ตอนที่ 330 สืบข้อมูลพี่สาวฉินหลิง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

บอสวังน่าจะยังดื่มชาอยู่

พิมพ์ช้าไปหน่อย ส่งข้อความก็ช้า

ประโยคท้ายยังสั่งให้ผู้ช่วยต้อนรับขับสู้ท่านเทพให้ดี

ผู้ช่วยยังคงถือโทรศัพท์โดยไร้การตอบสนอง เขาเองก็เหมือนคนส่วนใหญ่ที่เป็นแฟนคลับเหยียนซี

เขาจำได้แม่นว่าที่เหยียนซีมีวันนี้ได้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ตั้งแต่เหยียนซีเข้าวงการมาจนถึงตอนนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะซิงเกิลแรกของเขาได้รับความนิยมบนโลกออนไลน์โดยที่ไม่คาดคิด

จากนั้นเขาก็ถูกแมวมองคว้าตัวมาร่วมออดิชัน นับตั้งแต่เข้าวงการมาจนถึงตอนนี้ก็มีชื่อหนึ่งที่ผูกติดกับเขาตลอดมา

นั่นก็คือเจียงซานอี้ นักเรียบเรียงเพลงมือฉมังที่ได้รับการยอมรับในวงการ

แม้แต่แฟนคลับเหยียนซีก็เคยพยายามขุดข้อมูลของเจียงซานอี้ มีนักดนตรีมากมายนับไม่ถ้วนต่างก็คิดจะซื้อตัวผู้ติดตามหรือคนที่ทำงานกับเหยียนซีเพื่อขุดไปถึงต้นตอเจียงซานอี้

นอกจากนี้ยังมีทีมปาปารัสซี่ที่ติดตามเหยียนซีในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา พวกเขาขุดคนรอบตัวเหยียนซีแต่ก็ไม่พบเจียงซานอี้คนนี้

อีกฝ่ายลึกลับเกินไป ขุดอย่างไรก็หาไม่เจอ

เมื่อกี้บอสวังบอกว่า…

เด็กสาววัยรุ่นที่หน้าตาสะสวยที่อยู่ตรงหน้าก็คือนักเรียบเรียงเพลงมือฉมัง เจียงซานอี้ ? !

มิน่าล่ะปาปารัซซี่ถึงหาไม่เจอ แม้เจียงซานอี้จะปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเหยียนซีอย่างเปิดเผย ก็คงไม่มีใครเดาได้ว่าเธอคือเจียงซานอี้หรอกมั้ง? ! ผู้ช่วยยืนนิ่งอยู่กับที่ ในหัวขาวโพลน

ก๊อก ก๊อก ——

ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงพนักงาน

ผู้ช่วยได้สติทันที ก่อนที่เหยียนซีจะมีปฏิกิริยา เขาก็แง้มประตูแล้วรับถาดมาจากมือพนักงาน

เป็นพวกของหวานและเค้ก

ผู้ช่วยเสิร์ฟแก้วกาแฟในถาดให้ฉินหร่านก่อน จากนั้นก็เดินมาข้างๆ เหยียนซีด้วยความเคารพ

เคารพนบน้อมราวกับฉินหร่านเป็นพ่อของเขา

“ท่านเทพ ช่วงนี้คุณยุ่งมากเหรอ?” เหยียนซีหยิบช้อนคนกาแฟแล้วมองไปที่ฉินหร่าน

ฉินหร่านเก็บตั๋วคอนเสิร์ต พับอย่างลวกๆ แล้วยัดใส่ในกระเป๋า “ก็นิดหน่อย”

ผู้ช่วยมองฉินหร่านพับตั๋วอย่างลวกๆ …

“มิน่าล่ะ” เหยียนซีเหลือบมองฉินหร่านเงียบๆ ไม่แสดงออกผ่านทางสีหน้า “คุณยังจำได้ไหมว่าคุณติดค้างทำเพลงให้ผม?”

ฉินหร่านเอนหลังพิงเก้าอี้ เอามือจับหน้าผาก ทันทีที่เปิดเทอมก็จะต้องเริ่มฝึกทหาร จากนั้นต้องไปฝึกที่ฐานฝึกอีก เพลงที่จะเรียบเรียงให้เหยียนซีจึงต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก

เธอคิดได้สักพักก็รู้สึกปวดหัวอยู่หน่อยๆ ตอบกลับเหยียนซี “อีกสองวัน”

ฉินหร่านยังต้องไปห้องสมุด เธอคุยกับเหยียนซีได้ไม่นานก็หยิบกระเป๋าเป้จากไป

หลังจากที่เธอไปแล้ว ผู้ช่วยยังมองไปทางฉินหร่านไม่วางตา พูดติดอ่างเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว “พี่เหยียน เมื่อ เมื่อกี้ นั่น นั่นคือท่านเทพเจียงซานอี้?”

เขาเริ่มคิดแล้วว่าวงการเพลงจะต้องเป็นบ้ากันไปหมดถ้ารู้เรื่องนี้…

**

ตอนเย็น

หลังจากเฉิงเจวี้ยนกลับมาจากห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ก็เห็นนายท่านเฉิงกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่

“พ่อ?” เฉิงเจวี้ยนเปลี่ยนรองเท้าที่หน้าประตู พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ตามผมมามีเรื่องอะไร?”

นายท่านเฉิงยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองไปที่ด้านหลังเฉิงเจวี้ยน

ด้านหลัง เฉิงมู่ปรากฏตัวด้วยใบหน้าเย็นชา เมื่อเห็นนายท่านเฉิง เขาก็รีบโค้งคำนับ “นายท่าน”

เมื่อเห็นชัดๆ ว่าเป็นเฉิงมู่ นายท่านเฉิงก็เก็บรอยยิ้มในพริบตาเดียว ทำหน้าเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้มเหมือนตอนแรก เปลือกตาพับลงอย่างหมดอารมณ์ “อืม”

เฉิงมู่ “…”

เฉิงเจวี้ยนเดินมานั่งโซฟาด้วยสีหน้าปกติ รับแก้วมาจากเฉิงมู่แล้วค่อยๆ ดื่ม พิงโซฟาด้วยท่าทางอ่อนเพลีย

“คนตระกูลสวีจะกลับมาจากรัฐMแล้ว พวกเขากำลังเปิดตลาดที่รัฐM ค่อนข้างประสบความสำเร็จเลยทีเดียว” นายท่านเฉิงเหลือบมองเฉิงเจวี้ยน

เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า “อ้อ”

“ตอนค่ำๆ มีงานเลี้ยงครอบครัว อย่าลืมกลับมาด้วยล่ะ” นายท่านเฉิงถูกเขาสกัดไว้จึงลุกขึ้นยืน

ตระกูลเฉิงจะมีงานเลี้ยงครอบครัวเดือนละครั้ง ครั้งนี้หลักๆ คือเรื่องของตระกูลสวี หากตระกูลสวีเปิดตลาดที่รัฐMจริง นั่นจะส่งผลกระทบต่อตระกูลอื่นเป็นอย่างมาก สถานภาพเมืองเมืองหลวงก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย

งานเลี้ยงครอบครัวตระกูลเฉิง

คนอื่นมาถึงกันนานแล้ว สุดท้ายก็ยังเป็นเฉิงเจวี้ยนกับเฉิงเวินหรูที่มาสาย

เฉิงมู่เดินตามหลังทั้งสอง

ทางฝั่งซ้ายของนายท่านเฉิงมีที่นั่งว่างอยู่สองที่ เว้นไว้ให้เฉิงเจวี้ยนกับเฉิงเวินหรู

เฉิงมู่ยืนอยู่ข้างหลังเฉิงเจวี้ยนอย่างมีมารยาท

เมื่อเห็นทั้งสอง ผู้ดูแลตระกูลเฉิงคนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

“คนมาครบแล้ว ทานข้าวกันก่อน” นายท่านเฉิงสวมเสื้อคอจีน หลังจากกวาดตามองคนบนโต๊ะก็หยิบตะเกียบขึ้นมาก่อนแล้วพูดว่า

“เรื่องตระกูลสวี คุณชายใหญ่รู้ดีที่สุด คราวก่อนเขากับคุณโอวหยางไปสืบมาแล้ว” หัวหน้าหน่วยตระกูลเฉิงท่านหนึ่งเป็นคนกล่าว

ผู้ดูแลคนอื่นได้ยินก็พยักหน้า “ไม่เลวๆ …”

กลุ่มผู้ดูแลกำลังคุยเรื่องเฉิงเหราฮั่นบนโต๊ะอาหาร

เฉิงเวินหรูนั่งอยู่ข้างเฉิงเจวี้ยน เธอไม่สนใจเรื่องของเฉิงเหราฮั่นเลยสักนิด แค่คีบรากผักขึ้นมาพลางกระซิบถาม “หร่านหร่านไม่กลับมาพร้อมนายเหรอ?”

เฉิงเจวี้ยนที่เพิ่งหยิบตะเกียบยิ้ม ก้มหน้าตอบเธออย่างเงียบๆ “วันนี้บริษัทพี่ชดเชยรอยรั่วหรือยัง?”

เฉิงเวินหรูกัดฟันแต่ก็ยังยิ้มต่อ เธอคีบเนื้อวางไว้ในถ้วยเฉิงเจวี้ยน “มา น้องชาย กินอันนี้ นี่ของโปรดนาย”

ทั้งสองคุยกันอยู่สองคน

เฉิงเหราฮั่นที่นั่งตรงข้ามอดแสยะยิ้มไม่ได้ “น้องสาม ได้ยินว่านายพาแฟนกลับมาด้วยนี่ ทำไมวันนี้ไม่พากลับมาด้วยล่ะ ว่ากันว่าช่วงนี้น้องรองก็อยู่เป็นเพื่อนเล่นแฟนน้องสามตลอด ลืมแม้กระทั่งสัญญาทำธุรกิจร่วมกับอวิ๋นกวง ไม่รู้ว่าสัญญานี้เป็นยังไงบ้าง?”

เฉิงเหราฮั่นมักจะขัดแย้งพวกเขาสองพี่น้องเสมอ ไม่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข นายท่านเฉิงเหลือบมองเฉิงเหราฮั่นก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “พอแล้ว”

เห็นได้ชัดว่านายท่านเฉิงเข้าข้างเฉิงเวินหรู ทว่าเฉิงเหราฮั่นก็ไม่ได้สนใจ เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ

ทันใดนั้นเฉิงมู่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเฉิงเจวี้ยนเงยหน้าขึ้น เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณชายใหญ่ คุณไม่รู้หรือครับ?”

เฉิงเหราฮั่นเหลือบมองเฉิงมู่ เขาไม่คิดว่าจู่ๆ เฉิงมู่จะเอ่ยขึ้นมา เช่นเดียวกับเฉิงเจวี้ยนที่แทบจะเป็นคนไร้ตัวตนในตระกูลเฉิง “อะไร?”

“คุณหนูใหญ่เซ็นสัญญากับอวิ๋นกวงเมื่อวานนี้แล้วนี่ครับ เป็นตระกูลแรกในสี่ตระกูลใหญ่ที่ได้ร่วมมือกับอวิ๋นกวง” เสียงเฉิงมู่ฟังดูซื่อๆ

แต่กลับสร้างความตกใจให้คนทั้งโต๊ะ

แม้กระทั่งนายท่านเฉิงที่สุขุมมาโดยตลอดก็อดตกใจกับประโยคนี้ไม่ได้ “เวินหรู จริงเหรอ?”

เฉิงเวินหรูวางตะเกียบ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เพิ่งเซ็นไปน่ะค่ะ เดิมทีหนูคิดจะรอให้สัญญามันนิ่งเสียก่อนแล้วค่อยบอกพ่อ”

รอยยิ้มเฉิงเหราฮั่นแข็งทื่อ

ตระกูลใหญ่หลายตระกูลกำลังจับตามองอวิ๋นกวงกรุ๊ป ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวง่ายๆ เฉิงเหราฮั่นเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยติดต่อกับอวิ๋นกวงกรุ๊ปมาก่อน ทว่าข่าวที่ส่งออกไปกลับไม่มีสัญญาณตอบรับเหมือนโยนหินลงมหาสมุทร

ช่วงนี้บริษัทเฉิงเวินหรูมีปัญหาไม่ใช่เหรอ?

ทำไมเธอถึงเซ็นสัญญากับอวิ๋นกวงกรุ๊ปได้สำเร็จ? เธอทำได้ยังไง ? !

เฉิงเหราฮั่นไม่มีกะจิตกะใจจะฟังคำพูดที่เฉิงเวินหรูคุยกับผู้ดูแลตระกูลเฉิงต่อจากนั้น ในหัวเขาแทบระเบิด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ออกว่าเฉิงเวินหรูไปเซ็นสัญญานี้ได้อย่างไรกันแน่…

ขณะที่เฉิงเหราฮั่นกำลังคิดเรื่องพวกนี้ เฉิงเวินหรูก็เหลือบมองเฉิงมู่อย่างครุ่นคิด

หาโอกาสเอนหลังแล้วเลิกคิ้วถาม “เฉิงมู่ นายรู้เรื่องที่ฉันเซ็นสัญญาได้ยังไง?”

เธอไม่เชื่อว่าฉินหร่านเป็นคนพูดมาก

เฉิงมู่ก้มหน้า “…ผมเดาเอาน่ะ”

**

ฉินซิวเฉินจอดรถไว้ที่ข้างประตูโรงเรียนจงต้า ด้วยหน้าตาของเขาจึงไม่สะดวกที่จะลงรถ เขาจึงส่งโลเคชันของตัวเองให้ฉินหลิง

จากนั้นเปิดชุดหูฟังบลูทูธ

มีเสียงผู้หญิงแหบห้าวดังมาจากหูฟัง “ซุปตาร์ฉิน พวกเราได้ข้อมูลแล้ว”

ฉินซิวเฉินวางมือบนพวงมาลัย สายตาของเขาเห็นฉินหลิงที่เดินออกมาจากประตูโรงเรียนแล้ว เขาพูดอย่างสุภาพ “ค่าใช้จ่ายที่เหลือผมจะให้ฝ่ายการเงินติดต่อคุณ รบกวนส่งข้อมูลมาให้ผมทางอีเมล”

เสียงปลายสายยังคงแหบห้าว “ค่ะ”

ฉินซิวเฉินวางสาย ถอดหูฟัง และมองไปด้านนอกรถ

ฉินหลิงยืนกวาดตามองอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ฉินซิวเฉินส่งข้อความให้เขาแล้ว เขาจึงรู้เลขทะเบียนรถและสีรถที่ฉินซิวเฉินจอดอยู่ มองแวบเดียวก็เจอ

จากนั้นก็สะพายกระเป๋าเป้ไปที่รถฉินซิวเฉิน เปิดประตูฝั่งข้างคนขับ

ฉินซิวเฉินไม่ได้พาเขาไปที่โรงแรม แต่พาไปที่คอนโดตัวเอง

คอนโดที่เขาพักมีศิลปินพักอยู่ไม่น้อย มีความเป็นส่วนตัวมาก ฉินซิวเฉินไม่มีอะไรต้องปิดบัง เขาจึงพาฉินหลิงไปที่นั่น

“ไปกันเถอะ ฉันคุยกับพ่อนายแล้วว่านายอยู่กับฉัน” ฉินซิวเฉินหยิบรองเท้าแตะให้ฉินหลิงตรงบริเวณทางเข้า

เขาเดินเข้าไปข้างในสองก้าว “นี่เป็นห้องของนาย ข้างในมีคอมพิวเตอร์กับเครื่องเล่นเกม นายไปเล่นก่อนก็ได้ ฉันจะไปทำกับข้าว”

เขาได้ยินพ่อบ้านบอกว่าฉินหลิงเด็กคนนี้ค่อนข้างเก็บตัวและยังชอบเล่นเกม เขาใช้เวลาทั้งวันเพื่อให้คนจัดห้องโดยเฉพาะพร้อมกับซื้อเครื่องเล่นเกมที่ยกเลิกการผลิตมาไม่น้อย

ฉินซิวเฉินเข้าไปลดไฟที่หม้อซุปแล้วหมักปีกไก่

ประตูห้องฉินหลิงไม่ได้ปิด เขาเหลือบเห็นอีกฝ่ายกำลังสวมหูฟังและถือคอนโซลเล่นเกม ข้างๆ มีกองแผ่นเกมวางอยู่

ฉินซิวเฉินยิ้ม เขายืนมองอยู่หน้าประตูได้สักพักก็นึกอะไรขึ้นมาได้ กลับไปที่ห้องตัวเองแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ล็อกอินเข้าอีเมล

นี่คือข้อมูลพี่สาวฉินหลิงที่เขาให้คนไปสืบมา