น่าหลานอวี้กล่าววาจาจริงจัง “ข้าชอบมู่ซี ไม่มีอะไรที่ข้าจะต้องไม่กล้ายอมรับ”
มู่เฉียนซีคิดหนัก อาถิงรูปงาม ใบหน้าเขาเสมือนดอกไม้สดใสเบ่งบานชวนให้ผู้คนหลงใหลอย่างที่นางคิดไว้ ต่อไปนี้หากเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นต้องให้หมอปีศาจออกหน้า นางเองก็คงไม่นำพาใบหน้าเช่นนั้นออกไปข้างนอกเป็นแน่
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเรียบนิ่ง “น่าหลานอวี้ เจ้า… บางทีเขาอาจจะไม่ยอมรับก็เป็นได้”
นางคิดว่าน่าหลานอวี้เป็นสหายที่ดีคนหนึ่ง ทว่าน่าหลานอวี้เป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน คาดว่าหลังจากที่เขารู้แล้วว่านางเป็นหญิงผู้ที่ปลอมแปลงเป็นมู่ซี น่าหลานอวี้คงจะไม่ชอบมู่ซีอีกต่อไป
ดังนั้น สู้พยายามเอ่ยให้เขาตัดใจเสียแต่ต้นจะดีกว่า น่าหลานอวี้ “แน่นอนว่าข้าจะไม่ให้มู่ซีรู้เรื่องนี้ ข้ากลัวว่าหลังจากที่เขารู้แล้วเขาจะตีตนออกห่างข้าไป ข้าชอบเขานั้นเป็นเรื่องของข้า ขอเพียงข้าได้ลอบชอบเขาแต่เพียงฝ่ายเดียวก็พอแล้ว”
ดวงตาน่าหลานอวี้ทอแววหม่นเศร้า เขากล่าวขึ้น “เจ้าเองก็อย่าได้ไปแพร่งพรายพูดเรื่องนี้กับมู่ซีเด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้วข้าไม่เกรงใจเจ้าแน่!”
มู่เฉียนซีลุกขึ้นยืน ยกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย “ทำไมรึ ? เจ้าจะสังหารเพื่อปิดปากข้าอย่างนั้นรึ ? คิดว่าจะฆ่าข้าได้หรือ ?”
เวลานี้น่าหลานอวี้แข็งแกร่งกว่ามู่เฉียนซีก็จริง ทว่าเขาไม่ได้ลืมสัตว์ศักดิ์สิทธิทั้งสองตัวที่แข็งแกร่งนั่นของนาง
น่าหลานอวี้กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรเจ้าจึงจะรับปากว่าจะเก็บความลับนี้ไว้ ไม่นำไปบอกให้มู่ซีรับรู้”
มู่เฉียนซี “เจ้ายอมทิ้งความสัมพันธ์นี้เถอะ อย่างไรมันก็ไม่มีผลหรอก” “มู่เฉียนซีเจ้าไม่เข้าใจ เมื่อข้าผู้นี้ตัดสินใจแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทั้งนั้น”
“แม้ว่ามู่ซีจะไม่มีวันชอบเจ้าน่ะรึ ?” มู่เฉียนซีถามหยั่งเชิง
“ใช่”
มู่เฉียนซีรู้สึกว่านางไม่ควรปิดบังเรื่องนี้อีกต่อไป มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว นางรู้ดี…
บางทีหลังจากที่น่าหลานอวี้รู้ว่าตนเองถูกหลอก ต่อไปความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจเหมือนดั่งน้ำกับไฟ แต่อย่างไรมู่เฉียนซีนางก็ไม่สามารถหลอกเขาแบบนี้ต่อไปได้
“น่าหลานอวี้ ที่จริงแล้วข้า…”
ขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะบอกความจริงกับน่าหลานอวี้ ทันใดนั้นมีเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
ตามด้วยเสียงอู๋ตี้ที่ดังขึ้นมาว่า “นายท่าน ให้ตายสิ เจ้าสิงโต่งั่งนี่พยายามเผาพลังของตัวเองอย่างถึงที่สุดและเขาบ้าคลั่งไปแล้ว พวกข้าสองคนทนไม่ไหวแล้ว รีบคิดหาวิธีเถอะ!”
ร่างสีม่วงพุ่งเข้าไป มู่เฉียนซีหยิบยาออกมาสองสามเข็มก่อนจะโยนมันให้กับเสี่ยวหงและอู๋ตี้ “ให้มันลองนี่และปล่อยให้มันสงบลง”
“ขอรับ!”
— ฟืด! ฟืด! ฟืด! —
เข็มยาหลายเข็มถูกฉีดเข้าไปในร่างกายของสิงโตอัคคี มันรู้สึกวิงเวียนมึนงง จากนั้นก็ไม่สามารถยืนได้อีก
— ตุบ! —
เสียงล้มลงกับพื้นดังขึ้นขณะที่ร่างสิงโตอัคคีล้มหมอบราบลงไป
เสี่ยวหงอู๋ตี้ สองสัตว์พันธสัญญากลับมาหามู่เฉียนซีและพากันกล่าวว่า “นายท่าน ข้าจัดการได้แล้ว”
มู่เฉียนซีเดินไปเอาต้นอัคคีเพลิงสวรรค์และปลูกมันเข้าไปในมิติเก็บของของนาง เมื่อนางอยู่จุดสูงสุดของจอมภูตระดับเก้า นางสามารถกินผลอัคคีเพลิงสวรรค์เพื่อเลื่อนขั้นเป็นจอมภูตใหญ่ระดับสูงสุดได้
มู่เฉียนซีมองสิงโตอัคคีก่อนจะกล่าวว่า “สิงโตอัคคีตัวนี้ไม่เลว ข้าได้ยินมาว่าสัตว์วิญญาณตัวแรกที่จับตัวได้จะมีผู้ฝึกสัตว์อสูรมาช่วยให้เชื่อง แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะขังเจ้าตัวใหญ่นี้ไว้ได้”
น่าหลานอวี้เดินเข้ามาหา เขากล่าวสิ่งที่ทำให้มู่เฉียนซีต้องครุ่นคิด “ข้ามีกรงสัตว์อสูรอยู่กรงหนึ่ง หากเจ้ารับปากกับข้าว่าจะเก็บเรื่องเมื่อครู่เป็นความลับ ข้าจะมอบกรงสัตว์นี้ให้เจ้า”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “เจ้าไม่อยากให้เขารู้รึ ?” นางอดคิดในใจไม่ได้ ‘เจ้าหมอนี่ไม่ได้รู้เลยว่าความในใจของเขาถูกเปิดเผยต่อมู่ซีไปแล้ว’
น่าหลานอวี้กล่าว “ข้าเพียงต้องการรักษาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสหายกับเขาเอาไว้ ไม่ ต้องการทําลายความสัมพันธ์นี้ ดังนั้นขอร้องเจ้าล่ะ อย่าไปบอกเขาเลย”
มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในความเป็นจริงนางเองก็ไม่อยากสารภาพความจริง หากว่าบอกเขาไปแล้ว เกรงว่าตัวนางอาจจะถูกฆ่า
มู่เฉียนซีพยักหน้า “ได้ ข้าสัญญา”
น่าหลานอวี้ “อืม อย่างไรก็ขอบใจเจ้ามาก ดูท่าสตรีเช่นเจ้าจะไม่น่ารําคาญอย่างที่คิด”
มู่เฉียนซีได้รับผลอัคคีเพลิงสวรรค์อันเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับปฐพี และยังได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งตัว จากนั้นนางออกจากป่าล่าสัตว์ของราชวงศ์ชิงทันที
ในเวลานี้หลายคนได้ออกจากป่าล่าสัตว์แล้ว การล่าสัตว์ครั้งนี้กําลังจะสิ้นสุดลง
ทุกคนมอบสิ่งที่ได้จากป่าให้กับราชวงศ์เพื่อทำการตรวจสอบ ไม่นานผลการตรวจสอบก็ออกมา
ฉินป้าประกาศด้วยเสียงอันดัง “ข้าขอประกาศว่าอันดับหนึ่งของการแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนี้คือ… มู่เฉียนซี!”
บางคนตะลึงลาน ปากก็ส่งเสียงโห่ร้องเกรียวกราว
“เป็นเจ้าสตรีวิปริตนี่จริง ๆ ด้วย ข้ารู้อยู่แล้วว่าอันดับหนึ่งจะต้องเป็นของนางผู้นี้”
“ใช่! ถ้าไม่ใช่สตรีวิปริตนี่ ข้าก็คงไม่เชื่อ”
“ใช่…”
คนเหล่านั้นที่ได้เห็นความร้ายกาจของมู่เฉียนซี พวกเขาคิดไว้แต่แรกว่ามู่เฉียนซีต้องได้อันดับหนึ่งอย่างแน่นอน ทว่าก็ยังมีผู้คนมากมายที่ไม่รู้จักชื่อมู่เฉียนซี ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของแคว้นจื่อเยี่ย มิใช่แคว้นชิง
“มู่เฉียนซีคือผู้ใดรึ ? ถึงกับได้อันดับหนึ่ง เหมือนว่าข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
“ตระกูลมู่ ตระกูลในแคว้นชิงมีตระกูลมู่หรือไม่ ?”
“ข้าเองก็ไม่ทราบ…”
ฉินป้ากล่าวตัดบทเสียงพึมพำต่าง ๆ “เอาล่ะมู่เฉียนซี เจ้าออกมารับรางวัลของเจ้าเถอะ” เมื่อทุกคนเห็นหญิงสาวที่งดงามราวรูปปั้นที่แกะสลักอย่างประณีตสมบูรณ์แบบเดินออกมา พวกเขาถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงลาน
“อันดับหนึ่งที่แท้คือนาง หญิงผู้นั้นที่อยู่กับคุณชายน้อยไป๋มู่เฟิง”
“หญิงผู้นี้อายุน้อยกว่าคุณชายน้อยไป๋อีกกระมัง จะล่าสัตว์วิญญาณมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ? โกหกแล้ว!”
“ใช่! เป็นไปไม่ได้”
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกเหลือเชื่อเพียงใด ความจริงก็อยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขา ไม่มีใครสามารถซ่อนตัวภายใต้สายตาของราชวงศ์ได้
ฉินป้ามองมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “ผู้นำตระกูลมู่ เป็นเจ้าจริง ๆ ข้านึกว่าเป็นเพียงแค่นามที่ซ้ำกันเท่านั้น”
บางทีหลายคนอาจไม่รู้ว่าผู้นำตระกูลมู่นางชื่อมู่เฉียนซี ทว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นชิงรู้ และมู่เฉียนซีนางยังหลอกยอดฝีมือทั้งสามคนของราชวงศ์ของพวกเขาด้วย
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “ฝ่าบาท งานล่าสัตว์ของราชวงศ์ของท่านไม่ได้ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าร่วม”
ฉินป้า “แน่นอนว่าไม่มีกฎข้อนี้ อีกอย่าง เจ้าได้รับเชิญจากจวนของไป๋กั๋วกง แน่นอนว่ามีคุณสมบัติเข้าร่วมและมีสิทธิ์รับรางวัล เพียงแต่ว่า… หากเจ้าไม่ล่าสัตว์วิญญาณมาทั้งเป็น ก็เท่ากับว่าไม่มีรางวัลอะไร”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ข้าไม่ได้ล่าสัตว์วิญญาณมาแบบที่มีชีวิต แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยังมีชีวิต ข้าสามารถล่ามาได้ตัวหนึ่ง”
มู่เฉียนซีใช้พลังช่วยนำเอากรงสิงโตอัคคีที่เก็บอยู่ในมิติออกมา ณ เวลานี้สิงโตอัคคีถูกขังอยู่ในกรงสัตว์อสูร ลมหายใจของมันอ่อนระโหยนัก มันกําลังจะหมดลมหายใจ
เมื่อสิงโตอัคคีปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ทุกคนก็เดือดพล่านขึ้นมา พวกเขาอุทานว่า “สวรรค์โปรด! มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หญิงผู้นี้จับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตได้ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดนางจึงได้อันดับหนึ่งไปครอง”
“เป็นไปไม่ได้! ในวัยนี้ นางมีความแข็งแกร่งเพียงระดับจอมภูตเท่านั้น นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสิงโตอัคคีเสียด้วยซ้ำ ช่างเหลือเชื่อเสียจริง ดูนั่น สิงโตอัคคีที่นางจับได้ยังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย”
“โอ้!…”
ใบหน้าของฉินป้าแข็งทื่อ เขาไม่คิดว่ามู่เฉียนซีจะไม่เพียงแต่ล่าสัตว์วิญญาณได้ นางยังถึงกับล่าสัตว์ระดับศักดิ์สิทธิ์มาได้ด้วย เขามองชายชราใบหน้าเหลืองที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ปรมาจารย์จาง นี่…”
ปรมาจารย์จางมองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สัตว์ศักดิ์สิทธิ์… อา… สัตว์ศักดิ์สิทธิ์… เขาไม่เคยฝึกให้เชื่องมาก่อนเลย ทว่าต่อหน้าผู้คนมากมาย การบอกว่าเขาไม่สามารถทำให้สิงโตอัคคีซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เชื่องได้นั้น มันน่าอับอายชนิดที่ว่าต้องมุดแผ่นดิน
ปรมาจารย์จางกล่าวเสียงแผ่วเบา “เจ้าตัวนี้ เป็นเพียงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น พลังจิตก็ไม่ได้แข็งแกร่งนัก ข้าสามารถทำให้เชื่องได้”
เมื่อปรมาจารย์จางพยายามฝึกเจ้าสิงโตอัคคีให้เชื่อง ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงปฏิกิริยาพลังจิตของสิงโตอัคคี
ใบหน้าเขาซีดเผือดอย่างฉับพลัน
ขณะเดียวกันมุมปากมู่เฉียนซีกระตุกอย่างแรง อาจารย์ฝึกสัตว์ผู้นี้ทําอะไรกัน ?!
นางดูออก เขาไม่มีความสามารถที่จะทำ ก็ยังรั้นที่จะรับทำ
“โฮกกกก!” ราชสีห์เพลิงคำราม มันถูกผู้ฝึกสัตว์อสูรผู้นั้นยั่วโมโหจนชนเข้ากับกรงอย่างบ้าคลั่ง
.