น่าหลานอวี้ที่ยืนมองอยู่ในมุมมืด เมื่อเห็นฉากนี้เข้าถึงกับตกตะลึง สตรีผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก เขารู้อยู่แล้วว่านางไม่มีทางออกนอกเมืองอย่างไร้เหตุผลและปล่อยให้ตนต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ ที่แท้นางก็ล่อเหยื่อให้มาติดเบ็ดเช่นนี้นี่เอง
น้ำเสียงของมู่เฉียนซีแปรเปลี่ยนกลายเป็นเย็นชา “ว่าอย่างไร ท่านจะยอมเอาออกมาหรือไม่ ?”
ชายผู้ดูดุร้ายในเวลานี้แทบร่ำไห้ เขากล่าวถาม “เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเป็นโจรให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเล่า ?”
มู่เฉียนซี “การเป็นโจรมันไม่มีอนาคต ตอนนี้อาชีพที่ข้าทำมีอนาคตกว่าโจรมาก ข้าว่าทางที่ดี ท่านเอาของมีค่าออกมาให้ข้าดี ๆ เสียเถอะ”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็คว้าเอามาไม่ได้ อีกทั้งทรัพย์สินเงินทองที่นำติดตัวมายังถูกปล้นไปหมดตัว ช่างเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมร้ายเสียจริง
มู่เฉียนซีเหลือบมองเหล่าคนใต้บัญชาของบุรุษรุ่นลุงใบหน้าดำ นางกล่าวอย่างเย็นชา “พวกเจ้ารีบไสหัวไปให้เร็วเลย! อีกครึ่งค่อนวันพิษจะคลายลง อย่าอยู่ให้เสียเวลาข้า ข้าจะออกล่าเหยื่อรายต่อไป”
ได้ยินช่นนี้แล้วมุมปากของพวกเขากระตุกขึ้นทันที นางได้ไปเยอะเช่นนี้แล้วยังคิดจะปล้นคนอื่นอีกหรืออย่างไร ?!
คนที่โลภต่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในแคว้นชิงไม่ได้มีเพียงคนสองคนอย่างแน่นอน มีหรือมู่เฉียนซีจะยอมเสียโอกาสหอมหวานเช่นนี้ไป
“หากสตรีเยาว์วัยผู้นั้นเข้าไปในป่านี้แล้ว จับตัวนางมาให้ข้าให้ได้ อย่าให้นางพาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนีไปได้เป็นอันขาด”
“ขอรับนายท่าน”
— ฟิ้ว! —
ในตอนนี้นั้น ร่างสีม่วงโรยตัวลงมาจากบนต้นไม้ มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ยพลางกล่าว “พวกเจ้ากำลังตามหาข้าอยู่หรือไม่ ?”
พวกเขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก รอยยิ้มที่บอบบางของสตรีผู้นี้ถึงกับทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือกและสั่นเทิ้มไปทั้งร่างได้
“สาวน้อยคนนี้ ใช่แล้ว”
คนหลายสิบคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นราชาแห่งภูตทั้งสิ้น พวกเขาไม่รอช้า เข้าล้อมมู่เฉียนซีเอาไว้หมดแล้ว
“แม่สาวน้อย มอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาให้พวกข้าเดี๋ยวนี้”
มู่เฉียนซีตอบโต้ไม่เกรงกลัว “เอาให้พวกเจ้าเช่นนั้นรึ ? พวกเจ้าคิดจะซื้อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากข้าด้วยราคาเท่าไหร่กันล่ะ ?”
“ข้าไม่ให้แม้แต่หยิบมือเดียว หากเจ้ามอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้ข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่หากเจ้าไม่ยอมให้ แม้แต่ชีวิตเจ้าก็ไม่มีเหลือ”
คนกลุ่มนี้ไร้มารยาทกว่ากลุ่มเมื่อครู่ยิ่งนัก
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงแข็ง “พวกเจ้าคิดจะบีบบังคับกันเช่นนี้เลยรึ ?”
“แล้วเจ้าจะทำไมเล่า ? คิดจะขัดขืนรึ ?”
“หืม! ข้าเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียว เป็นเพียงแค่จอมภูตธรรมดา ๆ จะเอาปัญญาที่ไหนขัดขืนผู้ที่มีอำนาจและทรงพลังอย่างพวกเจ้าได้ อา… เพื่อแลกกับชีวิตน้อย ๆ ของข้า ข้าจะยอมมอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเจ้าก็ได้”
เมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้ายินยอมโดยง่าย พวกเขากล่าวเยาะเย้ยทันที “เจ้ามันช่างโง่เง่ายิ่งนัก! ตอนที่เจ้าออกมาจากป่าล่าสัตว์ มีราชสำนักคอยปกป้องแต่เจ้ากลับไม่ยอมขาย แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร ? ฮ่า ๆ ๆ โง่จริง ๆ”
“หากเจ้าไม่ขายแล้วหนีเอาตัวรอดไปหลบที่จวนกั๋วกงก็สิ้นเรื่อง แต่เจ้ากลับกล้าออกมานอกเมือง สมน้ำหน้าเจ้าแล้วที่โดนดักปล้นเช่นนี้”
คนพวกนี้ไม่เพียงแต่มาปล้น ยังดูหมิ่นดูแคลนความฉลาดของมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีมุมปากกระตุกเล็กน้อยพลางลอบคิดในใจ ‘เหอะ! ตัวพวกเจ้าเองน่าภูมิใจมากแล้วหรือไร ? ผู้ใดกันแน่ที่ไร้สมองเดี๋ยวได้รู้กัน’
มู่เฉียนซีกล่าว “นี่คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเจ้าใคร่อยากจะได้ไปครอง มาเอาไปได้เลย”
เอาอีกแล้ว นางล่อปลาให้ติดเบ็ดได้อีกคราแล้ว
สิงโตอัคคีถูกเลี้ยงอย่างเกียจคร้านอยู่ในกรงสัตว์อสูร สตรีผู้นี้เอาตัวมันเป็นเหยื่อเพื่อหลอกล่อเหล่าบรรดาคนโง่งมเหล่านี้ให้มาติดกับ มันรู้สึกจนปัญญากับสตรีนางนี้ยิ่งนัก
เมื่อพวกเขาเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่องเช่นนี้แล้วก็อดใจรอไม่ไหว รีบพุ่งพรวดเข้าไปเอาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทันที
พวกเขาล้อมรอบสิงโตอัคคีเอาไว้ หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าใช่ พวกเขาจึงกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “แม่สาวน้อย ต่อไปเจ้าก็รู้จักฉลาดกว่านี้สักหน่อยนะ คราวหน้าจะได้ปกป้องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้”
“แต่ข้าว่าคนที่ต้องเรียนรู้ความฉลาดคงจะเป็นพวกเจ้ามากกว่า ในเมื่อพวกเจ้ารู้ว่าการกระทำของข้าไม่ใคร่จะสอดคล้องกับความน่าจะเป็น เช่นนั้นพวกเจ้าก็คงจะรับรู้ได้ถึงอันตรายบางอย่างใช่หรือไม่ ?”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
ไม่นานนักเสียงระเบิดก็ดังสนั่นขึ้นบริเวณรอบ ๆ ควันดำโขมงลอยเข้ามาปกคลุมพวกเขาเอาไว้
“แค่ก ๆ”
“มีพิษ! มันมีพิษ!”
“รีบกลั้นหายใจเอาไว้เร็ว!”
พิษของหมอปีศาจมิอาจต้านทานได้ด้วยการกลั้นหายใจ พลังวิญญาณของพวกเขาใช้ไม่ได้ในขณะนี้ สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนไปทันที
หลังจากที่ควันพิษสีดำสลายหายไป พวกเขาก็เห็นร่างอันงดงามและบอบบางของสตรีชุดม่วงเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา
มู่เฉียนซีนำสิงโตอัคคีเก็บเอาไว้ในพื้นที่มิติของนางดังเดิม ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “เจ้ากล้าดียิ่งนักที่มาบอกว่าข้าโง่เง่า ไหนเจ้าลองบอกข้าสิว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่โง่ ?”
“แค่ก ๆ”
พวกเขาโกรธแทบลมจับ ต่างพากันชี้หน้าต่อว่ามู่เฉียนซี ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “จะ… เจ้ามันน่ารังเกียจ ช่างไร้ยางอายเป็นที่สุด…”
“เจ้าเล่ห์นัก!”
“เจ้าทำอะไรกับพวกข้า ?”
สตรีที่พวกเขาคิดว่าโง่ กลับกลายเป็นพวกเขาเองที่ตกหลุมพรางนางเข้าเสียแล้ว คนที่โง่งมที่สุดก็คือพวกเขา!
แต่มารู้ความจริงเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “เอาของมีค่าออกมาให้หมด แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า แต่หากว่าพวกเจ้าไม่ยอมให้ ข้าก็จะปล่อยให้พวกเจ้าตายด้วยยาพิษนี่”
ในขณะเดียวกันนั้นก็มีคนผู้หนึ่งพรวดเข้าหามู่เฉียนซี “เจ้า! ต่อให้ข้าไม่มีพลังวิญญาณ ข้าก็ไม่ยอมแพ้เจ้าง่าย ๆ เด็ดขาด!”
“บุปผาหลั่งสายฝน!”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
พวกเขาผู้ที่มีพลังวิญญาณในตอนนี้ ถูกกระบวนท่าบุปผาหลั่งสายฝนของมู่เฉียนซีไปเต็ม ๆ
“จอมภูตพลังธาตุวารี!”
“จอมภูตระดับแปด นางเด็กผู้นี้อายุอานามไม่กี่ปี กลับเป็นถึงจอมภูตระดับแปดรึ ?”
“…”
ถึงอย่างไรพวกเขาก็รู้สึกแย่อย่างมากที่โหดเหี้ยมกับนาง มาถึงตอนนี้ พวกเขาถูกอัจฉริยะอย่างนางเล่นงานจนน่าสังเวช
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ต้องพยายามขัดขืนไปหรอก เอาออกมาซะดี ๆ ของมีค่านำเอาออกมาซะ!”
ภายใต้ดวงตาเย็นยะเยือกและภายใต้พิษที่เจ็บปวดนี้ พวกเขาทำได้เพียงแค่ยอมเอาของมีค่ามอบให้นางแต่โดยดี
มู่เฉียนซี “ดี จากนี้พวกเจ้าไสหัวไปได้ ข้าจะรอพวกโง่งมกลุ่มถัดไป”
หากไม่ละโมบโลภมาก ก็จะไม่ประสบกับการสูญเสียอย่างหนักเช่นนี้ แต่บังเอิญว่าคนละโมบโลภอยากจะได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีเยอะยิ่งนัก ผลสุดท้ายก็ถูกปล้นเสียจนสิ้นเนื้อประดาตัวเช่นนี้
ราชสำนักและสำนักนิกายใหญ่ ๆ ยังพอมีความฉลาดอยู่บ้าง พวกเขาถูกปล้นไปแล้วครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าไม่อยากจะโดนปล้นเป็นครั้งที่สอง
พวกเขาคิดว่าจะปล้นของของท่านผู้นำตระกูลมู่ไปได้ง่าย ๆ เช่นนั้นรึ ? ฝันไปเถอะ!
ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่เคยเจอดี ยังคงคิดลงมือกับผู้นำตระกูลมู่ ต่างก็ได้รับบทเรียนอย่างน่าสังเวชกันไปตาม ๆ กัน
เมื่อการต่อสู้แย่งชิงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาถึงจุดสิ้นสุด ทันใดนั้นร่างสีขาวพลันปรากฏตัวออกมา
น่าหลานอวี้ถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้าคิดว่าตัวข้าเจ้าเล่ห์เพทุบายและโหดเหี้ยมอย่างมากแล้ว ทว่าคนอย่างเจ้า มูเฉียนซี เจ้าเจ้าเล่ห์และโหดร้ายกว่าข้ามากนัก”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “นายน้อยน่าหลาน ขอบใจเจ้ามากสำหรับคำชมนี้ เจ้าจะซื้อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของข้าไหมล่ะ ?”
น่าหลานอวี้ร่นตัวถอยหลังเล็กน้อย รีบกล่าวทันที “เดิมทีตัวข้าก็คิดอยากจะได้เช่นกัน ข้าขาดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อก่อนข้ามีสัตว์วิญญาณ แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์นับวันมันยิ่งหายากขึ้นทุกที ข้าจึงพาลไม่ชอบมัน”
“มาตอนนี้ข้าเห็นเจ้าหลอกลวงผู้คน ข้าไม่สนใจแล้วดีกว่า…”
มู่เฉียนซีกล่าว “แต่ข้าขายให้เจ้าได้ หากเจ้าให้ในสิ่งที่ข้าต้องการ”
น่าหลานอวี้หยุดชะงักไป กล่าวถามอย่างสนใจ “เจ้าใคร่อยากจะได้อะไรรึ ?”
มู่เฉียนซี “วันนี้ข้าเห็นท่านปรมาจารย์จางที่เป็นผู้ฝึกสัตว์วิญญาณให้เชื่องผู้นั้นแล้วข้าเกิดความสนใจยิ่งนัก เจ้าพอจะรู้วิธีฝึกสัตว์วิญญาณให้เชื่องหรือไม่ ? หากมี บอกหรือสอนให้ข้าได้รับรู้ แล้วข้าจะมอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ให้กับเจ้า”
น่าหลานอวี้กล่าววาจาตะกุกตะกักด้วยความประหลาดใจ “จะ… เจ้า นี่เจ้าคิดจะเรียนรู้วิธีการฝึกสัตว์วิญญาณรึ ?”
“ไม่ต้องเอ่ยถามให้มากความ เจ้าบอกข้ามาตรง ๆ เถอะว่าเจ้ามีวิธีหรือไม่มี”
หากนางเรียนรู้วิธีฝึกสัตว์วิญญาณได้ นางก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ให้กับตระกูลมู่ได้ กำลังการต่อสู้ของตระกูลมู่ในตอนนี้ห่างไกลกับสำนักนิกายอันดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียนอยู่มาก หากค่อย ๆ ฝึกด้วยวิธีนี้ ต่อให้มียาวิญญาณคอยเพิ่มพลัง ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี เวลาตั้งเป็นสิบปีนางไม่อาจรอได้
นางมีเวลาเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น