประหลาดหรือไม่?

ฉีเฉิงเฟิงเริ่มลงมือแกะสลักหยกเหล่านั้น ทันใดเขาก็ได้วางมือ และมองไปที่ซูหวานหว่าน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้ากำลังปิดบังเรื่องอะไรบางอย่างกับข้าอยู่หรือไม่?”

“?”

ซูหวานหว่านมองไปที่ฉีเฉิงเฟิงอย่างไม่เข้าใจ ทำไมนางถึงมีความรู้สึกอึดอัดใจเมื่อได้ยินประโยคนี้ มันเหมือนกับการตั้งคำถามเพียงเพื่อต้องการให้นางได้เปิดปากบอกอะไรบางอย่างออกไป

เมื่อเห็นว่าซูหวานหว่านไม่ได้พูดอะไร ฉีเฉิงเฟิงจึงวางหยกลง พร้อมกับลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปใกล้ซูหวานหว่านทีละนิดทีละนิด ก้มลงใช้มือกักตัวหญิงสาวเอาไว้ ซูหวานหว่านรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกักขังไปไหนไม่ได้ชั่วขณะ ทำให้นางรู้สึกว่ากำลังหายใจไม่ออก

“คืนนั้นที่ข้าเป็นลม ข้ายังรู้สึกว่ามีบางสิ่งหายไปจากตัวข้า หากเจ้าเป็นคนเอามันไปล่ะก็ ได้โปรดบอกข้ามา”

ฉีเฉิงเฟิงเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร!

ซูหวานหว่านเมื่อได้ยินที่ฉีเฉิงเฟิงพูดนางก็เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร ชายหนุ่มถามเรื่องที่หยกของตัวเองหายไป?

ทว่าเหตุใดต้องพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

หรือว่าเขาจะคิดว่านางเป็นคนขโมยหยกไป! พลันใดใบหน้าของซูหวานหว่านก็แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางกระแทกเสียงใส่ฉีเฉิงเฟิง “ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้นะ ฉีเฉิงเฟิง สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจะเป็นคนหามาด้วยมือของข้าเอง และข้าก็ไม่เคยเอาอะไรของเจ้าไปด้วย! หากเจ้ากำลังตามหามันอยู่ล่ะก็ เจ้าก็พลิกแผ่นดินหามันดี ๆ เสีย บางทีมันอาจจะตกอยู่ในซอกมุมเล็ก ๆ ก็ได้!”

ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้ว บางทีซูหวานว่านอาจจะไม่รู้ว่าจี้หยกของเขาถูกเก็บเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ ถ้าไม่ค้นกระเป๋าเสื้อของเขาดูดี ๆ ก็ไม่สามารถนำมันไปได้

“?”

ซูหวานหว่านตัวแข็งทื่อไป เมื่อเผชิญกับสายตาที่เฉียบคมของฉีเฉิงเฟิง ชายหนุ่มเกิดความลังเลและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ซูหวานหว่านพูดมามันคือความจริงหรือไม่

เมื่อสายตาของนางประสานเข้ากับด้วยสายอันอบอุ่นของฉีเฉิงเฟิง มันทำให้ซูหวานหว่านนั้นรู้สึกผิด แต่ตอนนี้นางไม่สามารถนำจี้หยกออกมาคืนให้กับฉีเฉิงเฟิงได้ เพราะว่าจี้หยกอันนั้นอยู่ที่หมาป่าจ่าฝูง!

ฉีเฉิงเฟิงค่อนข้างรู้สึกกังวลใจ หากจี้หยกหายไปเฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร ทว่าถ้าถูกคนอื่นเก็บไป มันคงจะแย่มาก ตราบใดที่จี้หยกนั้นเผยโฉมออกมา แน่นอนว่าคนอื่นจะต้องรู้แน่ว่าเขาอยู่ที่ไหน

เขาอุตส่าห์ปกปิดฐานะของตนเองเอาไว้! มันคงจะล้มไม่เป็นท่าแน่!

ฉีเฉิงเฟิงหันตัวเดินกลับมาเงียบ ๆ จากนั้นก็มานั่งยุ่งอยู่กับการแกะสลัก

ซูหวานหว่านจ้องมองฉีเฉิงเฟิงอยู่ครู่ใหญ่ พอนานเข้าก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา นางลุกขึ้นเดินออกไป เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ทุกคนก็ออกมาจากบ้าน แม้ตอนนี้ฟ้ายังคงสว่างอยู่ แต่เพื่อไม่ให้เสียเวลา เด็กสาวและคนอื่น ๆ จึงเดินทางไปที่ด้านหลังภูเขา

นางเดินไปที่หลังภูเขา ก่อนแยกตัวออกไปด้วยคาดไม่ถึงว่าจะได้ผลผลิตเยอะถึงเพียงนี้ มีเห็ดหนาแน่นขึ้นตามต้นไม้ที่แห้งตาย และเห็ดหอมใต้ต้นมะเดื่อบนภูเขาก็ได้ขึ้นกระจัดกระจายเต็มไปหมด

เมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่ ถุงผ้าที่นางนำมาเต็มไปด้วยเห็ด แต่ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน

จู่ ๆ ซูหวานหว่านก็พบกับต้นผลไม้ต้นหนึ่ง นางกำลังจะปืนขึ้นไปเก็บมันมา ทว่าทันใดนั้นก็เห็นการเคลื่อนไหวผิดปกติในโพร่งหญ้า และเห็นหางสีขาวฟู ๆ กำลังส่ายไปมา

มองเข้าไปใกล้ ๆ มันดูคล้ายกับสุนัขพันธุ์ซามอยด์

ที่นี่ไม่ควรมีสุนัขพันธุ์ซามอยด์!

ทว่ามันคงไม่ใช่จิ้งจอกหรอกนะ!

ดวงตาของซูหวานหว่านก็เปล่งประกาย ขนของมันเงางาม เหมาะสำหรับที่จะเอาไปให้กับพี่ชายของตน เพื่อที่นำขนของมันไปทำพู่กันให้กับพี่ชายของนาง และใช้มันในการสอบ!

ซูหวานหว่านรีบวิ่งเข้าไป ทว่าเสียงฝีเท้าของนางก็ทำให้จิ้งจอกตัวนั้นตกใจจนมันพยายามวิ่งหนี ทว่ามันวิ่งได้ช้ามาก

ซูหวานหว่านวิ่งตามไปอย่างไม่รู้ตัว จนเข้าไปในป่าลึก

อีกด้านนึง

แม่เจิ้นสั่งให้คนอื่น ๆ มองหาซูหวานหว่าน พวกเขารู้ตัวโดยทันทีว่าซูหวานหว่านได้หายตัวไปแล้ว บริเวณนั้นเงียบสนิท จนทำให้ทุกคนตื่นตระหนก

“มีหลุมมากมายอยู่บนภูเขานี้ หากหวานหว่านตกลงไปมันต้องแย่มากแน่ ๆ!” ซูต้าเฉียงพูดออกมาด้วยความกังวล

“ท่านกำลังพูดจาเหลวไหลอะไรอยู่! หวานหว่านดวงแข็ง ไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นกับนางหรอก!”

ถึงแม้ว่านางจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่แม่เจิ้นก็ยังรู้สึกกังวล

ณ ขณะนี้ซูหวานหว่านกำลังไล่ล่าจิ้งจอกอยู่ ทว่าจู่ ๆ มันก็หยุดวิ่ง และวิ่งหลบเข้าไปที่พุ่มไม้แล้วพูดกับซูหว่านหวานว่า “ข้ารู้มาจากสหายของข้าว่าเจ้าสามารถพูดสื่อสารกับพวกเราได้ ข้าอยากจะให้เจ้าทำอะไรบางอย่างให้กับข้า หากทำสำเร็จ ข้าจะตามใจเจ้าทุกอย่าง”

สุนัขจิ้งจอกแสดงสีหน้าเศร้าหมอง มันมองไปที่ซูหวานหว่านด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการขอร้อง

เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยินยอมเพียงต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน ซูหวานหว่านก็พูดออกมาว่า “ข้อเรียกร้องของข้าไม่มีสิ่งใดมาก ที่ข้าต้องการคือขนของเจ้าเพียงเล็กน้อย”

“ไม่!” จิ้งจอกพูดคร่ำครวญออกมา “เมื่อใดที่เจ้าทำเรื่องนี้ให้ข้าสำเร็จ ข้าถึงจะมอบมันให้กับเจ้า เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอะไรกับข้าก็ได้”

อะไรที่ทำให้มันตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้?

ซูหวานหว่านขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดออกมาอย่างเปิดเผย “หากมันยากเกินไป เกรงว่าข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้”

“ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแค่ข้าต้องการให้เจ้าไปช่วยลูกข้าออกมาเท่านั้น”

ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความรักของแม่ เพื่อประโยชน์ของลูก ๆ แม่สามารถละทิ้งทุกอย่าง แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองก็ตาม

ซูหวานหว่านพยายามระมัดระวังตัวเองจากหลุมพรางของจิ้งจอก ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจิ้งจอกก็ถือว่าเป็นสัตว์ที่เจ้าเล่ห์เพอุบาย

“ลูกของเจ้าอยู่ที่ใด? ข้าจะทำให้เต็มที่เพื่อช่วยลูกของเจ้า หากแต่สุดความสามารถแล้วยังช่วยไม่ได้ ก็ถือซะว่าข้าไม่แข็งแกร่งพอ”

ท้องฟ้ากว้างใหญ่แค่ไหนแต่ชีวิตนั้นยิ่งใหญ่กว่า!

ซูหวานหว่านไม่คิดว่าตัวเองกำลังจะได้รับอันตรายจากจิ้งจอกตัวน้อย ๆ นางจึงไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้มากเท่าใดนัก

“ไม่หรอก มันเป็นเพียงแค่ถ้ำเล็ก ๆ”

ว่าแล้วสุนัขจิ้งตัวเมียนั่นก็กระโดดไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ตามข้ามา”

“ได้” ซูหวานหว่านตอบตกลงหลังจากเดินไปได้สองก้าว ทว่าเท้าของนางพลันเหยียบไปในหลุมและทำให้นางตกลงไปทันที!

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!

มีหลุมอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน!

ซูหวานหว่านคว้าเครือเถาวัลย์เอาไว้ พลันใดนางรู้สึกเจ็บที่มือของตัวเองและเริ่มมีเลือดไหลออกมา

เด็กสาวมองไปยังสุนัขจิ้งจอกที่อยู่ด้านบนหลุม ด้วยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ “เจ้าคงไม่ได้หมายถึงหลุมนี้หรอกใช่ไหม”

“ใช่” สุนัขจิ้งจอกตัวเมียพยักหน้าและกระโดดข้ามไปกัดรากของเถาวัลย์ที่ซูหวานหว่านจับเอาไว้ “ขอโทษด้วย มันเป็นทางเดียวที่จะช่วยลูก ๆ ของข้าออกมาได้ ข้าจึงจำเป็นต้องวางแผนเอาไว้แบบนี้”

“เฮอะ!” ซูหวานหว่านจ้องไปที่มันด้วยความโกรธพร้อมพูดออกมาอย่างดุดันว่า “หลุมนี้มันลึกมากทีเดียว ข้าไม่รู้ว่ามันลึกแค่ไหน ทว่าเจ้าก็ไม่ควรมาทำให้ข้าเป็นอันตรายแบบนี้!”

“ขอโทษนะ รอให้เจ้าช่วยพวกเขาออกมาก่อน ข้าจะมอบตัวข้าให้กับเจ้าเอง เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะอยากจะฆ่าข้าก็แล้วแต่เจ้าเลย” จิ้งจอกตัวเมียพูดออกมา พร้อมกับขุดขุยอย่างแรง ดันอุ้งเท้าหน้าของมัน กดรากของเถาวัลย์พร้อมกับค่อย ๆ ดันลงไป หมายให้ซูหวานหว่านลงไปในหลุมลึกกว่านี้

“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะไปฆ่าลูก ๆ ของเจ้างั้นหรือ!?” ซูหวานหว่านพูดออกมาอย่างโกรธเคือง

“ไม่กลัว” สุนัขจิ้งจอกพูดออกมา พร้อมกับก้มศีรษะลงและฟังเสียง นางไม่ได้ยินเสียงสะท้อนในหลุมมาเป็นเวลานานแล้ว และตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองลึก ๆ ว่าควรจะทำเช่นนี้ดีหรือไม่?