บทที่ 382

บทที่ 382

ถังหยินหรี่ตาแล้วมองอีกฝ่าย “ทำไมท่านถึงบอกความจริงข้าไม่ได้กัน ? มีอะไรหรือเปล่า ?”

ภายใต้สายตานี้ นางสนมผู้นั้นก็พลันก้มหัวลงอย่างหวาดกลัว

ถ้านางไม่มีอะไรก็คงบอกไปหมดแล้ว แต่ถ้าบอกไปฮัวหลงจะต้องฆ่านางแน่ นางไม่รู้ด้วยว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ถ้าเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับซ่งเทียนเผยแพร่ไปเมื่อไหร่ พวกนางจะต้องตายแน่ ดังนั้นแล้วนางจึงได้แต่ตัวสั่นเทา ก่อนที่จะพูดออกไปอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่มีอันใดทั้งสิ้น ฮัวหลงเป็นแค่นางสนมของฝ่าบาทเท่านั้น”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ถังหยินสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนางสนมตรงหน้านั่นหมายความว่ายังไงกัน ? เขารู้เลยว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำบางอย่าง จึงเดินมาตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเชิงข่มขู่ “ท่านกำลังกังวลและไม่กล้าพูดความจริงใช่หรือไม่ ?”

นางสนมที่โดนดันกลับมา สีหน้าเริ่มซีดลงแล้วส่ายหัว “ไม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว”

ทว่าเมื่อถังหยินกำลังจะเค้นถามเพิ่มเติม มันก็ดันมีคนเรียกจากนอกตำหนักเสียก่อน “นายหญิงหมิงซิวอยู่หรือเปล่า ? แป้งของลูกสาวข้าหมดแล้ว เลยว่าจะมาขอยืมจากท่านเสียหน่อย”

นางสนมหมิงซิวที่ได้ยินแบบนั้นก็พลันถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบตอบกลับไป “ข้ายังอยู่ดี ทำไมเจ้าไม่เข้ามาก่อนล่ะ ?!”

“โอ้ ท่านถังอยู่ที่นี่ด้วยหรือ ?” นางรับใช้ตะลึงที่เห็นแบบนั้น ก่อนจะทำความเคารพแล้วมองไปยังทั้งสอง

ถังหยินแอบสบถในใจ

ซึ่งพระสนมก็ไม่รอช้าแม้แต่น้อย ฉวยโอกาสนี้รีบไปเอาตลับแป้งออกมาวางบนโต๊ะในทันที “รีบมาเลือกไปสิ”

นางรับใช้พยักหน้าแล้วเดินผ่านม่านไปเลือกตลับแป้ง

ถังหยินพยักหน้า ด้วยรู้ว่าเขาคงไม่ได้ข้อมูลไปมากกว่านี้แล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวขอตัวล่า “ท่านหญิง ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน”

“รักษาตัวด้วยท่านถัง” หมิงซิวกัดฟันพูดออกมา

ถังหยินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินออกไปจากตำหนักนั่น

ส่วนเรื่องของเฉียนหยี เขาคงต้องให้คนอื่นจัดการไปก่อน และก็คงเป็นหน้าที่ของชิวเจิ้น ที่ต้องไปตามสืบสาวเรื่องนี้ให้ลึกลงไปจนถึงญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ของนาง

เขาเดินออกมาทางประตูหลังของวังหลวง ที่ซึ่งมีพี่น้องฉางกวงกำลังยืนรอยู่ด้าน ก่อนที่ถังหยินจะรีบขึ้นไปบนรถม้าแล้วบอก “กลับกันเถอะ”

เขาพาทั้งสองคนนี้กลับมา และเมื่อถึงห้องโถง ชายหนุ่มก็พลันร้องเรียกหาชิวเจิ้น จางจี้ และซ่งหยวน

พวกทหารที่อยู่รอบตัวจึงรีบจัดการตามคำสั่งให้ทันที

ไม่นานนักทั้งสามก็มาถึง และเมื่อเห็นถังหยินกำลังนั่งกลุ้มใจอยู่พวกเขาก็มองหน้ากันก่อนจะพูด “นายท่าน”

ถังหยินที่ได้สติก็จึงเรียกให้พวกเขานั่งลง ก่อนจะไล่พวกทหารให้ออกไปก่อน

เมื่อพวกทหารยามออกไปจนเหลือแต่พวกเขา ถังหยินก็พลันพูดขึ้นช้า ๆ “พวกเจ้าคิดว่าฮัวหลงเป็นเช่นไร ?”

ทั้งสามไม่คิดว่าถังหยินจะถามอะไรแบบนี้

จางจี้จึงเป็นคนแรกที่ประกบมือแล้วพูดออกมาว่า “นายท่านถามแบบนี้ทำไมกัน ?”

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบแต่เลือกที่จะถามซ้ำออกมา “ถ้าข้าได้เป็นอ๋อง มันจะเหมาะสมหรือไม่ที่นางจะมาเป็นนางสนมของข้า ?”

ทั้งสามสำลักน้ำลายออกมาทันที พวกเขามองหน้ากันก่อนที่จางจี้จะกระซิบบอก “นางเป็นนางกำนัลเก่าของท่านอ๋องคนก่อนเชียวนะขอรับ”

ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องราวการเอาภริยาเก่าของท่านอ๋องคนก่อนมาเป็นภริยาของตัวเองกันมาบ้าง แต่ในตอนนี้มันก็แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว

ถังหยินยักไหล่ให้ “แต่ข้าสัญญาไปแล้ว” จริง ๆ แล้วเขาไม่สนใจหรอกกว่านางจะทำอะไร เขาสนแค่ว่าเฉียนหยีเป็นใครและทำไมถึงได้มีอำนาจเหนือพวกนางสนมคนอื่น ๆ มากขนาดนี้

จางจี้กะพริบตาปริบ ๆ ให้กับความไร้สาระของถังหยิน เพราะจริง ๆ แล้วนี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ก่อนจะเป็นซงหยวนที่หัวเราะและพูดออกมา “ฮัวหลงเองก็งดงามใช่ย่อยนะ และนางก็ยังร่ำรวยอีกด้วย ข้าว่าก็เหมาะสมอยู่นะ”

ชิวเจิ้นและจางจี้มองอีกฝ่ายด้วยหางตาพร้อมกับคิดในใจ ว่าอีกฝ่ายขี้ประจบยิ่ง ! ซึ่งก็จำต้องยอมใจให้กับความสามารถในการเอาอกเอาใจของซงหยวนจริง ๆ แต่ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยเสียเท่าไหร่

ถังหยินหัวเราะออกมา “แต่ว่ามันก็มีเรื่องแปลกอยู่ ชิวเจิ้นเคยตรวจสอบเรื่องนี้มาแล้ว และผลที่ได้คือนางไม่ใช่คนที่ท่านอ๋องคนก่อนพึงพอใจเท่าใดนัก แต่ไม่ว่าจะยังไง จากทั้งรูปร่างและหน้าตาแล้ว มันก็ไม่มีทางเป็นแบบนั้น แถมความสามารถในการยั่วยวนผู้คนแบบนั้นอีก ทำให้ยากยิ่งที่จะเชื่อได้”

ทั้งสามไอออกมาพร้อมกัน เพราะใช่ว่าที่นี่จะให้อิสระในการพูดมากขนาดนั้น ด้วยถ้าหากประโยคเมื่อครู่มีคนนอกได้ยิน ชายหนุ่มนั้นสามารถถูกประหารได้เลยทีเดียว ! “นายท่านกับฮัวหลงได้…”

ถังหยินส่ายหัว “ยังไม่ถึงขั้นนั้น” จากนั้นเขาก็อธิบายทุกเรื่องที่ตนพบเจอ ซึ่งเมื่อทั้งสามคนได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาต่างก็เขินอายกันจนใบหูแดงไปหมด

ต้องอย่าลืมว่าทั้งสามเป็นกุนซือที่ชาญฉลาดขนาดไหน แม้ตอนแรกจะยังไม่เข้าใจอะไร แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด พวกเขาก็พลันเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกับถังหยิน และเริ่มคิดว่าฮัวหลงต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน !!

จางจี้ขมวดคิ้วแล้ววิเคราะห์สถานการณ์โดยรวม “ถ้าฮัวหลงไม่ใช่ที่พึงพอใจ งั้นนางก็อาจอะไรซ่อนอยู่ก็ได้ ปกติแล้วในวงสตรีของราชสำนักย่อมไม่มีใครเข้าใกล้คนที่ไม่เป็นที่ถึงพอใจอยู่แล้ว แต่นางสามารถทำให้คนอื่นยอมพูดว่าจ้าวหลิงคนนี้เป็นตัวปลอมได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ถ้าหากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป มันจะต้องสั่นสะเทือนทั้ง 9 แคว้นอย่างแน่นอน !!”

หลังจากได้ยินบทวิเคราะห์นี้ ถังหยินก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ด้วยว่ามีอะไรที่ตกหล่นไป แต่หลังจากได้ฟังคำวิเคราะห์ เขาก็พยักหน้าให้ตรงตามเหตุผลเมื่อครู่ ด้วยไม่มีใครมีเหตุผลที่จะต้องใส่ร้ายจ้าวหลิงอยู่แล้ว

จางจี้พูดต่อ “ฮัวหลงคงจะใช้ท่านเพื่อกำจัดนางสนมคนอื่น ๆ และมันก็ดูเหมือนว่านางจะมีความลับอื่นเก็บซ่อนไว้ ทำให้นางหมายจะกำจัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับตัวนางเองในอนาคต”

ถังหยินพยักหน้าให้และคิดว่านี่คือเหตุผลที่แท้จริง

ชิวเจิ้นพูดอย่างจริงจัง “มีเรื่องที่น่าสงสัยเกี่ยวกับนางมากมาย นายท่านต้องระวังให้ดี”

ถังหยินเงยหน้าขึ้น “ข้าฝากให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

“ขอรับนายท่าน” ชิวเจิ้นประกบมือ

“จงตรวจสอบทุกอย่าง รวมไปถึงภูมิหลังของนางด้วย ยิ่งเยอะยิ่งดี”

“ขอรับนายท่าน”

จู่ ๆ ซงหยวนก็ยิ้มออกมา ทำให้อีกทั้งสามคนที่เหลือไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร จึงได้พร้อมใจกันถามออกไปว่า “ทำไมเจ้าถึงได้หัวเราะออกมาแบบนั้นกัน ?”

ซงหยวนชี้ไปยังชิวเจิ้นและจางจี้ “ข้าคิดว่าท่านชิวเจิ้นกับท่านจางจี้คิดมากเกินไปแล้ว ต่อให้นางจะมีความลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้ แล้วมันจะทำไมกัน ? ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ถือเป็นเรื่องปกติที่ท่านอ๋องจะมีนางสนมมากมาย และถ้านางฉลาดขนาดนี้ มันก็ย่อมเป็นผลดีกับนายท่านอยู่แล้วไม่ใช่หรือไร ?”

นี่คือจุดที่ถังหยินคาดไม่ถึง จริง ๆ แล้วเขาคิดอยู่ว่าจะเลือกฟานหมิน หรือไม่ก็อู่เหมยขึ้นมาเป็นภริยาเอกดี เพราะว่าทั้งสองมีข้อดีที่แตกต่างกันไป แต่ถ้ามองในด้านการแก้ปัญหาแล้ว ก็ถือว่าฮัวหลงนั้นเก่งกาจกว่ามาก !