บทที่ 374

บทที่ 374

“นายท่าน กรุณาอย่าผลีผลาม” ชิวเจิ้นกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าข่าวรั่วออกไป ?”

ถังหยินมองไปที่ชิวเจิ้นและถามว่า “แล้วยังไง ?”

ชิวเจิ้นหายใจเข้าลึก ๆ กล่าวว่า “วีรบุรุษทั้งหมดในอาณาจักรจะกบฏต่อพวกเราเหมือนกับพวกเราที่ต่อต้านซ่งเทียน ความพ่ายแพ้ของซ่งเทียนในวันนี้อาจวนซ้ำมาเป็นเราในวันพรุ่งก็เป็นได้”

ถังหยินแอบขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ตอบกลับทันที

อู่หยูที่อยู่ด้านข้างระเบิดเสียงหัวเราะและพูดช้า ๆ “ข้าคิดว่าคำพูดของท่านชิวรุนแรงเกินไป ! ข่าวลือนี้ยากนักที่จะหลุดออกไป และต่อให้หลุดไปจริง มันก็ไม่มีหลักฐานใด ดังนั้นท่านถังไม่เจอปัญหาใดแน่ !”

“ฮึ !” ชิวเจิ้นแค่นเสียงเย็นชา เหลือบมองอู่หยูด้วยหางตาและพูดแผ่วเบา “เนื่องจากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ท่านเลยกล้าที่จะแสดงความเห็นออกมาอย่างนั้นสินะ !”

“เจ้า.. ?” เขาไม่เคยคิดเลยว่าชิวเจิ้นจะกล้าพูดกับเขาแบบนั้นจริง ๆ และโดยไม่รออู่หยูที่กำลังเดือดดาล ชิวเจิ้นก็พลันหันไปพูดกับถังหยินต่อ “ถ้าจ้าวหลิงตาย นี่ก็ถือเป็นหลักฐานชั้นดีที่สุดแล้ว และเมื่อข่าวลือแพร่กระจายมันจะไม่อาจควบคุมได้อีก ชาวเมืองจะพากันไม่พอใจนายท่าน ส่วนเส้นทางแห่งอำนาจของท่านก็จะไกลออกไป” ในขณะที่พูด สายตาของชิวเจิ้นก็หันจับจ้องไปยังอู่หยูซึ่งอยู่ด้านข้าง

อู่หยูไม่ใช่คนหัวทึบ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าชิวเจิ้นแอบหมายถึงตน ? “ชิวเจิ้น ! เจ้ากล้าดียังไง !!”

ชิวเจิ้นโต้กลับคำนั้นด้วยการโบกมือปัดและพูดอย่างเย็นชา “ข้าคิดว่ามันชัดเจนที่สุดแล้ว ดังนั้นมันก็แล้วแต่ว่าท่านจะคิดเช่นไร”

“เจ้า… ?”

“เอาล่ะ… !” ถังหยินรู้สึกปวดหัวจากการที่ทั้งสองคนเถียงกัน เขาร้องห้ามทั้งสองคนแล้วเอามือไพล่หลังเดินไปรอบ ๆ ห้อง

อู่หยูต้องการกำจัดจ้าวหลินโดยทันทีและกวาดล้างอุปสรรคในเส้นทางการเป็นอ๋องไปให้หมด สิ่งนี้สมเหตุสมผล เพราะถ้าจ้าวหลิงยังไม่ตาย มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะขึ้นเป็นอ๋อง แต่ความกังวลของชิวเจิ้นก็ไม่ผิดเช่นกัน ด้วยถ้าจ้าวหลิงเสียชีวิต เขาก็จะกลายเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดต่อให้ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนก็ตาม !!

มันลำบากมาก ! ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ราบรื่นดีแท้ ๆ แล้วจู่ ๆ คนแบบนี้จะโผล่มาได้ยังไงกัน ! ถังหยินไม่ได้พูดและเอาแต่เดินก้มหน้าโดยเอามือไพล่หลัง ทำให้อู่หยูและชิวเจิ้นเป็นกังวลขึ้นมา “ไอ้หนู/นายท่าน !?”

ถังหยินยกมือขึ้นหยุดทั้งสองไม่ให้พูดคำใดออกมา และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็พลันเงยหน้าขึ้นและพูดกับเฉิงจิน “เฉิงจิน จงทำตามคำสั่งของข้า ส่งแม่ทัพกับทหาร 2 หมื่นนายของกองทัพปิงหยวนไปยังจวนของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของชิวเจิ้นก็พลันเปลี่ยนสีไป ด้วยนี่มันคืออะไรกัน ? นี่เขาคิดจะส่งคนไปฆ่าตอนกลางวันแสก ๆ เลยงั้นหรือ !? มันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองชัด ๆ!

ความคิดและการแสดงออกของอู่หยูกับชิวเจิ้นนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของอู่หยูทำการพยักหน้าซ้ำ ๆ และกล่าวว่า “ไอ้หนูนี่เป็นคนเด็ดขาด” และถ้าไม่ใช่เพราะคำเตือนของชิวเจิ้น เขาก็คงไม่เคยคิดเลยว่าถ้าถังหยินคิดฆ่าจ้าวหลิงจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากขนาดนี้ ด้วยเมื่อจ้าวหลิงเสียชีวิต ถังหยินก็ไม่สามารถสลัดความรับผิดชอบของตนได้ !

ตราบใดที่มีคนแอบยุยงพวกเขา ชาวโลกก็จะรวมตัวกันอย่างแน่นอน และในเวลานั้นถังหยินก็จะถึงทางตัน ส่วนบัลลังก์ก็จะกลายเป็นโอกาสของเขาที่จะคว้ามันไว้ !

เมื่อได้ยินคำสั่งของถังหยิน เฉิงจินก็โค้งคำนับรับทราบในทันที ก่อนที่เขาจะมองไปยังอู่หยูและชิวเจิ้นที่มีการแสดงออกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและถามอย่างไม่แน่ใจ “นายท่าน… หมายถึง…ท่านต้องการเข้าไปในจวนของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย เพื่อพาบุคคลนั้นมา หรือต้องการให้เข้าไปลอบสังหารขอรับ ? ”

ถังหยินขมวดคิ้ว เขาจ้องไปที่เฉิงจินแล้วพูดว่า “ข้าบอกเหรอว่าให้เจ้าไปลอบสังหาร ? จงไปปกป้องจวนของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายให้ดีโดยเฉพาะจ้าวหลิง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนาง… พวกเจ้าได้หัวหลุดแน่ ! จงไปรายงานแบบนี้ซะ !”

หลังจากได้ยินคำสั่งของถังหยิน อู่หยูและชิวเจิ้นก็ต่างตกตะลึง เช่นเดียวกับเฉิงจินที่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะถามออกมาว่า “หมายถึงให้ไปคุ้มกันจ้าวหลิงสินะขอรับ ?”

ถังหยินเอียงศีรษะและถาม “ไม่เข้าใจตรงไหนหรือไง ?”

“เข้าใจแล้วขอรับ !” เฉิงจินยืนยันได้ในที่สุดว่าถังหยินไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าจ้าวหลิง เขาคำนับด้วยความเคารพ และรีบออกจากห้องไปหามูฉิงในทันที

ช่วงเวลาที่เฉิงจินจากไป ถังหยินก็ได้เรียกให้ทหารยามด้านนอกเข้ามา และบอกให้พวกเขาเตรียมชุดทางการของเขา

ตอนนี้อู่หยูไม่เข้าใจเจตนาของถังหยินเลย เขาอยากที่จะไขข้อสงสัยนี้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองของถังหยิน เขาก็ได้แต่กลืนคำพูดลงไป ก่อนจะเป็นถังหยินที่พูดออกมาว่า “ถ้าจ้าวหลิงคนนี้เป็นตัวจริง งั้นแล้วนางก็ถือว่าเป็นสายเลือดของอดีตอ๋องคนก่อน ด้วยฐานะของข้าตอนนี้ ข้าควรปกป้องนางให้ดี อย่างไรก็ตาม คำพูดเพียงไม่กี่คำของนางเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะยืนยันตัวตนของนางได้ ดังนั้นข้าจึงต้องเข้าไปในวังเพื่อที่จะได้ยืนยันสิ่งนี้ด้วยตัวเอง !”

คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความชอบธรรม ราวกับว่าเขาภักดีต่อตระกูลจ้าวอย่างแท้จริง ทำให้อู่หยูรู้สึกสับสนกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของถังหยิน ในขณะที่หัวใจของชิวเจิ้นรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เช่นเดียวกับดวงตาของเขาที่สว่างวาบ เพราะเจ้านายของเขาไม่ได้ทำอะไรทื่อ ๆ อย่างที่ปรามาสไว้ในใจ !

ทหารยามเร่งนำเสื้อคลุมทางการของถังหยินมา และช่วยให้เขาสวมอย่างรวดเร็ว

ตำแหน่งอย่างเป็นทางการในปัจจุบันของถังหยินก็ยังคงเป็นผู้ว่ามณฑล ดังนั้นเสื้อคลุมทางการที่เขาสวมใส่จึงอยู่ในชุดของผู้ว่ามณฑล ที่ประกอบไปด้วยมงกุฎหยกอยู่บนศีรษะและเสื้อคลุมยาวสีดำ กับเข็มขัดหยกรอบเอวและรองเท้าบูตสีดำ ทำให้ภาพลักษณ์ของถังหยินในตอนนี้ยิ่งดูสง่างามและเยือกเย็นยิ่ง !!!

อู่หยูอยากไปกับเขาด้วย แต่ถังหยินปฏิเสธอย่างสุภาพ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านเสนาบดีควรไปที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายและรอข่าวของข้า ! ในพระราชวังด้านหลังยิ่งมีคนน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นข้ออ้าง แต่เนื่องจากเขาพูดแบบนั้น อู่หยูก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ได้แต่ลุกขึ้นและกล่าวคำอำลา

หลังจากที่อู่หยูจากไป ถังหยินก็ไม่ได้อยู่ในที่พักของตัวเองต่อ เขาเรียกให้ทหารยามเตรียมรถม้าทันที ก่อนจะพาชิวเจิ้นและสองพี่น้องฉางกวนตรงไปที่วังหลวง

ตลอดทางชิวเจิ้นต้องการถามถังหยินเกี่ยวกับความตั้งใจของเขา แต่เมื่อเห็นว่าหน้าของถังหยินหมองหม่น และเหมือนไม่ต้องการที่จะพูด เด็กหนุ่มก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไร

ไม่นานรถม้าก็มาถึงทางเข้าวัง และภายใต้การคุ้มกันของทหารจำนวนมาก ถังหยินก็ได้แต่ลงจากรถม้า โดยให้ชิวเจิ้นและคนที่เหลือรออยู่นอกประตูวัง

หลังจากเข้าไปในพระราชวังแล้ว ถังหยินไม่ได้เดินไปไกลมากนัก และเมื่อเห็นสาวใช้ในวังสองคนกำลังรีบเดินผ่านไป เขาก็ได้เอื้อมมือออกและตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน !”

สาวใช้ในวังทั้งสองจำถังหยินได้ เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวในวังและร้องเรียกหา ใบหน้าของหญิงสาวทั้งสองก็พลันเปลี่ยนไป ก่อนที่พวกนางจะเดินเข้ามาหาและโค้งคำนับด้วยความเคารพ ขณะที่พูดด้วยเสียงต่ำ “ท่านถัง !”

“ใช่ ข้าเอง !” ถังหยินพยักหน้า มุมปากของเขายกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มหลอกลวง “พวกเจ้าสองคนรู้ไหมว่าฮัวหลงอยู่ที่ไหน ?”

เมื่อได้ยินว่าเขาไม่ได้มองหาปัญหาใด สาวใช้ทั้งสองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทั้งสองคนพยักหน้าซ้ำ ๆ “รู้เจ้าค่ะ ๆ!”

“พาข้าไปที !”

“เจ้าค่ะ ท่านถังหยิน !”

นางกำนัลทั้งสองไม่กล้าที่จะรอช้า พากันนำทางและพาถังหยินไปยังตำหนักที่ฮัวหลงพำนักอยู่ในทันที

ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ถังหยินไม่มีสิทธิ์เข้าวังหลังด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขามีอำนาจอยู่ในมือ และแม้แต่ทหารยามวังก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าหยุดชายหนุ่ม

นางกำนัลทั้งสองพาถังหยินเดินลึกเข้าไปเรื่อย ก่อนที่เขาจะได้พบเข้ากับตำหนักของฮัวหลงในมุมที่เงียบสงบ

แม้ว่าจะเรียกตำหนัก แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นก็เพียงอาคารที่ขนาดค่อนข้างใหญ่เท่านั้น และยิ่งอยู่ในสถานที่หรูหราเช่นพระราชวังแห่งนี้ด้วยแล้ว มันก็ยิ่งดูธรรมเข้าไปใหญ่ !

….แม้จะเป็นกลางวันแสก ๆ แต่ที่นี่กลับค่อนข้างเย็นและร่มรื่น

ฮัวหลงอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้นี่เอง ถังหยินยิ้มให้กับสาวใช้ในวังที่นำเขามาและหยิบแท่งเงิน 2 แท่งออกมาจากอกมอบให้พวกนาง “ขอใจมาก นี่ของรางวัล”

เมื่อมองไปยังเงินที่ถังหยินมอบให้ เด็กสาวทั้งสองต่างก็ทั้งประหลาดใจและมีความสุข จากนั้นเมื่อมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม พวกนางก็ดูเหมือนจะเหม่อลอยเล็กน้อย ดังนั้นถังหยินจึงเร่งยัดเงินใส่มือทั้งสองคน ก่อนที่จะไล่คนทั้งคู่ให้ไปเสีย

“ท่านถังใจดีผิดกับซ่งเทียนเลยเนอะ ?” หลังจากที่ถังหยินเดินไปไกลแล้ว สาวใช้ทั้งสองก็จึงฟื้นคืนสติได้ ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจขณะมองแท่งเงินในมือ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงรอบข้างเงียบเกินไปหรือเสียงของเขาเองดังเกินไป สาวรับใช้ทั้งสองของฮัวหลงจู่ ๆ ก็เดินออกมาต้อนรับชายหนุ่ม “ทำไมท่านถังถึงมาอยู่ที่นี่เจ้าคะ ?”

ถังหยินแอบขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาที่นี่โดยตั้งใจที่จะซ่อนตัว แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ทุกคนรู้ ! ทว่ามันก็ไม่ทันแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่พูดอย่างเฉยเมยและหัวเราะ “ข้ามาหาฮัวหลง รบกวนพวกเจ้าสองคนบอกนางเช่นนั้นได้หรือไม่ !”

“ได้เจ้าค่ะ รอซักครู่นะเจ้าคะ นายหญิงกำลังพักผ่อนอยู่”

ถังหยินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกลอกตาของเขาไปมา ด้วยมันเป็นเวลาประมาณ 10 นาฬิกาเท่านั้น และการงีบหลังในช่วงเวลานี้ก็ถือว่าเร็วมาก !

ไม่นานหลังจากที่สาวใช้ทั้งสองเข้าไป พวกนางก็ได้กลับออกมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม “ท่านถัง เชิญด้านในเจ้าค่ะ…”

“รบกวนพวกเจ้ามากแล้ว” ถังหยินตอบอย่างสุภาพและก้าวผ่านประตูเข้าไปในห้องโถง ‘เมื่อเร็ว ๆ นี้รู้สึกว่ากลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำร้ายจมูกของข้า …ที่แท้มันก็คือกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์จากร่างกายของฮัวหลงนี่เอง !’