น่าหลานอวี้กล่าว “ข้ามีตำราการฝึกสัตว์วิญญาณอยู่เล่มหนึ่งพอดี แต่เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าจะเอาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้มาแลกกับอะไรที่ไม่มีผลเช่นนี้ ?”
การฝึกสัตว์วิญญาณนั้นใช่จะฝึกกันได้ง่าย ๆ นอกจากจะมีวิชาแล้ว ยังต้องมีพรสวรรค์ประกอบด้วย กอปรกับต่อให้มีสองสิ่งดังกล่าว หากไม่มีปรมาจารย์คอยชี้แนะก็มิอาจฝึกได้
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่แยแส “ในเมื่อเจ้ามี เช่นนั้นก็เอามาแลกเถอะ”
น่าหลานอวี้ถึงกับขมวดคิ้ว “หืม ? เจ้าแน่ใจรึว่าจะไม่หลอกลวงข้าเหมือนที่หลอกคนเหล่านั้น ?”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “น่าหลานอวี้ เจ้าเป็นถึงนายน้อยแห่งบ้านประมูลอันดับหนึ่งแต่เจ้าไม่มีความเชื่อมั่นในการทำการค้าแม้แต่น้อย เจ้ารีบหาเส้นบะหมี่มาผูกคอตัวเองตายเสียเถอะ”
น่าหลานอวี้ “หากแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนอื่นข้าไม่มีปัญหา แต่กับคนอย่างเจ้านั้น…” เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่นางหลอกลวงคนพวกนั้นแต่ละกลุ่มแล้ว น่าหลานอวี้รู้สึกว่าตนเองควรระวังตัวสักหน่อยก็จะดี
“ตกลงเจ้าจะแลกหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถามเชิงกดดัน
“แลก ข้าแลก!” น่าหลานอวี้รีบตกลง เขาจะพลาดโอกาสดี ๆ คุ้มค่าเช่นนี้ได้อย่างไร ?
น่าหลานอวี้เอาตำราเก่า ๆ เล่มสีเหลืองออกมาพลางกล่าว “มันคือเล่มนี้ แต่หากเจ้าสนใจจริง ๆ ก็ไปบ้านประมูลอับดับหนึ่งกับข้า ที่บ้านประมูลอันดับหนึ่งมีปรมาจารย์ฝึกสัตว์วิญญาณอยู่ท่านหนึ่ง ข้าจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก”
มู่เฉียนซีกล่าว “ตอนนี้ข้ายังไม่มีเวลาไปแคว้นเฉียนเซี่ย”
อาการของท่านอาเกรงว่าจะกำเริบได้ตลอดเวลา หากยังควบคุมพิษนั่นไม่ได้ นางไม่กล้าจากไปหลาย ๆ วัน
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายนัก”
มู่เฉียนซีส่งมอบสิงโตอัคคีให้กับน่าหลานอวี้พลางกล่าวขึ้น “เจ้ารีบทำพันธสัญญาเถอะ หากมีคนมาแย่งมันไป ข้าไม่อาจมารับผิดชอบหลังการแลกเปลี่ยนให้เจ้าได้”
เมื่อน่าหลานอวี้ได้ทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้สำเร็จแล้ว เขารู้สึกเหลือเชื่อนัก สตรีผู้นี้ก็เป็นคนที่รักษาสัจจะได้ดี นางไม่หลอกลวงอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีเห็นน่าหลานอวี้ทำท่าทางราวกับเห็นผีสางยามกลางวัน มุมปากของนางพลันกระตุกในทันใด “น่าหลานอวี้ เจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีกรึ ?”
น่าหลานอวี้กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “เชื่อคนโหดเหี้ยมอย่างเจ้า ไม่รู้ว่าข้าจะต้องตายอย่างไร เรื่องนี้ข้าก็พอรู้อยู่บ้าง”
ดวงตามู่เฉียนซีปรากฏแสงอันตรายวาบขึ้น “น่าหลานอวี้! ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ คราหน้าเจ้าก็ระวังตัวเอาไว้ ข้าจะหลอกเจ้าให้เจ้าตายอย่างน่าอนาถเลยคอยดู”
ครั้งนี้มู่เฉียนซีนางถือว่าตนได้กำไรมามากล้นเหลือคณานับ นางเตรียมพร้อมที่จะกลับไปยังหอหมอปีศาจเพื่อพักผ่อนเอาแรงสักเล็กน้อย
“รอข้าด้วย…” น่าหลานอวี้ตามนางไป
“เจ้าตามข้ามาทำไมรึ ?” มู่เฉียนซีเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ข้าจะกลับไปที่หอหมอปีศาจ จะไปดูว่ามู่ซีเปิดหอหมอปีศาจแล้วหรือยัง” น่าหลานอวี้กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ
มู่เฉียนซีสวนกลับทันควัน “เจ้าเลิกคิดเสียเถอะ เขายังไม่เปิด ไม่แน่อาจจะปิดเดือนสองเดือนกระมัง”
น่าหลานอวี้รู้สึกต้องการจะแย้ง ท่าทางของสตรีตรงหน้าเขามันฟ้องว่านางโป้ปด “เจ้าต้องโกหกข้าเป็นแน่ ข้าจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง”
มู่เฉียนซีทำได้เพียงส่ายหน้า ต่อมานางกับน่าหลานอวี้ก็กลับไปยังหอหมอปีศาจด้วยกัน
เมื่อมาถึงหอหมอปีศาจ น่าหลานอวี้รอหมอปีศาจในตำนานเปิดตึกหมอปีศาจ ทว่าก็ไม่มีวี่แววว่าจะเปิด เขาจึงจำใจต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง
……
หลังจากที่การประชุมการล่าสัตว์สิ้นสุดลง จวนกั๋วกงเกิดเรื่องขึ้น
นายท่านไป๋แห่งจวนกั๋วกงผู้ที่เป็นท่านพ่อของไป๋มู่เฟิงถูกลักพาตัวไป ไป๋จื้อเฉิงเคยได้ชื่อว่าเป็นคนไม่เอาไหนแห่งแคว้นชิง เป็นคนมั่วสุมเสพสูบยาเคล้าคลอแต่สุรานารีจนนับวันร่างกายแย่ลงไปทุกที การฝึกฝนวิชาก็ย่ำแย่จนทำให้ไป๋กั๋วกงกรุ่นโกรธถึงกับไม่ยอมมอบตำแหน่งท่านผู้นำให้กับเขา
แต่ยังนับว่าโชคดีที่ไป๋จื้อเฉิงไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปหมดเสียทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ให้กำเนิดหลานชายให้กับไป๋กั๋วกงนั่นก็คือ… ไป๋มู่เฟิง
ไป๋มู่เฟิงถูกเลี้ยงดูโดยไป๋กั๋วกงตั้งแต่ยังเล็ก เขาถูกไป๋กั๋วกงอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย อีกทั้งพรสวรรค์ในการฝึกวิชาของไป๋มู่เฟิงก็นับว่าดียิ่งนัก ไป๋กั๋วกงจึงไม่รอช้า มอบตำแหน่งท่านผู้นำรุ่นต่อไปให้กับหลานชายคนนี้
ถึงแม้ว่าไป๋จื้อเฉิงจะเป็นคนเสเพลไม่เอาไหน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื่อไขของไป๋กั๋วกง
ไป๋กั๋วกงกับไป๋มู่เฟิงรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครในชิงตูกล้าทำเรื่องที่โจ่งแจ้งเช่นนี้มาก่อน มีข่าวมาจากผู้ที่ลักพาตัวแจ้งมาว่าคืนนี้ให้ไป๋มู่เฟิงออกไปที่อารามร้างนอกเมืองเพียงลำพัง และให้นำหยกวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่นแท่งเพื่อไปแลกกับตัวไป๋จื้อเฉิง
นอกจากนี้ยังกำชับว่าห้ามพาใครมาด้วยเป็นอันขาด ไป๋มู่เฟิงต้องมาเพียงคนเดียว มิเช่นนั้นหากจับได้ พวกมันจะลงมือฆ่าไป๋จื้อหลินทันที
ไป๋กั๋วกงกล่าวอย่างทุกข์อกร้อนใจ “มู่เฟิง เจ้าเป็นความหวังเดียวของข้า เจ้าจะไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นไม่ได้ ให้ข้าไปเองเถอะ”
ไป๋มู่เฟิง “ท่านปู่ พวกมันกำชับมาแล้วว่าให้ข้าเป็นคนไป หากข้าไม่ไปด้วยตัวเอง มีหวังพวกมันต้องฆ่าท่านพ่ออย่างแน่นอน”
“ไม่ได้!”
“ท่านปู่!”
ในค่ำคืนนั้นไป๋มู่เฟิงได้เรียนรู้และนำวิธีของมู่เฉียนซีมาใช้ เขาลอบวางยาสลบให้ท่านปู่สลบไป จากนั้นตนออกจากจวนไปอย่างเงียบ ๆ เพียงลำพัง
พ่อบ้านแห่งจวนกั๋วกงเห็นเช่นนี้ ก็ได้สั่งข้ารับใช้ในจวนด้วยความร้อนใจ “รีบไปแจ้งข่าวนี้ให้กับท่านผู้นำตระกูลที่หอหมอปีศาจเร็วเข้า คุณชายน้อยไป๋เป็นสหายกับท่านผู้นำตระกูลมู่ หวังว่าท่านผู้นำตระกูลมู่จะช่วยคุณชายน้อยไป๋ได้”
“ขอรับ”
เมื่อมู่เฉียนซีได้ข่าวพลันตระหนกตกใจ กล่าวขึ้น “ดูเหมือนว่ามือมืดที่ลอบซ่อนตัวอยู่ในจวนท่านกั๋วกงอดใจรอไม่ไหวแล้ว รีบรวมตัวองครักษ์เงาแล้วไปกับข้าประเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!”
— เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! —
เมื่อยามอู่ผ่านพ้น เสียงสายฟ้าดังสนั่นลั่นท้องนภา
*ยามอู่ คือช่วงเวลาห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน
ขณะที่ไป๋มู่เฟิงเข้าไปในอารามร้างที่มีซากปรักหักพัง เขาก็ได้เห็นร่างของชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนใหญ่ที่ถูกมัดเอาไว้
“ท่านพ่อ…”
“อ๊าก!” ไป๋จื้อเฉิงดิ้นรนอย่างดุเดือดพร้อมส่ายหน้าไปมา
ในขณะเดียวกันนั้น เสียงที่อ่อนโยนดุจดั่งสายน้ำก็ดังขึ้น “มู่เฟิง… เจ้าเป็นบุตรกตัญญูรู้คุณอย่างแท้จริง ในที่สุดเจ้าก็มาช่วยท่านพ่อที่ไม่เอาไหนของเจ้า และข้าเดาว่าเจ้าวางยาสลบท่านปู่ของตนเองก่อนออกมา”
ไป๋มู่เฟิงหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ดวงตาเขาเบิกกว้างแทบถลนออกมานอกเบ้า “ทะ… ท่านอารอง…”
“ท่านอารอง เหตุใดถึงเป็นท่านที่ลักพาตัวท่านพ่อมาเช่นนี้ได้!”
ไป๋จื้อหลินแค่นเสียงหัวเราะก่อนจะกล่าวอย่างไม่แยแส “หึ ๆ ดูเหมือนว่ามู่เฟิงจะประหลาดใจเอามาก ๆ ใช่… เป็นข้าเอง”
ไป๋มู่เฟิง “ท่านอารอง เหตุใดท่านถึงได้ทำเช่นนี้ หากท่านปู่รู้เข้า ท่านปู่คงจะผิดหวังในตัวท่านมาก”
ไป๋จื้อหลินหัวเราะเยาะเย้ย “ฉ่า ๆ ๆ ผิดหวังอย่างนั้นรึ ? เขาไม่เคยเห็นความสำคัญของข้าเสียด้วยซ้ำ เหตุใดถึงจะมาบอกว่าผิดหวัง ?”
“ไป๋จื้อเฉิงเกิดก่อนข้าเพียงแค่ปีเดียว มันก็ได้เป็นว่าที่ท่านผู้นำแล้ว ถึงแม้ว่าเบื้องหลังของมันจะเป็นคนเสเพล เป็นขยะไร้ประโยชน์ แต่ข้าก็ไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำต่อจากท่านพ่ออยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อยังจะเอาบุตรชายของเจ้าเสเพลขยะไร้ประโยชน์เช่นนี้ให้เป็นผู้นำ ไม่เห็นแก่หน้าข้าแม้แต่น้อย!”
“ข้าทำอะไรผิดรึ ? ข้าไปทำอะไรให้ไม่พ่อใจรึ ? เหตุใดถึงได้ทำกับข้าเยี่ยงนี้ ?” ใบหน้าของไป๋จื้อหลินเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาทั้งตัดพ้อทั้งโกรธเคืองแค้นปะปนกัน
ไป๋มู่เฟิง “ท่านอารอง เรากลับไปคุยกับท่านปู่ที่จวนจะดีกว่าหรือไม่ ? หากท่านอารองอยากจะเป็นผู้สืบทอด ข้าจะไม่ขวางทางท่าน”
ไป๋จื้อหลิน “เหอะ! ตาเฒ่านั่นคงจะไม่ยอมเป็นแน่ ข้าว่าทางที่ดีข้าฆ่าพวกเจ้าสองพ่อลูกไปทั้งสองคนเลยจะเร็วกว่า เช่นนี้ตาเฒ่านั่นก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วนอกจากข้าผู้นี้ผู้เดียวเท่านั้น!!!”
ไป๋มู่เฟิงเบิกตากวางด้วยความตกใจอีกครั้ง “ท่านอารอง ท่านเป็นท่านอาของข้า ท่าน…”
ไป๋จื้อหลินกล่าวแทรก “แล้วอย่างไร ? เพื่อความยิ่งใหญ่ข้าทำได้ทุกอย่าง! มู่เฟิง ข้าจะส่งพ่อของเจ้าไปแดนนรกเสียเดี๋ยวนี้ จากนั้นค่อยส่งเจ้าตามไป ฮ่า ๆ ๆ!”
ไป๋จื้อหลินยกมือเพื่อที่จะโจมตีไป๋จื้อเฉิงที่กำลังตกใจ
— ฟิ้ว! —
ทว่าทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังแหวกอากาศ
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เข็มยานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังทิศทางของไป๋จื้อหลิน ทว่าไป๋จื้อหลินนั้นมีพลังระดับราชาแห่งภูต เขาหลบหลีกการโจมตีนี้ได้
“ใคร ? ใครกันที่กล้ามาขวางข้า ?!” ไป๋จื้อหลินตะคอกด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
ทันใดนั้นร่างสีม่วงปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเอง!”
ไป๋จื้อหลินตะคอกกลับในทันใด “ผู้นำตระกูลมู่ หมอปีศาจเข้ามาขวางทางข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนี้เจ้ารนหาที่ตายแท้ ๆ เช่นนั้นข้าก็จะจัดการเจ้าไปพร้อม ๆ กันเลย”
— ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! —
สิ้นวาจาไป๋จื้อหลิน ร่างชุดดำหลายร่างพุ่งเข้าหามู่เฉียนซี