บทที่ 373

บทที่ 373

ถังหยินนำสมบัติจำนวนมากออกจากพระราชวัง และมอบพวกมันให้เจียงหลู เพื่อให้อีกฝ่ายใช้มันในการเจรจาเมื่อไปถึงชางจิง

…การทำธุระครั้งนี้ไม่ได้มีความเสี่ยงแต่อย่างใด มีเพียงก็แต่หนทางที่ยาวไกลเท่านั้น ดังนั้นเจียงหลูจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าถังหยินกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก กับการที่ลูกน้องของเขาจะต้องเดินทางคนเดียว ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้มอบหมายให้กลุ่มองครักษ์ส่วนตัวของเขาไปปกป้องเจียงหลู นอกจากนี้ก็ยังส่งหน่วยสอดแนมของเนตรเวหาและเครือข่ายใยพิภพไปกับเขาด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี

หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จ ถังหยินก็ได้วางแผนที่จะสั่งเดินทัพไปทางทิศใต้เพื่อเข้าโจมตีเมืองหวันของซ่งเทียน แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ก็ได้มีเรื่องบางอย่างแทรกเข้ามาเสียก่อน ทำให้แผนการของเขาต้องหยุดชะงักไป

ก่อนหน้านี้ เมื่อตอนที่ถังหยินและชิวเจิ้นคิดเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ตอนนั้นพวกเขาค่อนข้างแน่ใจว่าซ่งเทียนได้ทำการกวาดล้างคนจากตระกูลนั้นไปหมดแล้ว ทำให้ไม่มีผู้สืบทอดอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ถังหยินกำลังจะนำกองทัพของเขาไปโจมตีเมืองหวัน กลับดันมีคนป่าวประกาศไปทั่วเมืองหยาน อ้างว่าตนเป็นคนในตระกูลของจ้าวขึ้นมาเสียอย่างงั้น !

หลังจากที่ซ่งเทียนขึ้นครองอำนาจ สายเลือดตระกูลจ้าวทั้งหมดก็ได้ถูกกำจัดไปทั้งหมดเช่นกันไม่ใช่หรือไร ? ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแปลก ที่อยู่ ๆ ก็มีลูกหลานตระกูลจ้าวปรากฏตัวขึ้นมาแบบนี้ !

เมื่อตอนที่ข่าวไปถึงถังหยิน เขาก็กำลังพูดคุยเกี่ยวกับการโจมตีเมืองหวันกับบรรดาแม่ทัพนายกองและกุนซือนักยุทธศาสตร์ภายใต้คำสั่งของเขาอยู่ จึงทำให้ห้องโถงทั้งหมดอยู่ในความโกลาหล คนทั้งหมดต่างตกตะลึงและพากันหันมองไปยังถังหยิน

การแสดงออกของถังหยินไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินข่าว แต่ถ้วยน้ำชาในมือของเขากลับแตกละเอียดส่งเสียงแสบแก้วหู ส่วนน้ำชาในแก้วก็ไหลเลอะมือของเขา

“นายท่าน !”

ทหารยามที่อยู่ข้าง ๆ เขารีบก้าวมาข้างหน้าและยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ถังหยิน ก่อนที่ชายหนุ่มจะจัดแจงปัดเศษแก้วและเช็ดคราบน้ำ พร้อมกับหันมองไปยังนายทหารที่เข้ามารายงานด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง

“นายท่านถัง มันเป็นเรื่องจริงขอรับ ตอนนี้ผู้ที่เหลือรอดจากตระกูลจ้าวที่ว่าได้ถูกนำไปที่คฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านเหลียงแล้ว !” ผู้ส่งสารกล่าวอย่างเร่งด่วน

เหลียงฉีแอบยิ้มเมื่อเขาได้ยินและพึมพำในใจ ท่านพ่อช่างเป็นคนที่โลเลซะจริง ๆ! เพราะมันก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าท่านเองก็หมายตำแหน่งอ๋องเช่นกัน แต่ตอนนี้กลับพาผู้เหลือรอดจากตระกูลจ้าวไปที่จวนตัวเอง นั่นไม่ได้หมายความว่าท่านกำลังสร้างปัญหาให้ตัวเองใช่ไหม ?

เหลียงฉีเข้าใจดี ว่าในใจลึก ๆ แล้ว บิดาของเขาไม่ต้องการให้ถังหยินขึ้นเป็นอ๋อง เพราะนั่นจะทำให้อำนาจของตระกูลเหลียงสิ้นสุดลง ดังนั้นเมื่อมีปรากฏตัวของคนตระกูลจ้าวอย่างกะทันหัน มันก็ต้องทำให้พ่อของเขามีความสุขมากแน่ เพราะเขาคงกำลังคิดว่าตนเองสามารถขัดขวางเส้นทางของถังหยินได้สำเร็จแล้ว ….แต่มันจะง่ายขนาดนี้เชียวหรือ ?

ถังหยินขอให้ทหารยามของเขานำถ้วยชามาให้ จากนั้นชายหนุ่มก็ได้เอื้อมไปหยิบถ้วยชานั่นขึ้นมาจิบช้า ๆ และหลังจากที่จิตใจสงบลงแล้ว ถังหยินก็ได้เอ่ยปากถามออกมา “คนที่อ้างว่ามีสายเลือดตระกูลจ้าวคือใคร ในเมื่อพวกเขาทั้งหมดล้วนถูกฆ่าตายแล้ว และเหตุใดกัน ทำไมถึงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ?”

ทหารคนนั้นตอบว่า “เป็นผู้หญิงขอรับ นางมีนามว่าจ้าวหลิง ส่วนที่ว่าทำไมนางถึงรอดมาได้ ข้าน้อยเองก็ยังไม่รู้ขอรับ”

“โอ้ ?” ถังหยินเลิกคิ้วและถาม: “สตรีอย่างนั้นเหรอ ?”

“ขอรับ ! ข้าได้ยินมาว่านางอายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ” ทหารผู้นั้นตอบตามความเป็นจริง

ถังหยินพยักหน้า ก่อนจะหันมองไปที่แม่ทัพและกุนซือนักยุทธศาสตร์โดยรอบ

….ในความเป็นจริง มันไม่สำคัญว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะแม้แต่สตรีก็มีสิทธิ์ในการสืบทอดบัลลังก์ ตราบใดที่นางเป็นคนตระกูลจ้าวจริง ขอแค่อีกฝ่ายเต็มใจ ตำแหน่งอ๋องคนต่อไปก็จะตกเป็นของนาง !

“มีอะไรอยากที่จะพูดไหม ?” ถังหยินถามขึ้น

“อืม… ?” ในตอนนี้แม้แต่ชิวเจิ้นก็ยังจนคำพูด ด้วยไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีสมาชิกของตระกูลจ้าวปรากฏตัวขึ้น ! เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “นายท่านไม่ต้องกังวลไป ไม่มีใครทราบได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือเป็นทายาทจริงหรือไม่ บางที… นางอาจจะเป็นตัวปลอมก็เป็นได้ขอรับ !”

หลังจากได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น สำหรับเรื่องใหญ่เช่นนี้ความเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวปลอมนั้นต่ำเกินไป เพราะการแสร้งทำเป็นว่าเป็นลูกหลานของราชวงศ์ถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรงที่สุด ใครจะกล้าทำกัน ? ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ

ในเวลานี้ทหารอีกคนรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก เขาคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วรายงานข่าวให้กับถังหยิน “นายท่านขอรับ ท่านเสนาบดีอู่ขอเข้าพบท่านขอรับ !”

จิตใจของถังหยินสั่นคลอน เขารีบตอบรับในทันที “เชิญเขาเข้ามา”

“รับทราบขอรับ”

ทหารรีบวิ่งออกไปจากห้องโถง ไม่นานหลังจากนั้นอู่หยูก็ถูกกลุ่มทหารพาเข้ามาในห้องโถง

ชายชราไม่ได้มองไปที่คนอื่น ๆ เขาเพียงเดินตรงไปที่ด้านข้างของถังหยินและถามด้วยเสียงต่ำ “ไอ้หนูถัง เจ้าก็ได้ยินเรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหม ?”

ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร ถังหยินก็เข้าใจสิ่งที่อู่หยูกำลังถามได้ในทันที เขาตอบว่า “ข้าก็เพิ่งจะได้ยินนี่แหละ ท่านล่ะคิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไง..”

โดยไม่รอให้เขาพูดจบ อู่หยูก็พลันโบกมือตัดการสนทนา ในขณะเดียวกันเขาก็มองไปรอบ ๆ และพูดเบา ๆ ว่า “ไปคุยกันในห้องเถอะ”

ถังหยินฉลาดมาก เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น ก่อนที่จะเดินนำอู่หยูไปยังห้องด้านใน

อู่หยูระมัดระวังตัวมาก เขาปิดประตูตามหลังแล้วพูดกับถังหยิน “เรื่องนี้เป็นปัญหาแล้ว”

ถังหยินถาม “คนคนนั้นเป็นลูกหลานของท่านอ๋องคนก่อนจริง ๆ หรือ ?”

อู่หยูพยักหน้าอย่างหนักใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋องคนก่อนมีลูกสาวคนหนึ่งชื่อจ้าวหลิน ทว่านางนั้นเกิดจากสาวใช้ จึงทำให้ไม่เป็นที่ชื่นชอบเท่าใดนัก นอกจากนี้นางก็ได้หายตัวไปอย่างกะทันหันเมื่อตอนยังเด็ก และไม่เคยถูกพบเจออีกเลยหลังจากนั้น ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงทีเดียว ที่นางจะเป็นของจริง !”

ในขณะที่พูด อู่หยูก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ

จากก้นบึ้งของหัวใจ เขาไม่ได้ปรารถนาให้ถังหยินขึ้นเป็นอ๋องเลย ทว่าเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเห็นเหลียงซิงเข้าควบคุมแคว้นนี้เช่นกัน ! และจากเรื่องที่เกิดขึ้น มันก็แน่แล้วว่าเหลียงซิงคิดจะใช้จ้าวหลิงเป็นเครื่องมือในการกำจัดพวกเขา !!!

แม้ว่าปกติแล้วเหลียงซิงจะพูดคุยและหัวเราะกับเขาด้วยท่าทางสุภาพ แต่เมื่ออีกฝ่ายได้รับอำนาจ ทุกสิ่งย่อมไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน !

ถังหยินไม่ได้กังวลอะไรมากนักเกี่ยวกับเหลียงซิง เขาเอาแต่คิดว่าจ้าวหลิงที่ว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ “เนื่องจากจ้าวหลิงใช้ชีวิตอยู่นอกพระราชวังตั้งแต่ยังเด็ก ข้าเชื่อว่ามีคนไม่มากนักที่เคยเห็นหน้านาง งั้นแล้วนางใช้วิธีอะไรในการพิสูจน์ตัวตน ?”

อู่หยูกล่าวขณะที่เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “นางรู้จักเกือบทุกคนภายในตระกูล ทั้งชายและหญิง ไปจนถึงคนรับใช้ นอกจากนี้ นางยังมีจี้หยกที่ท่านอ๋องคนก่อนมอบให้ …มันเป็นของที่ไม่สามารถปลอมได้อย่าวแน่นอน ข้าคิดว่ามันเป็นเพราะเหลียงซิงเห็นจี้หยกนี้ เขาจึงเร่งรีบที่จะพาตัวนางกลับไปที่จวน !!!”

“บัดซบ !” หลังจากได้ยินสิ่งที่อู่หยูอธิบาย ข้อสรุปก็ชัดเจนว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นจ้าวหลิงตัวจริงอย่างแน่นอน

อู่หยูมองไปที่ถังหยินที่เดินไปมาในห้องและพูดแผ่วเบา “ตอนนี้เหลียงซิงกำลังรวบรวมคน อีกไม่นานเขาน่าจะประกาศเรื่องแต่งตั้งจ้าวหลิงขึ้นเป็นอ๋อง …ถังหยิน เจ้าต้องเตรียมการได้แล้ว ! ”

ถังหยินหันศีรษะจ้องตรงไปที่อู่หยู จากนั้นจึงถามออกไป “ท่านหมายถึง… ?”

“ตราบใดที่จ้าวหลิงอยู่ที่นี่ มันคงเป็นเรื่องยากมากที่เจ้าจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ เว้นแต่…?” อู่หยูไม่ได้พูดต่อ แต่ถังหยินเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาแล้ว

และเมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาของถังหยินก็พลันเป็นประกายแสงเมื่อเจตนาฆ่าของเขาพุ่งสูงขึ้น ถูกต้อง ! ถ้าเขาไม่กำจัดจ้าวหลิงซะ งั้นแล้วเขาก็จะไม่มีโอกาสอีก เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงก้าวไปที่ประตู ทำการยื่นมือออกไปดึงให้เปิดออกและตะโกนว่า “เฉิงจิน !”

“ข้าอยู่นี่แล้วขอรับ !”

เฉิงจินที่ยืนอยู่ในห้องโถงได้ยินเสียงตะโกนของถังหยิน และสะดุ้งตัวก่อนเร่งตอบรับพร้อมกับเดินเข้ามา

ทุกคนในห้องโถงมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาไม่ได้เป็นใบ้ แต่เมื่อถังหยินไม่ได้เรียกจึงเลือกที่จะอยู่เฉย และอีกอย่าง ปัญหานี้ก็คงมีแต่เฉิงจินที่สามารถแก้ได้ !

จางจี้ซึ่งเป็นหนึ่งในกุนซือนักยุทธศาสตร์กลอกตาและกล่าวกับชิวเจิ้นทันทีด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ “ท่านชิว ได้โปรดบอกนายท่านทีว่าอย่าทำเช่นนี้ มันจะทำให้ทั้งตัวท่านเองและกองทัพของเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจแก้ไขได้อีก”

อา ? ชิวเจิ้นสูดลมเย็น ๆ และพยักหน้ายอมรับอย่างเงียบๆ เพราะจางจี้พูดถูก ด้วยถ้าชายหนุ่มใช้กลุ่มศรทมิฬลอบสังหารจ้าวหลิง แม้ว่าแผนจะสำเร็จ แต่สักวันเรื่องก็ต้องแดงอยู่ดี เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชิวเจิ้นจึงก้าวยาว ๆ ไปที่ห้องด้านข้างโดยไม่พูดอะไร

แม้ว่าจางจี้จะเป็นหนึ่งในนักยุทธศาสตร์ที่สำคัญภายใต้คำสั่งของถังหยิน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ใกล้ชิดเท่ากับชิวเจิ้น ทำให้เมื่อมีบางอย่างที่ไม่กล้าพูดด้วยตัวเอง เขาก็ทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากชิวเจิ้นเท่านั้น

ขณะที่เฉิงจินเดินเข้ามาในห้องด้านข้างและกำลังจะปิดประตู ชิวเจิ้นก็เดินแทรกเข้ามา

ถังหยินไม่เข้าใจว่าชิวเจิ้นเข้ามาทำไม เขาจึงเงยหน้าขึ้นถามไปว่า “ชิวเจิ้น เจ้าจะท…?”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ชิวเจิ้นก็พลันเดินเข้ามาจับมือชายหนุ่มแล้วพูดว่า “นายท่าน อย่าจะดีกว่าขอรับ !”

“ทำไมกัน ?” ถังหยินตกตะลึง

ชิวเจิ้นปล่อยมือของเขาและปิดประตูอย่างแน่นหนาจากนั้นจึงถามเบา ๆ “ที่ท่านเรียกเฉิงจิง เป็นเพราะต้องหาให้พวกศรทมิฬไปลอบสังหารจ้างหลิงใช่ไหมขอรับ ?”

ไม่มีทางที่ถังหยินจะซ่อนอะไรจากเขาได้เลย ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้แต่พยักหน้ารับ “ใช่ ข้าตั้งใจเช่นนั้น”