มู่เฉียนซีตะโกนเรียกทันที “อู๋ตี้ เสี่ยวหง!”
“มู่อี!”
กองกำลังอีกสองถึงสามกองกำลังพากันกรูเข้ามา มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “ไป๋จื้อหลิน เจ้าคิดว่าเก็บพวกกากเดนที่เหลือเหล่านี้ของพันธมิตรเอียนหลัวแล้วจะสามารถฆ่าข้าได้รึ ? เหอะ! ฝันกลางวันแล้ว”
— ตูม! ตูม! —
ภายใต้การโจมตีของอู๋ตี้ เสี่ยวหง และองครักษ์เงา ไป๋จื้อหลินและพวกพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
— ปัง! ปัง! ปัง! —
ไป๋จื้อหลินล้มลงกับพื้นอย่างน่าสมเพชเวทนา ทว่าเขาพยายามยันร่างลุกยืนก่อนจะกล่าวว่า “มู่เฉียนซี เหตุใดเจ้าถึงช่วยไป๋มู่เฟิง ? ตราบใดที่ข้าได้เป็นกั๋วกง ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ”
มู่เฉียนซีหัวเราะเยาะเย้ย “หึ ๆ ไป๋จื้อหลิน เจ้าคิดว่าข้าจะวางใจที่จะร่วมมือกับคนอย่างเจ้ารึ ? วางยาพิษกู่บิดา ทําลายหลานชายของตัวเอง แล้วยังตอนนี้ที่เจ้ากำลังลักพาตัวพี่ชายของตัวเองเป็นตัวประกันเพื่อขู่หลานชาย การกระทำเหล่านี้เจ้าคิดว่าคนดี ๆ เขาทํากันรึ ?”
ในตอนนั้นเอง เสียงคํารามอันเกรี้ยวกราดดังขึ้นมา “เจ้าคนปัญญาอ่อน กล้าดีอย่างไรจึงทําเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ ?!”
เห็นได้ชัดว่ายาสลบที่ไป๋มู่เฟิงใช้นั้นคุณภาพต่ำยิ่งนัก ไป๋กั๋วกงตื่นขึ้นมาแล้ว
เมื่อไป๋จื้อหลินเห็นไป๋กั๋วกงโกรธเกรี้ยว เขาก็หวาดกลัวอย่างมาก เขาพยายามอย่างสุดกําลังเพื่อพุ่งเข้าใส่ไป๋จื้อเฉิงที่ถูกมัดไว้ก่อนจะกล่าวว่า “ปล่อยข้าออกไป ไม่เช่นนั้นข้าจะสังหารเจ้าขยะนี่ทิ้ง!”
มู่เฉียนซีหัวเราะ “ฮ่า ๆ ๆ ไป๋จื้อหลิน เจ้าคิดว่าการเอาชีวิตและความตายของคนตายมาข่มขู่พวกข้าแล้วจะได้ผลรึ ?”
ไป๋จื้อหลินและไป๋มู่เฟิงอ้าปากค้าง ตายแล้ว ?
เมื่อพวกเขาเห็นไป๋จื้อเฉิงที่หลับตาลง ไร้ซึ่งลมหายใจ ไม่มีการเต้นของหัวใจ ก็พลันหน้าซีดไปทันที
ไป่จื้อหลินไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ? เขาตกใจละล่ำละลักกล่าวว่า “เป็นไปได้อย่างไร ? เหตุใดไป๋จื้อเฉิงถึงได้ตายเร็วเช่นนี้!”
“มัน… มันเกิดวิปริตอะไรขึ้นกัน ?”
ไป่กั๋วกงบันดาลโทสะ กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวสุดขีด “เจ้าคนปัญญาอ่อน ข้าจะฆ่าเจ้า!” จากนั้นพุ่งเข้าไปใช้ฝ่ามือเดียวทําให้ไป๋จื้อหลินบาดเจ็บหนักในทันที
ไป๋กั๋วกงกล่าวอย่างเย็นชา “จับม้นมาให้ข้า!”
ไป๋จื้อหลินและพวกของเขาถูกจับตัวไปทั้งหมด ในตอนนี้ไป๋มู่เฟิงเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ไป๋จื้อเฉิงก่อนจะปลดเชือกที่มัดเขาไว้แล้วกล่าวเสียงสั่น ๆ “ท่านพ่อ…”
เขาไม่มีความรู้สึกอะไรกับบิดาผู้นี้ บิดาผู้นี้ของเขาคิดเพียงว่าจะอาศัยฐานะของเขากินใช้และรอความตายอยู่ในจวนกั๋วกงเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรสายเลือดก็เชื่อมโยงกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความรู้สึกอะไรที่ก่อเกิดในใจ
เวลานี้มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยอกล้อ นางมองไป๋จื้อหลินก่อนจะกล่าวว่า… “แท้ที่จริงแล้วมันเป็นเพราะข้าที่ทําให้ไป๋จื้อหลินตาย ทว่าแน่นอนว่าเขาเพียงตายปลอม ๆ”
ฉับพลันหลังจากนั้น เข็มยาฉีดเข้าไปในร่างของไป๋จื้อเฉิง ไป๋จื้อเฉิงลืมตาขึ้น!
“พรวด!”
ไป๋จื้อหลินโกรธจนกระอักเลือด “เจ้า… เจ้า… มู่เฉียนซีเจ้าโกหกข้า… เจ้า…”
มู่เฉียนซีไม่สนใจ นางมองไปที่ไป๋กั๋วกงและกล่าวอย่างจริงจัง “ไป๋กั๋วกง ท่านอย่าได้ให้อภัยกับเรื่องนี้เลย”
ไป๋กั๋วกงทอดถอนใจ “วันนี้ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ผู้นําตระกูลมู่ พวกข้าติดหนี้คนของหอหมอปีศาจและคนของตระกูลมู่อย่างมาก”
มู่เฉียนซี “ในเมื่อติดหนี้มากก็ค่อย ๆ คืนมาเถอะ อย่างไรเสียหอหมอปีศาจของพวกข้าก็ยังต้องอยู่ในแคว้นชิงอีกนาน”
ในที่สุดไป๋จื้อหลินก็สูญเสียทุกอย่าง เขาถูกลบออกจากลําดับวงศ์ตระกูล ไม่พอ ยังถูกขับไล่ออกจากจวนกั๋วกงอย่างถาวร
……
“มู่ซี มู่ซี…”
ทุก ๆ วัน น่าหลานอวี้จะมาที่หอหมอปีศาจและเรียกมู่ซีด้วยน้ำเสียงโหยหาแววตาลึกซึ้ง
มู่เฉียนซีรู้สึกจนปัญญานัก ในความเป็นจริงนางอยู่ตรงหน้าเขา เพียงแต่เขาไม่สามารถรู้ได้ว่านางคือมู่ซี มู่ซีคือนาง
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “วันนี้เจ้ามาทําอะไรที่นี่อีก ?”
น่าหลานอวี้ “มู่เฉียนซี มู่ซีออกมาไม่ได้จริง ๆ หรือ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจริงจัง “การปรุงยาเป็นงานที่ละเอียดอ่อน มันมิใช่งานที่จะสามารถเลิกกลางคันได้ มิเช่นนั้นความสําเร็จของการทดลองในเดือนนั้นทั้งหมดจะพังพินาศเจ้าเข้าใจหรือไม่ ?” น่าหลานอวี้พึมพํา “เช่นนั้นก็น่าเสียดาย…”
“อะไรน่าเสียดายรึ ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น
น่าหลานอวี้กล่าวตอบ “เมืองลับที่ชายแดนระหว่างแคว้นชิงและแคว้นชวนจะจัดงานซื้อขายครั้งใหญ่ขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น หากโชคดีก็จะเจอของดี ๆ มู่ซีเป็นนักปรุงยา ถ้าหากเขาไปก็คงจะสามารถหาสมุนไพรวิญญาณที่เขาชอบได้…
…แต่เขากําลังเก็บตัวอยู่ในตอนนี้ เกรงว่า…”
มู่เฉียนซีรีบกล่าว “จริงอยู่ที่เขาไปไม่ได้ แต่ข้าไปได้ สิ่งที่มู่ซีทำได้ข้าก็ทำได้”
น่าหลานอวี้ “ข้าพาเจ้าไปได้ แต่เมื่อไปแล้วเจ้าต้องไม่ซื้อของที่เจ้าชอบ แต่จะต้องนําของที่มู่ซีชอบกลับมาให้มู่ซี”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา “แน่นอน เขาจะต้องชอบของที่ข้าซื้อ เจ้าวางใจเถอะ”
“เช่นนั้นก็ตามนี้ พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้าตกลงหรือไม่ ?”
“ตกลง”
…
วันถัดมา เมื่อน่าหลานอวี้มาถึงและเห็นเด็กหนุ่มผู้สง่างามผู้นั้นก็นิ่งอึ้งไปอย่างสิ้นเชิง เขานึกว่าตนเองได้เห็นมู่ซีแล้ว
ทว่าเพียงหนึ่งเปลือกตากะพริบ ใบหน้าที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงปรากฏแก่สายตา ทําให้เขารู้สึกตัวขึ้น
น่าหลานอวี้กล่าวขึ้นว่า “มู่เฉียนซีเจ้าแต่งกายเป็นบุรุษก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ ? จะใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ของมู่ซีออกมาเช่นนี้ทำไมกัน ? เจ้าเกือบทําให้ข้าจําคนผิดแล้ว”
มู่เฉียนซี “ข้ารู้สึกว่าการสวมอาภรณ์บุรุษนั้นสะดวกกว่า ข้าหยิบมาเพียงชุดเดียวเท่านั้นและเปลี่ยนมัน เจ้าดูตกใจมาก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าหยิบมาเพียงชุดเดียว นี่คืออาภรณ์ของมู่ซีชัด ๆ ข้าเคยเห็นมาก่อน”
สําหรับความสัมพันธ์อันสนิทสนมที่ทั้งสองคนสามารถสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ร่วมกันได้ ช่างทำให้หัวใจของน่าหลานอวี้เจ็บปวดเสียจริง
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย นางแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วแท้ ๆ แต่น่าหลานอวี้ก็ยังคงไม่รู้ตัว
ทั้งสองรีบไปที่เมืองลับ น่าหลานอวี้มองมู่เฉียนซีที่สวมอาภรณ์ของบุรุษด้วยใบหน้าหม่นเศร้า ทว่ายิ่งเขามองก็ยิ่งมีบางอย่างผิดปกติ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านางเหมือนมู่ซีจริง ๆ
ในตอนที่มู่เฉียนซีสวมใส่อาภรณ์แบบสตรีปกติธรรมดา เขามิได้รู้สึกว่านางเหมือนมู่ซี แต่ด้วยอาภรณ์แบบบุรุษนี้ ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
น่าหลานอวี้กล่าวว่า “มู่เฉียนซี เจ้าชอบข้าใช่หรือไม่ ? ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเรียนรู้นิสัยของมู่ซี แล้วมาดึงดูดความสนใจของข้าเช่นนี้ไปทำไมกัน ?”
มู่เฉียนซีรู้สึกหน่ายหนักใจราวกับว่ามีอีกานับไม่ถ้วนบินผ่านบนศีรษะของนาง นี่มันไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว…
มู่เฉียนซีกล่าว “นายน้อยน่าหลาน เจ้าไม่จําเป็นต้องคิดไปเอง ข้านั้นอยู่กับมู่ซีตั้งแต่เล็กจนโต รูปแบบพฤติกรรมของเราทั้งสองคนจึงคล้ายกันเท่านั้นเอง”
“นายน้อยน่าหลานเจ้าฟังให้ดี ๆ คู่หมั้นของข้าดูดีและเก่งกาจกว่าเจ้ามาก แม้ว่าข้าจะพอใจเจ้า ทว่าก็ไม่ได้ชอบเจ้า”
น่าหลานอวี้พยักหน้า กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็วางใจ”
ระหว่างทาง พวกเขามาถึงเมืองเร้นลับ มันเป็นเมืองการค้าอันคึกคักเป็นพิเศษที่อยู่บนชายแดนของทั้งสองแคว้น
น่าหลานอวี้กล่าวว่า “พักหนึ่งคืน พรุ่งนี้ก็เป็นวันเริ่มต้นของการซื้อขายแล้ว”
เช้าตรู่ของวันถัดมา น่าหลานอวี้พามู่เฉียนซีไปที่งาน สถานที่จัดงานขนาดใหญ่เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่ามากมาย ทว่ามีสิ่งของไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เข้าตามู่เฉียนซี
ในที่สุดนางก็เห็นบางอย่างในร้าน ดวงตาของนางส่องประกายขณะกล่าวขึ้นในทันใด
“น่าหลาน พวกเราเข้าไปในนั้นกันเถอะ”
มู่เฉียนซีเดินไปที่ร้าน หยิบกิ่งไม้สีดําที่ดูแห้งเหี่ยวขึ้นมาก่อนจะกล่าวถามว่า “เถ้าแก่ กิ่งไม้นี้ขายอย่างไรหรือ ?”
.