ตอนที่ 225 อารามร้างนอกเมือง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

น่าหลานอวี้กล่าว “ข้ามีตำราการฝึกสัตว์วิญญาณอยู่เล่มหนึ่งพอดี แต่เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าจะเอาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้มาแลกกับอะไรที่ไม่มีผลเช่นนี้ ?”

การฝึกสัตว์วิญญาณนั้นใช่จะฝึกกันได้ง่าย ๆ นอกจากจะมีวิชาแล้ว ยังต้องมีพรสวรรค์ประกอบด้วย กอปรกับต่อให้มีสองสิ่งดังกล่าว หากไม่มีปรมาจารย์คอยชี้แนะก็มิอาจฝึกได้

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่แยแส “ในเมื่อเจ้ามี เช่นนั้นก็เอามาแลกเถอะ”

น่าหลานอวี้ถึงกับขมวดคิ้ว “หืม ? เจ้าแน่ใจรึว่าจะไม่หลอกลวงข้าเหมือนที่หลอกคนเหล่านั้น ?”

มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “น่าหลานอวี้ เจ้าเป็นถึงนายน้อยแห่งบ้านประมูลอันดับหนึ่งแต่เจ้าไม่มีความเชื่อมั่นในการทำการค้าแม้แต่น้อย เจ้ารีบหาเส้นบะหมี่มาผูกคอตัวเองตายเสียเถอะ”

น่าหลานอวี้ “หากแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนอื่นข้าไม่มีปัญหา แต่กับคนอย่างเจ้านั้น…”  เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่นางหลอกลวงคนพวกนั้นแต่ละกลุ่มแล้ว น่าหลานอวี้รู้สึกว่าตนเองควรระวังตัวสักหน่อยก็จะดี

“ตกลงเจ้าจะแลกหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถามเชิงกดดัน

“แลก ข้าแลก!” น่าหลานอวี้รีบตกลง เขาจะพลาดโอกาสดี ๆ คุ้มค่าเช่นนี้ได้อย่างไร ?

น่าหลานอวี้เอาตำราเก่า ๆ เล่มสีเหลืองออกมาพลางกล่าว “มันคือเล่มนี้ แต่หากเจ้าสนใจจริง ๆ ก็ไปบ้านประมูลอับดับหนึ่งกับข้า ที่บ้านประมูลอันดับหนึ่งมีปรมาจารย์ฝึกสัตว์วิญญาณอยู่ท่านหนึ่ง ข้าจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก”

มู่เฉียนซีกล่าว “ตอนนี้ข้ายังไม่มีเวลาไปแคว้นเฉียนเซี่ย”

อาการของท่านอาเกรงว่าจะกำเริบได้ตลอดเวลา หากยังควบคุมพิษนั่นไม่ได้ นางไม่กล้าจากไปหลาย ๆ วัน

“เช่นนั้นก็น่าเสียดายนัก”

มู่เฉียนซีส่งมอบสิงโตอัคคีให้กับน่าหลานอวี้พลางกล่าวขึ้น “เจ้ารีบทำพันธสัญญาเถอะ หากมีคนมาแย่งมันไป ข้าไม่อาจมารับผิดชอบหลังการแลกเปลี่ยนให้เจ้าได้”

เมื่อน่าหลานอวี้ได้ทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้สำเร็จแล้ว เขารู้สึกเหลือเชื่อนัก สตรีผู้นี้ก็เป็นคนที่รักษาสัจจะได้ดี นางไม่หลอกลวงอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย

มู่เฉียนซีเห็นน่าหลานอวี้ทำท่าทางราวกับเห็นผีสางยามกลางวัน มุมปากของนางพลันกระตุกในทันใด “น่าหลานอวี้ เจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีกรึ ?”

น่าหลานอวี้กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “เชื่อคนโหดเหี้ยมอย่างเจ้า ไม่รู้ว่าข้าจะต้องตายอย่างไร เรื่องนี้ข้าก็พอรู้อยู่บ้าง”

ดวงตามู่เฉียนซีปรากฏแสงอันตรายวาบขึ้น “น่าหลานอวี้! ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้  คราหน้าเจ้าก็ระวังตัวเอาไว้ ข้าจะหลอกเจ้าให้เจ้าตายอย่างน่าอนาถเลยคอยดู”

ครั้งนี้มู่เฉียนซีนางถือว่าตนได้กำไรมามากล้นเหลือคณานับ  นางเตรียมพร้อมที่จะกลับไปยังหอหมอปีศาจเพื่อพักผ่อนเอาแรงสักเล็กน้อย

“รอข้าด้วย…” น่าหลานอวี้ตามนางไป

“เจ้าตามข้ามาทำไมรึ ?” มู่เฉียนซีเลิกคิ้วเล็กน้อย

“ข้าจะกลับไปที่หอหมอปีศาจ จะไปดูว่ามู่ซีเปิดหอหมอปีศาจแล้วหรือยัง” น่าหลานอวี้กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ

มู่เฉียนซีสวนกลับทันควัน “เจ้าเลิกคิดเสียเถอะ เขายังไม่เปิด ไม่แน่อาจจะปิดเดือนสองเดือนกระมัง”

น่าหลานอวี้รู้สึกต้องการจะแย้ง ท่าทางของสตรีตรงหน้าเขามันฟ้องว่านางโป้ปด “เจ้าต้องโกหกข้าเป็นแน่ ข้าจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง”

มู่เฉียนซีทำได้เพียงส่ายหน้า ต่อมานางกับน่าหลานอวี้ก็กลับไปยังหอหมอปีศาจด้วยกัน

เมื่อมาถึงหอหมอปีศาจ น่าหลานอวี้รอหมอปีศาจในตำนานเปิดตึกหมอปีศาจ ทว่าก็ไม่มีวี่แววว่าจะเปิด เขาจึงจำใจต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง

……

หลังจากที่การประชุมการล่าสัตว์สิ้นสุดลง จวนกั๋วกงเกิดเรื่องขึ้น

นายท่านไป๋แห่งจวนกั๋วกงผู้ที่เป็นท่านพ่อของไป๋มู่เฟิงถูกลักพาตัวไป  ไป๋จื้อเฉิงเคยได้ชื่อว่าเป็นคนไม่เอาไหนแห่งแคว้นชิง เป็นคนมั่วสุมเสพสูบยาเคล้าคลอแต่สุรานารีจนนับวันร่างกายแย่ลงไปทุกที การฝึกฝนวิชาก็ย่ำแย่จนทำให้ไป๋กั๋วกงกรุ่นโกรธถึงกับไม่ยอมมอบตำแหน่งท่านผู้นำให้กับเขา

แต่ยังนับว่าโชคดีที่ไป๋จื้อเฉิงไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปหมดเสียทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ให้กำเนิดหลานชายให้กับไป๋กั๋วกงนั่นก็คือ… ไป๋มู่เฟิง

ไป๋มู่เฟิงถูกเลี้ยงดูโดยไป๋กั๋วกงตั้งแต่ยังเล็ก เขาถูกไป๋กั๋วกงอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย อีกทั้งพรสวรรค์ในการฝึกวิชาของไป๋มู่เฟิงก็นับว่าดียิ่งนัก  ไป๋กั๋วกงจึงไม่รอช้า มอบตำแหน่งท่านผู้นำรุ่นต่อไปให้กับหลานชายคนนี้

ถึงแม้ว่าไป๋จื้อเฉิงจะเป็นคนเสเพลไม่เอาไหน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื่อไขของไป๋กั๋วกง

ไป๋กั๋วกงกับไป๋มู่เฟิงรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครในชิงตูกล้าทำเรื่องที่โจ่งแจ้งเช่นนี้มาก่อน  มีข่าวมาจากผู้ที่ลักพาตัวแจ้งมาว่าคืนนี้ให้ไป๋มู่เฟิงออกไปที่อารามร้างนอกเมืองเพียงลำพัง และให้นำหยกวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่นแท่งเพื่อไปแลกกับตัวไป๋จื้อเฉิง

นอกจากนี้ยังกำชับว่าห้ามพาใครมาด้วยเป็นอันขาด ไป๋มู่เฟิงต้องมาเพียงคนเดียว มิเช่นนั้นหากจับได้ พวกมันจะลงมือฆ่าไป๋จื้อหลินทันที

ไป๋กั๋วกงกล่าวอย่างทุกข์อกร้อนใจ “มู่เฟิง เจ้าเป็นความหวังเดียวของข้า เจ้าจะไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นไม่ได้ ให้ข้าไปเองเถอะ”

ไป๋มู่เฟิง “ท่านปู่ พวกมันกำชับมาแล้วว่าให้ข้าเป็นคนไป หากข้าไม่ไปด้วยตัวเอง มีหวังพวกมันต้องฆ่าท่านพ่ออย่างแน่นอน”

“ไม่ได้!”

“ท่านปู่!”

ในค่ำคืนนั้นไป๋มู่เฟิงได้เรียนรู้และนำวิธีของมู่เฉียนซีมาใช้ เขาลอบวางยาสลบให้ท่านปู่สลบไป จากนั้นตนออกจากจวนไปอย่างเงียบ ๆ เพียงลำพัง

พ่อบ้านแห่งจวนกั๋วกงเห็นเช่นนี้ ก็ได้สั่งข้ารับใช้ในจวนด้วยความร้อนใจ “รีบไปแจ้งข่าวนี้ให้กับท่านผู้นำตระกูลที่หอหมอปีศาจเร็วเข้า คุณชายน้อยไป๋เป็นสหายกับท่านผู้นำตระกูลมู่ หวังว่าท่านผู้นำตระกูลมู่จะช่วยคุณชายน้อยไป๋ได้”

“ขอรับ”

เมื่อมู่เฉียนซีได้ข่าวพลันตระหนกตกใจ กล่าวขึ้น “ดูเหมือนว่ามือมืดที่ลอบซ่อนตัวอยู่ในจวนท่านกั๋วกงอดใจรอไม่ไหวแล้ว รีบรวมตัวองครักษ์เงาแล้วไปกับข้าประเดี๋ยวนี้!”

“ขอรับ!”

— เปรี้ยง!  เปรี้ยง!  เปรี้ยง! —

เมื่อยามอู่ผ่านพ้น เสียงสายฟ้าดังสนั่นลั่นท้องนภา

*ยามอู่ คือช่วงเวลาห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน

ขณะที่ไป๋มู่เฟิงเข้าไปในอารามร้างที่มีซากปรักหักพัง เขาก็ได้เห็นร่างของชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนใหญ่ที่ถูกมัดเอาไว้

“ท่านพ่อ…”

“อ๊าก!” ไป๋จื้อเฉิงดิ้นรนอย่างดุเดือดพร้อมส่ายหน้าไปมา

ในขณะเดียวกันนั้น เสียงที่อ่อนโยนดุจดั่งสายน้ำก็ดังขึ้น “มู่เฟิง… เจ้าเป็นบุตรกตัญญูรู้คุณอย่างแท้จริง ในที่สุดเจ้าก็มาช่วยท่านพ่อที่ไม่เอาไหนของเจ้า และข้าเดาว่าเจ้าวางยาสลบท่านปู่ของตนเองก่อนออกมา”

ไป๋มู่เฟิงหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ดวงตาเขาเบิกกว้างแทบถลนออกมานอกเบ้า “ทะ… ท่านอารอง…”

“ท่านอารอง เหตุใดถึงเป็นท่านที่ลักพาตัวท่านพ่อมาเช่นนี้ได้!”

ไป๋จื้อหลินแค่นเสียงหัวเราะก่อนจะกล่าวอย่างไม่แยแส “หึ ๆ ดูเหมือนว่ามู่เฟิงจะประหลาดใจเอามาก ๆ  ใช่… เป็นข้าเอง”

ไป๋มู่เฟิง “ท่านอารอง เหตุใดท่านถึงได้ทำเช่นนี้ หากท่านปู่รู้เข้า ท่านปู่คงจะผิดหวังในตัวท่านมาก”

ไป๋จื้อหลินหัวเราะเยาะเย้ย “ฉ่า ๆ ๆ ผิดหวังอย่างนั้นรึ ? เขาไม่เคยเห็นความสำคัญของข้าเสียด้วยซ้ำ เหตุใดถึงจะมาบอกว่าผิดหวัง ?”

“ไป๋จื้อเฉิงเกิดก่อนข้าเพียงแค่ปีเดียว มันก็ได้เป็นว่าที่ท่านผู้นำแล้ว ถึงแม้ว่าเบื้องหลังของมันจะเป็นคนเสเพล เป็นขยะไร้ประโยชน์ แต่ข้าก็ไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำต่อจากท่านพ่ออยู่ดี  ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อยังจะเอาบุตรชายของเจ้าเสเพลขยะไร้ประโยชน์เช่นนี้ให้เป็นผู้นำ  ไม่เห็นแก่หน้าข้าแม้แต่น้อย!”

“ข้าทำอะไรผิดรึ ? ข้าไปทำอะไรให้ไม่พ่อใจรึ ? เหตุใดถึงได้ทำกับข้าเยี่ยงนี้ ?” ใบหน้าของไป๋จื้อหลินเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาทั้งตัดพ้อทั้งโกรธเคืองแค้นปะปนกัน

ไป๋มู่เฟิง “ท่านอารอง เรากลับไปคุยกับท่านปู่ที่จวนจะดีกว่าหรือไม่ ?  หากท่านอารองอยากจะเป็นผู้สืบทอด ข้าจะไม่ขวางทางท่าน”

ไป๋จื้อหลิน “เหอะ! ตาเฒ่านั่นคงจะไม่ยอมเป็นแน่  ข้าว่าทางที่ดีข้าฆ่าพวกเจ้าสองพ่อลูกไปทั้งสองคนเลยจะเร็วกว่า เช่นนี้ตาเฒ่านั่นก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วนอกจากข้าผู้นี้ผู้เดียวเท่านั้น!!!”

ไป๋มู่เฟิงเบิกตากวางด้วยความตกใจอีกครั้ง “ท่านอารอง ท่านเป็นท่านอาของข้า ท่าน…”

ไป๋จื้อหลินกล่าวแทรก “แล้วอย่างไร ? เพื่อความยิ่งใหญ่ข้าทำได้ทุกอย่าง!   มู่เฟิง ข้าจะส่งพ่อของเจ้าไปแดนนรกเสียเดี๋ยวนี้ จากนั้นค่อยส่งเจ้าตามไป ฮ่า ๆ ๆ!”

ไป๋จื้อหลินยกมือเพื่อที่จะโจมตีไป๋จื้อเฉิงที่กำลังตกใจ

— ฟิ้ว! —

ทว่าทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังแหวกอากาศ

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

เข็มยานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังทิศทางของไป๋จื้อหลิน ทว่าไป๋จื้อหลินนั้นมีพลังระดับราชาแห่งภูต เขาหลบหลีกการโจมตีนี้ได้

“ใคร ? ใครกันที่กล้ามาขวางข้า ?!” ไป๋จื้อหลินตะคอกด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว

ทันใดนั้นร่างสีม่วงปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเอง!”

ไป๋จื้อหลินตะคอกกลับในทันใด “ผู้นำตระกูลมู่ หมอปีศาจเข้ามาขวางทางข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนี้เจ้ารนหาที่ตายแท้ ๆ  เช่นนั้นข้าก็จะจัดการเจ้าไปพร้อม ๆ กันเลย”

— ฟิ้ว!  ฟิ้ว!  ฟิ้ว! —

สิ้นวาจาไป๋จื้อหลิน ร่างชุดดำหลายร่างพุ่งเข้าหามู่เฉียนซี