ตอนที่ 220 การเผชิญหน้ากับผู้ลอบฆ่าสัตว์

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เฮยอู๋ตี้นำคนมา เดิมทีจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่ว่าจะดี เขาต้องการที่จะมาดูจุดจบอันน่าสังเวชของไป๋มู่เฟิง แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องมาเห็นไป๋มู่เฟิงบาดเจ็บเพียงภายนอกเท่านั้น เขาไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไรเลย

ไป๋มู่เฟิงกล่าว “ดูเหมือนข้าจะทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอกเฮยอู๋ตี้”

— ฟึ่บ! —

ทันใดนั้นไป๋มู่เฟิงพุ่งพรวดเข้าไปประชิดร่างเฮยอู๋ตี้และจู่โจมโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

— ปัง! —

“พลังของเจ้าฟื้นกลับมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ?” เฮยอู๋ตี้ผงะไปครู่หนึ่ง เขารีบถอยหลังไปทันที

— ตูม! —

เขาพบว่าไป๋มู่เฟิงเปลี่ยนไปมากจริง ๆ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่กล้าเรียกไป๋มู่เฟิงว่า ‘เจ้าหน้าจืด’ แล้ว

บนร่างของไป๋มู่เฟิงแผ่กลิ่นอายโหดร้ายและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาสู้อะไรแทบไม่ได้เลย

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

เฮยอู๋ตี้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง

“อ๊าก!” เฮยอู๋ตี้ร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวสุดขั้วหัวใจ

ไป๋มู่เฟิงไม่สนใจความจะเป็นจะตายของอีกฝ่าย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ารอคอยวันที่ข้ากลายเป็นขยะไร้ประโยชน์มากนักไม่ใช่รึ ? วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นขยะไร้ประโยชน์นั่นเสียเอง! หึ! ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าเจ้าจะหลอกล่อให้สัตว์วิญญาณพวกนี้มาจัดการกับข้า เจ้ามันเล่นสกปรก สมควรตายยิ่งนัก!”

หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของผู้นำตระกูลมู่ มีหวังพวกเขาคงต้องซวยไปแล้วเป็นแน่

เฮยอู๋ตี้ตกใจ ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษในฉับพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นท่าทีโหดร้ายเช่นนี้ของไป๋มู่เฟิง

ในขณะเดียวกันนั้น ผู้เฒ่าพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิผู้หนึ่งเดินออกมาก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายน้อยไป๋ ให้เรื่องมันจบเพียงเท่านี้เถอะขอรับ จะว่าไปแล้วท่านก็คงจะไม่อยากวางตัวเป็นศัตรูกับจวนท่านแม่ทัพใหญ่ใช่หรือไม่ขอรับ ?”

ไป๋มู่เฟิงยั้งมือลง ทว่าก็มิวายเตะร่างของเฮยอู๋ตี้กระเด็นออกไป “เอาเจ้าขยะนี่กลับไปซะ!”

เฮยอู๋ตี้แค่นเสียงขรึม เขาทำเป็นเข้มก่อนจะกล่าวว่า “ไป๋มู่เฟิง ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ!”

“เราไปกันเถอะ” มู่เฉียนซีกล่าวพลางส่ายศีรษะ นางเบื่อเหลือเกินกับพวกเปลือกนอกขี้โอ่ทว่าเนื้อในเน่าเหม็นไร้ความสามารถอย่างเช่นคนอย่างเฮยอู๋ตี้

ทว่านางเองก็ตระหนักดี พลังเพียงแค่จอมภูตระดับแปดยังไม่เพียงพอ ลำดับต่อไปต้องเพิ่มประสบการณ์ในการต่อสู้ให้มากกว่านี้ จากนั้นก็ค่อยทะลวงพลัง

— ตูม! —

กระบี่มังกรเพลิงเปล่งแสงแพรวพราวขึ้น เลือดสีแดงสดกระเซ็นกระจัดกระจายออกมา ร่างของสัตว์วิญญาณเสือตัวใหญ่ล้มกระแทกลงกับพื้นในทันใด

ประเดี๋ยวก่อน! นี่เป็นสัตว์วิญญาณระดับหกเลยเชียว!

ไป๋มู่เฟิงชื่นชมและศรัทธาในความกล้าหาญด้านการสู้รบของมู่เฉียนซีเป็นอย่างยิ่ง นางสามารถทะลวงพลังได้อีกระดับหนึ่ง ทั้งยังขยี้คู่ต่อสู้ได้ราวกับว่าเป็นเรื่องง่ายดาย

ทั้งสองเข้าไปในป่าทึบ  ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งได้สัตว์วิญญาณมากขึ้นเรื่อย ๆ

ซู่! ซู่…!

ในเวลานี้เอง มีเสียงดังจากพื้นหญ้าโดยรอบ มันเป็นเสียงเสมือนฝีเท้าแหวกหญ้าของคนกลุ่มหนึ่งประมาณสิบกว่าคน  ทว่ากลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้แตกต่างกับกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เข้ามาล่าสัตว์วิญญาณกับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยคนเหล่านี้น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าสิบปี อ่อนแอสุดก็คงจะเป็นปรมาจารย์ภูต และหนึ่งในนั้นมีจักรพรรดิยอดยุทธ์อยู่ด้วย

พวกเขาแผ่กลิ่นอายอันโหดร้ายกระจายออกมา คนผู้หนึ่งเหลือบไปมองมู่เฉียนซีกับไป๋มู่เฟิง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “หัวหน้าขอรับ มีเพียงแค่คุณหนูกับคุณชายสองคนนี่หรือขอรับ ?”

ผู้ที่เป็นหัวหน้าของพวกเขาเปล่งเสียงตะโกน “พวกเจ้าเข้ามาในพื้นที่ล่าสัตว์ของราชสำนักได้ นั่นก็แสดงว่าพวกเจ้าต้องเป็นลูกหลานขุนนาง หรือไม่ก็เชื้อพระวงศ์เป็นแน่ เอาผนึกวิญญาณออกมาให้หมดประเดี๋ยวนี้! แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”

ไป๋มู่เฟิงตะเบ็งเสียงดังก้อง “เจ้าพวก… เจ้าพวกลอบล่าสัตว์!”

พื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์ชิงนี้เป็นของราชสำนัก แน่นอนว่าต้องมีนักผจญภัยหลายคนที่ต้องการเข้ามาล่าสัตว์วิญญาณ ณ ที่แห่งนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงลักลอบเข้ามา

คนเหล่านี้คือพวกลอบล่าสัตว์

ทางราชสำนักนั้น แม้จะมีการป้องกันพวกคนเหล่านี้ ทว่าบางครั้งก็มีสะเพร่าไปบ้าง

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แล้วหากว่าพวกข้าไม่ให้ล่ะ ?”

ชาเทียน หัวหน้าใหญ่ของกลุ่มลอบล่าสัตว์กล่าวด้วยน้ำเสียงโหดร้ายดุดัน “หากพวกเจ้าไม่ยอมให้แต่โดยดี พวกข้าก็มีวิธีหลายวิธีที่จะทำให้พวกเจ้ายอมเอาออกมา”

ชายหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชาเทียนกล่าวขึ้น “หัวหน้าขอรับ แม่สาวน้อยผู้นี้รูปร่างหน้าตางดงามไม่เบา พวกเราเดินทางเข้ามาในป่านี่นับเดือนแล้ว เหตุใดเราจึงไม่…”

ในเวลานี้นั้น สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ร่างของมู่เฉียนซี ไป๋มู่เฟิงเห็นเช่นนี้โกรธนัก! เขาตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวทันที “พวกเจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”

เสียงที่เย็นชาดังขึ้นต่อทันทีว่า “ใช่! พวกมันคงจะเบื่อกับการมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง”

ทันใดนั้น เข็มยานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่ร่างของชายอัปลักษณ์ผู้นั้น

“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทันทีที่เข็มยาปักเข้าร่างชายอัปลักษณ์ เขาพลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดแล่นไปทั่วทั้งร่างกายราวกับร่างจะระเบิด อีกทั้งร่างยังกลิ้งลงบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เหล่าบรรดาผู้ลอบล่าสัตว์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวแต่อย่างใด ทว่าสหายร่วมกลุ่มของเขากลับถูกทำร้ายอย่างทุกข์ทรมานเช่นนี้เสียแล้ว ช่างน่าตกใจจริง ๆ

ชาเทียนเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนกลายเป็นเคร่งขรึม พลังระดับจักรพรรดิแผ่ซ่านออกมาและพุ่งไปทางมู่เฉียนซี

“สาวน้อย เจ้ากล้าดีนักที่ทำกับสหายของข้าเช่นนี้ เจ้าดูดี ๆ ก็แล้วกันว่าข้าจะทรมานเจ้าให้ตายอย่างไร”

ในขณะเดียวกันนั้น เงาร่างสีขาวเข้ามาขวางหน้ามู่เฉียนซีเอาไว้ “ข้านึกไว้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้าไปได้ไม่ไกลหรอก ในที่สุดก็โดนพวกลอบล่าสัตว์เหล่านี้เจอเอาจนได้”

น่าหลานอวี้พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วประหนึ่งลอยตัวมา แววตาเปล่งประกายจ้องมองเหล่าผู้ที่ลอบฆ่าสัตว์พวกนั้น

น่าหลานอวี้กล่าวอย่างวางท่า “พวกเจ้าไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าจะดีกว่า มิเช่นนั้นถึงเวลานั้นแล้วจะมาโทษข้าไม่ได้”

ชาเทียนหัวเราะดูถูกเหยียดหยาม “ฮ่า ๆ ๆ เป็นแค่ปรมาจารย์ภูต ต่อให้เป็นปรมาจารย์ภูตพลังธาตุก็ใช่ว่าจะเก่งกาจอะไรมากมาย วันนี้ข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งสามไปแดนนรกพร้อมกันให้หมด”

พวกเขาเป็นพวกที่ทำเลวอย่างไม่คิดถึงชีวิต ในเมื่อตายในป่าแห่งนี้ ทางราชสำนักและตระกูลของพวกเขาก็ไม่สามารถเสาะหาความจริงอะไรได้

มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว กล่าวขึ้น “คนที่ต้องไปแดนนรกน่าจะเป็นพวกเจ้าเสียมากกว่า”

“อู๋ตี้ เสี่ยวหง ออกมา!”

นางมีสัตว์ศักดิ์สิทธ์อยู่ในครอบครองถึงสองตัว คู่ต่อสู้ที่เป็นผู้มีพลังระดับจักรพรรดิยอดยุทธ์คิดจะปลิดชีพนาง มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอก เหอะ!

เมื่อเห็นแมวน้อยที่คุ้นหน้าคุ้นตา น่าหลานอวี้ถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง เขากล่าวถามขึ้นว่า “มู่เฉียนซี สัตว์พันธสัญญาของมู่ซีมาอยู่กับเจ้าได้อย่างไร ?”

— ตูม! —

มู่เฉียนซีกล่าว “ตอนนี้ข้าว่านายน้อยน่าหลานควรตั้งใจสู้รบกับศัตรูก่อนจะดีกว่า”

เข็มยาของมู่เฉียนซีพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างดุเดือด จากนั้นนางตะโกนขึ้น “ไป๋มู่เฟิงเจ้าถอยไปก่อน คนพวกนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า!”

พลังของไป๋มู่เฟิงเป็นเพียงแค่จอมภูตระดับหนึ่ง พลังของผู้ที่อ่อนแอที่สุดของพวกลอบล่าสัตว์เหล่านี้สูงกว่าเขามาก อีกประการคือไป๋มู่เฟิงไม่ได้มีไพ่เด็ดเหมือนนาง หากเข้ามาต่อสู้ด้วย มีหวังไม่รอดชีวิตกลับไปอย่างแน่นอน

ไป๋มู่เฟิงไม่ได้ดื้อรั้นแต่อย่างใด เขารีบถอยออกทันที

ชาเทียนรู้สึกตกตะลึงอย่างมากกับการโจมตีของเสี่ยวหง เขารีบตะโกนสั่งพรรคพวก “จับตัวหญิงคนนั้นไว้ให้ได้ ควบคุมมันไว้ให้ได้! ”

ดูเหมือนว่าแมวน้อยน่ารักตัวนั้นจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์  อีกทั้งหมูตัวแดง ๆ ที่ดูเกียจคร้านตัวนั้นก็เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน!

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เหมาะเป็นคู่ต่อสู้กับผู้ที่มีพลังระดับจักรพรรดิเท่านั้น หากต่อสู้กับพลังระดับราชา พลังระดับราชาจะตายในเงื้อมมือของสัตว์ศักดิ์สิทธ์ในทันที

ทางเดียวที่จะรอดกลับไปในตอนนี้คือควบคุมนางผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ให้ได้ ทว่ามันไม่ง่ายสำหรับพวกเขาเลย มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายลม พวกเขาคิดจะจับตัวนางดูท่าว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น

“โล่มังกรวารี!”

“วารีสะท้านสวรรค์!”

“บุปผาหลั่งสายฝน!”

พลังธาตุวารีอันทรงพลังพุ่งเข้าใส่พวกลอบฆ่าสัตว์อย่างดุเดือดต่อเนื่องกัน

“บัดซบ! พลังวิญญาณของนางผู้นี้ยังใช้ไม่หมดเรอะ ?!”

“เจ้าดูสิ นางกำลังกินยาวิญญาณเข้าไปแล้ว”

“สวรรค์โปรด! ยาวิญญาณทั้งขวดเช่นนี้ นางคิดว่าเป็นลูกกวาดรึ ? ยาวิญญาณกินเข้าไปมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน นางเป็นลูกหลานตระกูลใดถึงฟุ่มเฟือยเช่นนี้ได้!”

ภายใต้การต่อสู้ของมู่เฉียนซีและสัตว์ศักดิ์สิทธ์ทั้งสอง ทำให้เหล่าบรรดาผู้ลอบฆ่าสัตว์ถูกโจมตีอย่างน่าสังเวช

“หลงเหยียนพิฆาต!”

กระบี่มังกรเพลิงกวัดแกว่งไปมา  ภายในชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็ต้องตะโกนร้องขอชีวิต

“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ ได้โปรดดดด!”

.