เถ้าแก่กล่าวตอบ “หยกวิญญาณสิบชิ้น”
เขาผู้เป็นเถ้าแก่ที่นี่แปลกใจนัก เขาไม่รู้เลยว่ากิ่งไม้ที่ดูเหี่ยวแห้งนี้คืออะไร แต่ในเมื่อมีคนชอบมัน ราคาย่อมต้องสูงขึ้นเล็กน้อย
มู่เฉียนซีนั้นไม่ใช่ว่านางไม่มีหยกวิญญาณสิบชิ้น แต่นางไม่ชอบถูกหลอกเช่นนี้ คิดว่านางโง่งมรึ ?
นางมองไปที่ชิ้นส่วนของหยกแก้วแล้วกล่าวถามขึ้นว่า “แล้วสิ่งนี้ล่ะ ?”
เถ้าแก่ยิ้ม กล่าวว่า “คุณชายน้อย สายตาเจ้าไม่เลวเลย หยกแก้วผลึกสีม่วงชิ้นนี้เป็นวัตถุดิบสําคัญในการหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เห็นแก่ความตาถึงของเจ้า หยกวิญญาณสามพันชิ้นเจ้าเอาไปได้เลย”
“สามพันชิ้น!”
ในตอนนั้นเอง เสียงที่ดังกว่าก็ดังขึ้นมา “สามพันชิ้นข้าเอา จะไปมัวขายสินค้าให้คนจน ๆ พวกนี้ทําไมกัน ?”
น่าหลานอวี้จนปัญญา เขาเป็นนายน้อยของหอการค้าอันดับหนึ่งแห่งทวีปเซี่ยโจว กลับมีคนกล้าเรียกเขาว่าคนจน ต่อให้เขาไม่ชอบหยกแก้วสีม่วง แต่วันนี้เขาก็จะเอาชนะคนผู้นี้ให้ได้ เขากล่าว “ข้าจะให้หกพันชิ้น”
คุณชายชุดเหลืองผู้นั้นโมโหขึ้นมาเช่นกัน “กล้าดีอย่างไรมาสู้กับข้า หนึ่งหมื่นชิ้นข้าเอา!”
“สองหมื่น!”
“สามหมื่น!”
เวลานี้การต่อสู้ที่นี่เหมือนดั่งน้ำและไฟ ช่างดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายให้หันมอง ทั้งสองแข่งราคากันดุเดือดจนแม้แต่เจ้าของร้านก็ยังตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นหยกวิญญาณมากมายขนาดนี้มาก่อน แน่นอนว่าเขาต้องเห็นดีเห็นงามกับผลประโยชน์ที่เขาจะได้
คุณชายใหญ่ทั้งสองนี้ หากใช้อารมณ์แล้วน่ากลัวนัก
“เก้าหมื่นชิ้นข้าเอา!” คุณชายชุดเหลืองกัดฟันตะโกน
ขณะที่น่าหลานอวี้กําลังจะเพิ่มราคาเพื่อให้เจ้าคุณชายจอมโอ่ชุดเหลืองยอมแพ้ มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้น “สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่สิ่งนี้ แต่มันเป็นอันนั้นต่างหาก อันนี้ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้น”
น่าหลานอวี้ไม่สู้ราคาอีกต่อไป เด็กหนุ่มชุดเหลืองถึงกับอ้าปากค้าง
“เจ้า… เจ้า…”
เมื่อเขาได้สติ ก็พบว่าตนเองให้ราคาที่สูงเกินจริง ราคาที่สูงลิบลิ่วนี้สูงกว่าคุณค่าของหยกแก้วผลึกสีม่วงนี้หลายเท่า
มู่เฉียนซีอมยิ้ม นางกล่าวหยอกล้อ “นายน้อย ในเมื่อเจ้าตะโกนราคาออกมาเท่านี้ เจ้าก็รีบจ่ายเร็วเข้าเถอะ หรือเจ้าเพียงแค่ตะโกนออกมาได้ แต่กลับไม่มีจะจ่าย ?”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มชุดเหลืองเปลี่ยนกลายเป็นแดงก่ำ ขณะนี้มีดวงตานับไม่ถ้วนที่มองอยู่รอบ ๆ หากตะโกนราคาออกมาจริงแต่ไม่จ่าย ก็คงจะต้องอับอายขายหน้าถึงวงศ์ตระกูลเป็นแน่แท้
เขากล่าวตะกุกตะกัก “ขะ… ข้ามีหยกวิญญาณเพียงเก้าหมื่นชะ… ชิ้นเท่านั้น”
เขาจ่ายหยกวิญญาณเก้าหมื่นชิ้นนี้ด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ณ เวลานี้เถ้าแก่ผู้นั้นยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ได้ วันนี้เขาได้กําไรมากมาย พรุ่งนี้ไม่ต้องมาตั้งแผงลอยแล้วก็ยังได้
มู่เฉียนซีกล่าว “แล้วกิ่งไม้นี้ล่ะ ?”
เถ้าแก่ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “วันนี้ต้องขอบคุณคุณชายทั้งสองคนที่ทำให้ข้าได้กําไรมากมายนัก กิ่งไม้นี้ ให้ข้าเพียงหยกวิญญาณหนึ่งชิ้น ข้าก็ขายแล้ว”
มู่เฉียนซีรีบกล่าวอย่างพึงพอใจ “ตกลง หยกวิญญาณหนึ่งชิ้นเป็นของเจ้า”
คุณชายชุดเหลืองกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวทันที “เป็นเพราะพวกเจ้าแท้ ๆ เจ้าพวกคนจนโสโครก จงใจหลอกข้าแต่กลับซื้อไม้แห้งเหี่ยวเพียงอันเดียวด้วยหยกวิญญาณเพียงหนึ่งชิ้น หึ! จงระลึกไว้เสมอเถอะว่าข้าจะไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไป”
ขณะที่คุณชายชุดเหลืองกล่าววาจาอันโหดร้ายออกมาและกําลังจะจากไป มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ช้าก่อน!”
คุณชายชุดเหลืองหันมากล่าวอย่างดุร้าย “อะไรอีกเล่า ? หรือว่าพวกเจ้าอยากจะถูกข้าจัดการในตอนนี้เลยรึ ? หากไม่ใช่เพราะสถานที่นี้ไม่สามารถลงมือได้ เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะสามารถอยู่ได้โดยไม่เป็นไรดังเช่นตอนนี้หรือ ?”
มู่เฉียนซี “เหอะ… ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว เจ้าคงจะร่ำรวยมาก ข้าประสงค์พนันกับเจ้า ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะกล้าหรือไม่ ?”
คุณชายชุดเหลืองหรือนายน้อยหวงอีกล่าว “พนันรึ ? เจ้าจะเดิมพันอย่างไรล่ะ ?”
มู่เฉียนซีหยิบไม้ที่ดูแห้งเหี่ยวนั้นขึ้นมาก่อนจะกล่าวว่า “ไม้ที่เหี่ยวเฉาของข้าและหยกแก้วผลึกสีม่วงของเจ้า อันใดมีค่ากว่ากัน ?”
“ฮ่า!” หวงอีหัวเราะเสียงดัง ประหนึ่งว่าสตรีตรงหน้าได้กล่าวถามคำถามโง่งมที่สุดออกมา “เจ้าพูดว่าอะไรนะ ? เจ้าเอาไม้เน่า ๆ นั่นไปเปรียบเทียบกับสิ่งมีค่าเช่นหยกแก้วผลึกสีม่วง ข้าได้ยินไม่ผิดไปใช่หรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าได้ยินไม่ผิด เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้ากล้าพนันหรือไม่ก็พอ”
น่าหลานอวี้เหลือบมองกิ่งไม้ที่เหี่ยวแห้งในมือของมู่เฉียนซี เขามองไม่ออกจริง ๆ ว่ากิ่งไม้นี้มีอะไรพิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่ามู่เฉียนซีเป็นสตรีผู้ไม่เคยทําสิ่งใดที่ไม่แน่นอน
หวงอีกล่าว “ในเมื่อเจ้าบอกว่าจะเดิมพัน เช่นนั้นก็บอกมาว่าเดิมพันด้วยอะไร”
มู่เฉียนซี “หยกวิญญาณหนึ่งล้านชิ้น”
“อ๊า!”
ทุกคนตกตะลึง หยกวิญญาณหนึ่งล้านชิ้น มีค่าเสียยิ่งกว่าหนึ่งล้านเหรียญทองคำ! ใบหน้าของคุณชายชุดเหลืองฉายแววกระอักกระอ่วน หยกวิญญาณหนึ่งล้านชิ้น ใครกันที่จะออกจากบ้านแล้วพกหยกวิญญาณมากมายเช่นนี้
มู่เฉียนซีกล่าวต่ออีกว่า “หากเจ้าชนะ ข้าจะให้หยกวิญญาณหนึ่งล้านชิ้นแก่เจ้า แต่หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องให้หยกวิญญาณหนึ่งล้านชิ้นแก่ข้า”
เมื่อคุณชายชุดเหลืองหวงอีได้ยินว่าหยกวิญญาณหนึ่งล้านชิ้น หัวใจเขาพลันเต้นแรง ขอเพียงได้รับหยกวิญญาณหนึ่งล้านชิ้น ต่อไปเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายทรัพยากรในการฝึกฝนแล้ว
เขากล่าวว่า “หยกวิญญาณหนึ่งล้าน เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเจ้ามีมัน”
มู่เฉียนซีกล่าว “แน่นอนข้ามี”
นางโบกมือ หยิบหยกวิญญาณระดับยอดเยี่ยมออกมา
ผู้คน ณ ที่นั้นตะลึงลาน “โอ้สวรรค์! นี่คือหยกวิญญาณระดับยอดเยี่ยม เพียงชิ้นเดียวถือว่ามากกว่าหยกวิญญาณธรรมดาหนึ่งล้านชิ้น!”
“เกินไปแล้ว…”
น่าหลานอวี้เองก็อึ้งไป หยกวิญญาณระดับยอดเยี่ยม ไม่ใช่กะหล่ำปลีผักปลาธรรมดา ๆ ที่จะไม่น่าตกใจ
แม้แต่ศิษย์สายตรงของสํานักอีชิง ก็ไม่มีทางที่จะเอาออกมาได้ตามใจชอบขนาดนี้
มู่เฉียนซีช่างร่ำรวยมากเสียจนเขาเองก็อยากจะปล้นนาง แววตาหวงอีเป็นประกาย “ข้าไม่ทันได้นําหยกวิญญาณมากมายขนาดนี้ออกมา ที่ข้าตอนนี้มีหยกวิญญาณเหลือเพียงสองหมื่นชิ้นเท่านั้น แต่เกราะเงินสวรรค์บนร่างข้ามีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งล้านหยกวิญญาณ มันใช้เป็นหลักประกันได้ เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่ ?”
เกราะนั้นเป็นของดี มู่เฉียนซีไม่ใช่ว่าจะมองไม่ออก นางกล่าว “ไม่มีปัญหา”
“แต่ผู้ใดล่ะที่จะสามารถตัดสินมูลค่าของทั้งสองสิ่งนี้ได้”
ในตอนนั้นเอง น่าหลานอวี้กล่าวขึ้นว่า “ปรมาจารย์อวิ๋นจากโรงประมูลอันดับหนึ่งของเมืองเร้นลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทดสอบ ไปหาปรมาจารย์อวิ๋นเพื่อให้รับรองได้”
ขณะนั้นเอง เสียงนุ่มนวลอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “ไม่จําเป็นต้องไปที่โรงประมูลเพื่อตามหาข้า ข้าอยู่ที่นี่พอดี”
ปรมาจารย์อวิ๋นมองน่าหลานอวี้ ดวงตาฉายแววเคารพ
ทุกคนต่างพากันส่งเสียง “ปรมาจารย์อวิ๋นมาแล้ว ปรมาจารย์อวิ๋นอยู่ที่นี่แล้ว ”
หวงอีเห็นปรมาจารย์อวิ๋นก็ไม่กล้าโอหังเกินไป เขากล่าว “ปรมาจารย์อวิ๋น ท่านมาได้เวลาพอดี ท่านว่าของใครมีค่ามากที่สุดรึ ?”
“ข้าใช้เก้าหมื่นหยกวิญญาณซื้อมา นางใช้เพียงหยกวิญญาณชิ้นเดียวเท่านั้น”
เมื่อหยกแก้วผลึกสีม่วงและกิ่งไม้เหี่ยวแห้งถูกวางอยู่เบื้องหน้าปรมาจารย์อวิ๋น ปรมาจารย์อวิ๋นรู้สึกลําบากใจเล็กน้อย …เห็นได้ชัดว่าไม้เหี่ยว ๆ แห้ง ๆ นี้ดูไม่มีค่าแม้แต่น้อย
เขามองน่าหลานอวี้ รู้สึกลําบากใจเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาอยากช่วยก็คงทําไม่ได้ ไม่เช่นนั้นป้ายร้านค้าของเขาจะต้องถูกทุบเป็นแน่
ในตอนนั้นเอง มู่เฉียนซีหยิบยาอย่างหนึ่งออกมา ฉีดน้ำวิญญาณเข้าไปในกิ่งไม้เหี่ยวแห้งนี้
พริบตาเดียวสีดําของกิ่งไม้ที่ดูเหี่ยวแห้งพลันจางหายไปก่อนจะปรากฏหน่อสีเขียวอ่อนให้เห็นแก่สายตา กิ่งก้านทั้งหมดเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
ทุกผู้คนตื่นตะลึง ปากก็อุทาน
“ช่างน่าพิศวงนัก!”
“นี่มันเรื่องพิลึกอันใดกัน ?”
หวงอีกล่าวขึ้นมา “เจ้ากําลังตบตาอะไรอีก ? แม้ว่ากิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉานี้จะฟื้นฟูพลังอีกครั้ง มันก็ไม่มีค่าเท่าหยกแก้วผลึกสีม่วงของข้าหรอก”
.