ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 175 ขาดเบาะรองนั่งหนังสุนัขป่าพอดี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

จอมยุทธ์ปรมาจารย์ไม่มีทางขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณระดับกลางได้ แน่นอนว่าพ่านพ่านก็ยิ่งไม่สามารถ ทว่าดาบแสงคลื่นครามมีฐานะเป็นอาวุธวิญญาณระดับกลาง มีสติปัญญาในตัวเอง

คมดาบที่มีลักษณะเย็นเยียบวังเวง ดูดเอาไอเย็นบริเวณรอบๆ ทั้งหมดโดยทันที

อาวุธวิญญาณระดับกลางชิ้นหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอแขวนเอาไว้บนร่างสัตว์วิเศษตามใจเช่นนี้ นี่จะไม่ทำให้เฉินหลินอิจฉาริษยาจนแทบทนไม่ไหวได้อย่างไร

ครั้นเห็นเฉินหลินมีสีหน้าคับแค้นเสียใจยิ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ้มอย่างไม่รีบร้อน “ข้าหยอกล้อเล่น จริงๆ แล้วข้าลืมนำดาบออกต่างหาก”

อาหู่ที่อยู่ข้างๆ รุดมาด้านหน้า ปลดดาบแสงคลื่นครามออกจากลำคอพ่านพ่าน แล้วถอยกลับไปยังข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ

ถูกขัดจังหวะเช่นนี้ บรรยากาศอันแข็งทื่อจึงคลี่คลายลง บรรดาฝูงชนที่ชมการต่อสู้ล้วนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง ทว่าก็ได้รับรู้ภูมิหลังครอบครัวอันเพียบพร้อมของเยี่ยนจ้าวเกอเพิ่มขึ้นอีกขั้น

พ่านพ่านก็ยังคงมีท่าทางไม่รู้อะไรเลย ไม่ได้สนใจสุนัขป่าปีศาจทมิฬที่อยู่ตรงหน้าโดยสิ้นเชิง เพียงมองดาบแสงคลื่นครามที่ถูกนำออกไปด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์

เฉินหลินชี้นำสุนัขป่าปีศาจทมิฬนามว่าเจวี๋ยหาน สั่งให้ลงมือต่อไปด้วยความอึดอัดใจอยู่บ้าง

แม้จะพบกับอุปสรรคอยู่บ้าง แต่สุนัขป่าปีศาจทมิฬตัวนี้ก็ยังคงอดทนเต็มร้อย เผยให้เห็นความพยายามและความสุขุมอันหาได้ยาก

ไอเย็นทั้งหมดแผ่กระจายออกมา กลายสภาพเป็นหมอกน้ำแข็ง ภายในหมอกน้ำแข็งปรากฏโลกอันปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งออกมา ครอบคลุมพ่านพ่านเอาไว้

พ่านพ่านก็นั่งอยู่ที่เดิมเงียบๆ เช่นนั้น ยังคงมีท่าทางสับสนงุนงงอยู่

เฉินหลินเฝ้าคอยชมการต่อสู้อยู่บ้าง กระนั้นไม่นานนักนางก็พบว่าเมื่อไม่มีดาบแสงคลื่นครามแล้ว หมอกน้ำแข็งที่สุนัขป่าปีศาจทมิฬสร้างขึ้นก็ยังคงเบาบางลงอยู่เรื่อยๆ

อุณหภูมิโดยรอบไม่เพียงแต่จะไม่ลดต่ำลงเท่านั้น กลับจะเริ่มสูงขึ้นอีกครั้งเสียด้วยซ้ำไป!

“นี่มันเป็นของสิ่งใดอีก” เฉินหลินแทบจะเสียสติอยู่บ้างแล้ว นางจ้องมองไป คราวนี้บนร่างพ่านพ่านกลับไม่ได้มีของวิเศษอื่นใดแล้ว

ทว่าเกิดเปลวเพลิงสีขาวจำนวนมาก ออกมาจากผิวกายหมีสยงเมายักษ์ตัวนี้

เปลวเพลิงร้อนจัดสลายหมอกน้ำแข็งไปตลอดเวลา กลับกันมีปราณวิญญาณสายเพลิงอันเต็มเปี่ยมให้ค่อยๆ ลอยกระจายออกมา เริ่มตัดทอนพลังของสุนัขภูตป่าปีศาจทมิฬอย่างช้าๆ

เฉินหลินพลันรู้สึกหวั่นใจ ‘ปี่เซียะภูเขา พรสวรรค์มหัศจรรย์ สามารถควบคุมเพลิงขาววารีทมิฬได้…’

นางกล่าวอย่างเด็ดขาด “เจวี๋ยหาน ลงมือ! ถ่วงเวลาออกไปอีกไม่ได้แล้ว!”

น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา บัดนี้เฉินหลินและสุนัขป่าปีศาจทมิฬไม่กล้าที่จะถ่วงเวลาต่อไปอีกแล้ว ยิ่งถ่วงเวลา สำหรับพวกเขาแล้วมีแต่จะส่งผลเสีย

สุนัขป่าปีศาจทมิฬเจวี๋ยหานเริ่มเป็นฝ่ายรุกโจมตี ความเร็วว่องไวยิ่งอย่างแท้จริง แทบจะไม่ช้าไปกว่าจอมยุทธ์ขั้นเคียงนภาแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์เลย

เพียงแต่พ่านพ่านดูเหมือนว่าจะอืดอาด กระนั้นร่างกายอันใหญ่โตยืนอยู่ตรงนั้น ไม่เผยช่องโหว่แม้เพียงสักนิด

อุปนิสัยสุนัขป่ารอบคอบ เจ้าเจวี๋ยหานจึงไม่กล้าเข้าใกล้ง่ายๆ ในเวลาอันสั้นเช่นกัน มันเคลื่อนที่ด้วยระยะทางที่ห่างอย่างมาก ทว่าขอเพียงแค่พ่านพ่านหันกายกลับเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว

หากมุ่งแต่ป้องกั อาศัยพลังสยบของพ่านพ่าน สุนัขป่าปีศาจทมิฬไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามง่ายๆ

พ่านพ่านไม่กลัวที่จะชนมันจังๆ อยู่ครั้งสองครั้ง แต่ทว่ามันกลับต้านทานการโจมตีอันหนักหน่วงของพ่านพ่านไม่อยู่

กระนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สุนัขป่าปีศาจทมิฬก็ยิ่งหมดกำลังวังชาอย่างมาก

เดิมทีด้านกำลังกายของมันก็จัดว่าตกเป็นรองแล้ว ยิ่งพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก ความห่างชั้นต่อพ่านพ่านก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้ว่าภายนอกสุนัขป่าปีศาจทมิฬจะเป็นฝ่ายรุกโจมตี เคลื่อนที่ล้อมไปรอบๆ พ่านพ่านอย่างไม่หยุดหย่อน ทว่ากลับหาโอกาสรุกโจมตีที่เหมาะสมไม่ได้

เฉินหลินกัดริมฝีปาก “ไม่อาจออมมือได้อีกต่อไปแล้ว เพราะในเมื่อลงมือก็ต้องชนะ!”

การเคลื่อนไหวของสุนัขป่าปีศาจทมิฬพลันหยุดนิ่งทันที ตามเสียงเป่าปากอันแหลมสูงของนาง ก่อนเงยหน้าขึ้นฟ้าหอนคำราม พาให้รอบๆ กายปรากฏพายุหิมะขนาดย่อมออกมาทันที

ท่ามกลางเสียงสุนัขป่าหอนอันแหลมสูงและรันทด ความเร็วร่างกายของสุนัขป่านามเจวี๋ยหานพลันเพิ่มขึ้นอีกขั้นทันที ด้วยการหนุนเสริมจากพายุหิมะ พุ่งถลามาทางพ่านพ่านด้วยความโหดร้ายดุดัน!

ดวงตาของบรรดาฝูงชนที่ชมการต่อสู้ล้วนหรี่ลงเล็กน้อย เพราะต่างก็มองออกว่าสุนัขป่าปีศาจทมิฬตัวนี้เปิดฉากอภินิหารรูปแบบหนึ่งแล้ว

อาศัยยืมพลังพายุหิมะยกระดับความเร็วและแรงปะทุของตนขึ้นในชั่วพริบตา การโจมตีนี้ของมันในขณะนี้คล้ายคลึงกับวารีเทียมฟ้า วิชาลับเมืองทะเลมรกตอยู่หลายส่วน พลังระเบิดปะทุทั่วกาย ทั้งรวดเร็วทั้งคับแค้นใจ!

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเย้ย “ปะทะซึ่งๆ หน้า เจ้ายิ่งตายไวขึ้น”

พ่านพ่านที่ท่าทางน่ารักใคร่เอ็นดูเสมอมา บัดนี้มันกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดร่างกายมหึมาก็ขยับเขยื้อนแล้ว

เจ้าหมีสยงเมายักษ์โจมตีประจัญหน้าสุนัขป่าปีศาจทมิฬด้วยพลังทั้งหมด ไม่หลบหลีกเลยสักนิด

ร่างอันใหญ่โตของมันพลันผุดลุกขึ้นมา แล้วยกเท้าหลังข้างหนึ่งขึ้น เหยียบลงมาดังโครมคราม ราวกับคนย่ำเท้าอย่างไรอย่างนั้น!

ผิวร่างพ่านพ่านเกิดเปลวเพลิงสีขาวลุกโชนขึ้นมา โอบล้อมทั่วร่างกายของมัน

ในชั่วเวลาเสี้ยววินาทีเดียวนั้น ราวกับว่ามันกลายร่างเป็นที่พำนักเทพควบคุมเปลวเพลิง!

พลังหยางอันร้อนแรงแผดเผา กวาดล้างพายุหิมะจนว่างเปล่าทันที!

สุนัขป่าปีศาจทมิฬคิดอยากจะหลีกหนี แต่เวลานี้กลับสายไปเสียแล้ว ลำแสงเหนือศีรษะพลันมืดสลัวลง

ประหนึ่งกับภูเขาไท่ซานทับลงมาจากด้านบน ท้องฟ้าอันตรธานไปไม่พบ พื้นที่รอบกายถูกปิดตายลงอย่างสิ้นเชิง มันไม่สามารถกระดุกกระดิกได้เลย

“โครม!”

ข้างหูของทุกคนล้วนเป็นเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นพักหนึ่ง เสียงหึ่งๆ ดังสะเปะสะปะ พื้นดินใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนอยู่ระลอกหนึ่ง ราวกับแผ่นดินไหวอย่างไรอย่างนั้น

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน สุนัขป่าปีศาจทมิฬเจวี๋ยหานถูกพ่านพ่านเหยียบเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า!

ระหว่างที่เฉินหลินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก็เห็นว่าพ่านพ่านเหลือบมองสุนัขป่าทมิฬที่ตนเองเหยียบเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าด้วยใบหน้าไร้เดียงสา จากนั้นร่างอันอ้วนโตก็หันหมุนร่างกลับเล็กน้อย

ต่อจากนั้น ร่างกายที่ประดุจภูเขาลูกย่อมๆ ก็หย่อนก้นลงมา!

เฉินหลินเห็นแล้วตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อโดยพลัน นางร้องตะโกนเสียงหลงด้วยความตื่นตะลึง “จื่ออี้ช่วยเจวี๋ยหานเร็ว!”

ไม่ต้องให้นางเอ่ยกล่าว เงาร่างหนึ่งรวดเร็วประดุจสายฟ้า ได้กระโจนเข้าหาพ่านพ่านอย่างดุร้ายแล้ว!

ที่โผล่ออกมาพรวดพราดนั่นก็คือเสียจื่ออี้ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์ตำหนักอัสนีสวรรค์ในการประชุมฝ่านภาครานี้!

กระนั้นไม่รอให้เขาเข้าใกล้ เยี่ยนจ้าวเกอได้ขวางอยู่เบื้องหน้าเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันกระบวนท่าหนึ่ง ก่อนจะเกิดเสียง ‘โครม’ ดั่งสนั่น

ฝูงชนที่มุ่งดูอยู่รู้สึกเพียงว่าการประจันหน้ากันของทั้งสองนี้ สะเทือนเลือนลั่นยิ่งกว่าการกระทบกระแทกระหว่างสัตว์วิเศษใหญ่ อย่างปี่เซียะและสุนัขป่าเจวี๋ยหานเมื่อครู่เสียอีก

ทว่าเมื่อถูกขัดขวางเช่นนี้ พ่านพ่านก็ไม่มีผู้ใดรบกวนแล้ว มันหย่อนก้นลงนั่งโยกไปโยกมาอย่างโอหัง

ครานี้แม้แต่เสียงร้องน่าเวทนาของสุนัขป่าทมิฬเจวี๋ยหานก็พลันเงียบงัน เพราะพ่านพ่านนั่งทับมันโดยตรงจนสิ้นชีพ กลายเป็นเบาะรองนั่งหนังสุนัขป่าผืนหนึ่ง

เฉินหลินเกือบจะหมดสติล้มลงไปบนพื้น

ถึงแม้ว่าระดับพลังฝึกปรือของนางจะไม่ได้ต่ำต้อย แต่การต่อสู้จริงกับผู้คนและการศึกษาวิถีวรยุทธ์อย่างละเอียดล้วนสัมผัสมาไม่มากนัก ฝีมือเกินกว่าครึ่งล้วนอยู่ที่สุนัขป่าปีศาจทมิฬทั้งสองตัวที่นางตั้งอกตั้งใจเลี้ยงดูอย่างถึงที่สุด

สุนัขป่าปีศาจทมิฬตัวแรกนับว่าไม่เท่าไร ทว่าสุนัขป่าเจวี๋ยหานตัวนี้เป็นรากฐานของนางอยู่

บัดนี้มันถูกพ่านพ่านนั่งทับจนสิ้นชีพอยู่เบื้องหน้า ดวงตาเฉินหลินพลันแดงก่ำ จดจ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็งอย่างไม่ลดละ “สังหารอำมหิต!”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเฉยเมย “การประลองฝีมือก่อนหน้า ศิษย์น้องเฉินกล่าวไว้เช่นไร หากข้าไม่ได้จำผิดละก็น่าจะเป็น ‘การต่อสู้ระหว่างสัตว์วิเศษ บาดเจ็บล้มตายในสนามยากจะหลีกเลี่ยง’ กล่าวเทือกๆ นี้ใช่หรือไม่ เมื่อครู่หากข้าลงมือไม่ทันกาล มังกรวารีทมิฬของศิษย์พี่เยี่ยก็คงถูกสุนัขป่าปีศาจทมิฬของเจ้าสังหารไปแล้ว หลังจากนั้นเจ้าเอ่ยว่าเช่นไรนะ

ชายหนุ่มแบมือออก “ข้านึกก่อนนะ ดูเหมือนจะเอ่ยว่า ‘มันยังไม่เกิดสติปัญญา บ้าระห่ำยากจะทำให้เชื่อง พละกำลังแข็งแกร่งยิ่ง บางคราข้าเองก็ไม่อาจควบคุมบังคับได้ทั้งหมด ทำร้ายมังกรวารีทมิฬของศิษย์พี่เยี่ย ข้าขออภัยศิษย์พี่เยี่ยไว้ ณ ที่นี้ ทั้งยังขอให้ศิษย์พี่เยี่ยอย่าได้คิดเล็กคิดน้อย อย่าได้ตำหนิ’ น่าจะเป็นเช่นนี้ไม่ผิดกระมัง”

เขาหันศีรษะกลับไปมองทางเยี่ยฉงโจว อีกฝ่ายผงกศีรษะด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเย็น

ครั้นหันศีรษะกลับมามองเฉินหลิน เยี่ยนจ้าวเกอก็พลันผุดยิ้ม “เจ้าเข้าใจว่าข้านำคำพูดของเจ้ามาย้อนคืนใช่หรือไม่ ไม่ใช่แต่อย่างใด”

เฉินหลินตะลึงงัน เห็นเพียงรอยยิ้มของเยี่ยนจ้าวเกอเปลี่ยนเป็นใช้อำนาจบาตรใหญ่ขึ้นมา

“ระหว่างทุกๆ คนล้วนตรงไปตรงมาต่อกันได้อยู่บ้างนี่” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเย้ยหยัน “ยกตัวอย่างเช่น…พ่านพ่านของข้าขาดเบาะรองนั่งหนังสุนัขป่าอยู่พอดี เจ้าสุนัขน้อยของเจ้าไม่ประเคนตัวเองมา พวกข้าเองก็จะมิไปยุ่ง ทว่าในเมื่อเจ้าประเคนมาเอง เช่นนั้นก็เป็นการรับน้ำใจพอดี”

……………