บทที่ 296 ประลอง
บทที่ 296 ประลอง
ในส่วนของเนื้อหาเกมที่มีอยู่ในเมืองจักรพรรดิเท่านั้นอย่างอารีน่า มันทำให้ผู้เล่นมากมายต่างให้ความสนใจกับสิ่งนี้ เพราะงั้นแล้วหลังจากที่พวกเขาเสร็จภารกิจเปลี่ยนคลาสขั้นที่ 2 กันแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นผู้เล่นที่มีเลเวลสูง อารีน่าจึงถือเป็นจุดรวมตัวของพวกเขาที่สามารถใช้ความแข็งแกร่งได้ดีเลยทีเดียว
เมื่อครั้งที่เซียวเฟิงมาสองวันก่อนหน้านี้ อารีน่ายังเป็นเพียงลานโล่ง ๆ ที่เงียบสงบและไร้ซึ่งผู้คนอยู่เลย แต่ในวันนี้มันกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว มีผู้เล่นจำนวนมากกำลังต่อสู้กับผู้เล่นด้วยกันเองอยู่ภายในอารีน่าแห่งนี้
นอกจากผู้ที่อยู่ในสนาม ข้างสนามเองก็ยังมีผู้มารับชมการต่อสู้อยู่อีกหลายร้อยชีวิต ต้องขอบคุณเหล่าผู้เล่นระดับสูง ๆ ที่พากันเปลี่ยนคลาสแล้วมาทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสนามประลองที่ร้อนแรงขึ้นมาได้
“ซีเหมินนี่จะแข็งแกร่งเกินไปแล้วนะ ขนาดหวงฟูยังเอาชนะเขาไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่สู้กันมาตั้งหลายรอบแล้วแท้ ๆ ”
“มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่ ซีเหมินน่ะอยู่ในโลกของเกมมาตั้งหลายปี เขาเริ่มเล่นเกมก่อนพวกเราซะอีก เพราะงั้นเขาน่ะรู้กฏในสนามประลองนี่ดีกว่าใคร ๆ แน่นอน พอระดับของเลเวลและอุปกรณ์ไม่มีผลแล้ว มันย่อมเป็นเรื่องปกติเลยถ้าพวกเราจะไม่มีทางชนะเขาได้”
“ใช่แล้ว ซีเหมินน่ะมีประสบการณ์ด้านนี้เป็นทุน ไหนจะยังเป็นอัจฉริยะในหมู่พวกเราอีก การที่คิดจะล้มเขาให้ได้น่ะมันเป็นเรื่องยากเกินไป การที่หวงฟูยังทำไม่ได้ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันแล้ว”
“เว้นแต่ว่าคนในตระกูลซวนหยวนจะเกิดทันในรุ่นพวกเราล่ะนะ แต่คงไม่มีทางหรอก เพราะคนของตระกูลนั้นน่ะหายสาปสูญไปตั้งหลายร้อยปีแล้วนี่นา พวกเขาไม่น่าจะมีเชื้อสายหลงเหลือบนโลกนี้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะมีวิธีสืบเชื้อสายกันโดยที่พวกเราไม่รู้ แต่มันน่าจะไม่มีทางอยู่ถึงยุคนี้ได้แล้ว”
ภายในส่วนของผู้ชมที่อยู่รอบอารีน่า ผู้เล่นหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังดูการต่อสู้กันของผู้เล่นที่เกิดขึ้นภายในส่วนสนามประลอง ระหว่างนั้นพวกเขาก็คุยกันด้วยเสียงเบาไปด้วย แม้ว่าพวกเขาจะปิดชื่อเอาไว้ แต่ชื่อกิลด์นั้นไม่สามารถปกปิดได้ เผยให้เห็นว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นคนของกิลด์แอนติควิตี้
“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครที่พอจะสู้ได้ ถ้าหากคนของตระกูลจางปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาน่าจะสู้กับซีเหมินได้แน่ ๆ ยังไงซะ ในแง่ของการสืบทอดอำนาจที่ยิ่งใหญ่น่ะ ไม่มีตระกูลไหนเทียบเท่าตระกูลจางได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวลือว่ามีคนของตระกูลจางก้าวเข้าสู่โลกของเกมมาแล้วก็ถูกยืนยันแล้วด้วยอีกเหมือนกัน ถ้าเมื่อไหร่เขาคนนั้นจุติแล้วจริง ๆ ฉันคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไง”
“แต่ภายในตระกูลจางเองก็ยุ่งไปหมดเลยไม่ใช่เหรอ? เพราะงั้นมันไม่น่าเป็นไปได้ถ้าตระกูลจางจะกระทำการใหญ่แบบนั้นได้นะ ถ้าจะบอกว่าปัญหามากมายของตระกูลจางมันเกิดจากแค่ความต่างระหว่างคนในกับคนนอกก็ยังได้ อย่างเช่นตอนนี้ที่ตระกูลจางส่ง จางเสี่ยวหยู ซึ่งเป็นคนนอกมาเข้าร่วมกับพวกเรา ฉันคิดว่าจางเสี่ยวหยูเนี่ยมีจุดประสงค์และเป้าหมายคนละแบบกับพวกเราเลย”
“แบบนี้ก็น่าจะเข้าเค้ากับข่าวลือที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วมั้งที่ว่าดูเหมือนจะมีใครสักคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับพวกเราของตระกูลจางตายไปก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี แล้วถ้าไล่เอาตามรุ่นแล้วฉันคิดว่าคนคนนั้นน่าจะเป็นพี่ชายของจางเสี่ยวหยู ดังนั้นการที่เธอออกมาเช่นนี้ มันจะต้องเกี่ยวกับเรื่องการตายของพี่ชายเธอแน่ ๆ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็เป็นไปได้ว่าเธอน่าจะกำลังสืบหาสาเหตุของเรื่องนี้ การตายของทายาทสายตรงไม่ว่าตระกูลไหนก็ปล่อยผ่านไม่ได้ทั้งนั้น ยิ่งกับตระกูลจางที่ทรงอิทธิพลเช่นนี้”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามนะ เราพูดถึงตระกูลจางให้น้อยลงจะดีกว่า ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควรนักถ้าเราจะมานั่งจับกลุ่มนินทาเรื่องนี้ แถมตอนนี้ตระกูลจางก็ยังส่งคนเข้ามาร่วมกับกิลด์แอนติควิตี้ของพวกเราด้วย ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังเคารพพวกเราอยู่”
“งั้นก็หยุดพูดตั้งแต่ตอนนี้แหละ”
ชายหนุ่มหลายคนพากันหยุดพูดต่อด้วยความหวาดกลัวก่อนจะหันกลับไปรับชมการต่อสู้ในสนามประลองต่อ
“อืม…จะว่าไปซางกวน อาโอเชินนั่นก็ไม่เลวเลยนะ นี่เขารับมือซีเหมินมานานขนาดไหนแล้วเนี่ย?”
“เด็กคนนี้มีศักยภาพมากนะ ไหนจะความพยายามอย่างไม่ย่อท้อนั่นอีก แต่ก็น่าเสียดายที่ยังไงเขาก็ไม่ใช่คู่มือของซีเหมินอยู่ดี”
ในขณะนี้ ภายในสนามประลองนั้นเป็นซีเหมินชุยเสวียกับซางกวน อาโอเชินที่กำลังสู้กันอยู่ การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้ายได้โดยที่ไม่สูญเสียผู้ชมเลย มันมีเรื่องให้พวกเขาได้ตกใจอยู่เรื่อย ๆ
อาวุธที่ซีเหมินชุยเสวียเลือกใช้ เป็นดาบมือเดียวเล่มยาวบนมือขวา ส่วนมือซ้ายไข้วหลังไว้ในท่าทีสง่าผ่าเผย ร่างของเขายืนเป็นเส้นตรงกับตั้งฉากกับพื้นอย่างมั่นคง การตวัดดาบฟาดฟัดแต่ละทีล้วนหนักหน่วง รวมไปถึงการทิ่มแทงอย่างแม่นยำใส่ซางกวน อาโอเชินด้วย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ขยับตัวไปไหน แต่ด้วยความรวดเร็วและจังหวะที่รุนแรงของการสะบัดมือ มันก็ทำให้ดาบเคลื่อนเข้าโจมตีเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างต่อเนื่องและฉับไวจนเห็นเพียงเงาดาบที่ขยับไปมาเท่านั้น
ซางกวน อาโอเชินจับดาบสองมือของตนไว้ให้มั่น เขาใช้มันประสานกันเป็นรูปกากบาท ขณะที่กัดฟันรับการโจมตีที่เข้ามาด้านหน้าอย่างว่องไวไม่พลาดแม้แต่ครั้งเดียว
บล็อก!
บล็อก!
บล็อก!
…
เงาดาบที่ทิ่มแทงลงมามันรวดเร็วจนเหมือนกับสายรุ้งสีเงิน การที่ซางกวน อาโอเชินสามารถรับกระบวนท่าดาบเหล่านั้นได้ตลอดมันจึงทำให้เกิดเสียงปะทะกันของเหล็กและทองคำดังระงมไปทั่วทั้งสนามตลอดการประลอง หลังจากที่เงาดาบพวกนั้นหายไปพร้อมกับการหยุดชะงักของการโจมตีจากซีเหมินชุยเสวียไปครู่หนึ่ง การโจมตีก็กลับมาอีกครั้ง ดาบยาวเล่มเดิมเริ่มขยับตวัดฟาดฟันใหม่พร้อมกับเงาคมดาบระลอกใหม่ที่โถมเข้าโจมตีอย่างหนักหน่วงดังเดิม
เด็กหนุ่มไม่ได้อยากจะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของตน เขารีบโต้กลับในทันที ดาบที่อยู่ในมือซ้ายถูกยกขึ้นรับดาบยาวที่ฟันลงมาในขณะที่ดาบในมือขวาก็สะบัดแล้วแทงเข้าใส่ซีเหมินชุยเสวียไปด้วย
ซีเหมินชุยเสวียยกดาบของตนกลับคืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้มันแทงสวนเข้ากับดาบของซางกวน อาโอเชินที่พุ่งเข้ามาจนปลายดาบมันปะทะกันเอง
บล็อก!
ภาพที่เกิดขึ้นนี้ หากจะบอกว่าเป็นภาพการปะทะกันของดาบที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็ว่าได้ แม้จะเป็นเพียงปลายดาบ แต่ซีเหมินชุยเสวียก็สามารถหยุดการโจมตีของซางกวน อาโอเชินไว้ได้
ในขณะเดียวกันแรงปะทะนั้นก็ย้อนกลับเข้าไปหาตัวซางกวน อาโอเชินจนเขาต้องกระโดดถอยกลับเองด้วย
ซีเหมินชุยเสวียไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายลงพื้นได้อย่างสงบ เขาใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าไปและใช้ดาบยาวในมือโบกสะบัดอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาดาบสามเล่มพุ่งเข้าโจมตีร่างที่กำลังจะลงพื้นนั้น
-42!
-37!
-45!
ค่าความเสียหายที่การโจมตีเมื่อครู่นี้ทำได้ปรากฏขึ้นเหนือหัวซางกวน อาโอเชิน พลังชีวิตเขาหายไปจนหมดในทันที ซึ่งนี่หมายถึงการต่อสู้ได้จบลงแล้วก่อนระบบจะปรากฏว่าผู้ชนะคือซีเหมินชุยเสวีย!
“ดาบสองมือก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็มันก็ยังไม่ใช่ที่สุด ดาบมือซ้ายนั่นเทอะทะไปหน่อย แล้วมันก็พลอยทำให้ความเร็วในการใช้ดาบของมือหลักลดถอยลงไปด้วย”
ซีเหมินชุยเสวียมองซางกวน อาโอเชินโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เขาหันหลังแล้วเดินออกจากสนามประลองพร้อมกับทิ้งคำพูดเบา ๆ เหล่านั้นเอาไว้ด้วย
เด็กหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งในสนามประลอง มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากสำหรับเขามาก ๆ ที่ต้องยอมรับผลการแข่งขันเช่นนี้
“ถ้าฉันได้เรียนรู้สกิลนั้นก่อนล่ะก็ ผลลัพธ์มันต้องไม่เป็นแบบนี้แน่!”
สกิลที่ซางกวน อาโอเชินพูดถึงคือสกิลที่ใช้สำหรับต้านแรงปะทะ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้ แรงปะทะที่มาจากการรับการโจมตีของซีเหมินชุยเสวียคือสาเหตุที่ทำให้เขาพ่ายแพ้
มันถือเป็นหนึ่งในสกิลการปัดป้องการโจมตีในระดับหายาก หลิวเฉียงเหว่ยสุ่มมันได้จากเมื่อตอนอีเวนต์ล่าสมบัติทั้งเซิร์ฟเวอร์ และล่าสุดกิลด์แอนติควิตี้ของเขาก็ไปได้มันมาจากการประมูลที่ร้านค้ามหาสมบัติเมื่อครั้งที่พวกเขาเอาคทาแห่งปราชญ์ไปประมูล หนังสือสกิลเล่มนั้นตกไปอยู่ในมือของซีเหมินชุยเสวีย หลังจากที่ตัดสินแล้วว่าไม่มีใครสามารถเทียบเคียงเขาได้ รวมถึงซางกวน อาโอเชินด้วย…
สำหรับคลาสนักดาบแล้ว การที่มีสกิลนั้นไว้ครอบครองได้ ไม่ต่างอะไรกับมีเวทมนตร์ และนั่นก็เป็นเรื่องจริงสำหรับซางกวน อาโอเชินด้วย เขามั่นใจว่าหากสกิลนั้นมาตกอยู่ในมือตัวเองละก็ เขาจะต้องโค่นซีเหมินชุยเสวียได้แน่ ๆ
“หวังพึ่งอย่างอื่นก็ไม่ต่างอะไรกับการหาวิธีโกงหรอก ทางเดียวที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้ ก็คือการพึ่งตัวเองเท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของซางกวน อาโอเชิน ซีเหมินชุยเสวียก็พูดขึ้นโดยไม่หันมามองและเดินหายออกจากสนามประลองไปเลย
“ซีเหมิน นายแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย!”
“สมแล้วจริง ๆ ที่นายเป็นอัจฉริยะในหมู่พวกเราน่ะ!”
ทันทีที่ซีเหมินชุยเสวียเดินออกมาจากสนามประลอง เหล่าผู้เล่นหนุ่มจากกิลด์แอนติควิตี้ก็รีบเข้าไปล้อมวงเขาไว้ ไม่ต้องเดาก็รู้ คนเหล่านี้พากันกล่าวเยินยอเขา ส่วนคนแพ้อย่างซางกวน อาโอเชินก็ถูกลืมไปตามระเบียบ
“หือ? ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้น ๆ กับคนคนนั้นนะ?”
ระหว่างนั้น ท่ามกลางกลุ่มชายเหล่านี้ หนึ่งในพวกเขาก็หันมองไปยังทิศทางของสนามประลองก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“อะไรงั้นเหรอมู่หรง?”
บางคนเอ่ยถามเขากลับ ชายผู้ที่กำลังงุนงงคนนี้คือมู่หรงหยุน เมื่อตอนอีเวนต์ล่าสมบัติเขาเคยถูกเซียวเฟิงฆ่าตายมาก่อน
“นักบวชนั่น… เหมือนกับคนที่เคยฆ่าฉันเมื่อครั้งก่อนเลย ที่เขาเรียกกันว่าบุคคลอันดับหนึ่งของเขตฮัวเซีย อะไรเนี่ยแหละ”
ที่ปลายสายตาของมู่หรงหยุนนั้น มีนักบวชคนหนึ่งกำลังยืนดูกฏการใช้อารีน่าอยู่
แน่นอนว่าคนคนนั้นคือเซียวเฟิงตามที่เขาสงสัย ถึงแม้ว่าเขาจะปกปิดชุดมังกรที่น่าเกรงขามไว้ด้วยชุดแฟชั่น แต่ไม่ได้สวมหน้ากาก มู่หรงหยุนเลยยังจำเขาได้
“คนนั้นคือเซียวเฟิงจริง ๆ ”
ซีเหมินชุยเสวียที่มองไปยังเซียวเฟิงเองก็พูดยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทันใดนั้นแววตาของเขาก็ดูจะเปล่งประกายขึ้นมาเช่นกัน
“โฮ่ ไอ้นักบวชนั่นก็มาที่อารีน่านี่ด้วยงั้นเหรอ? น่าสนใจดีนี่ ฉันล่ะอยากจะล้างแค้นให้มู่หรงจริง ๆ”
กลุ่มของนักดาบไม่รอช้า รีบมุ่งหน้าตรงไปหาเซียวเฟิงด้วยความคิดชั่วร้ายในทันที ซีเหมินชุยเสวียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ท้ายสุดจะยอมเดินตามกิลด์ของเขาไป ซางกวน อาโอเชินที่เหมือนจะรู้จุดประสงค์ของพรรคพวกของตนก็ไม่รอช้า เขาตกใจก็จริงแต่ก็รีบส่งข้อความส่วนตัวหาเซียวเฟิงก่อน
ขณะนั้นเซียวเฟิงกำลังศึกษากฏของการต่อสู้ในอารีน่าอยู่ เมื่อครั้งที่แล้วเขาไม่ได้สนใจที่จะอ่านมันเพราะยังไม่เจอศัตรูที่คู่ควร แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะต้องรีบศึกษาไว้แล้ว
มันมีกฏมากมายที่ถูกตั้งขึ้นในการประลองในอารีน่านี้ ตัวอย่างเช่น ประเภทของการต่อสู้ที่สามารถถูกแบ่งยิบย่อยได้หลายหัวข้อ ไม่ว่าจะเป็น ต่อสู้อิสระ การท้าประลอง หรือจะเป็นการสุ่มคู่มาประลองเองก็มีเช่นกัน
ท่ามกลางรูปแบบการต่อสู้เหล่านี้ สิ่งที่นิยมสุดคือ ‘แมทช์เกม’ เมื่อผู้เล่นเลือกสนามประลองเสร็จและเข้าสู่ช่วงเตรียมตัวแล้ว ระบบจะสุ่มหาคู่ต่อสู้ที่กำลังเตรียมพร้อมอยู่แล้วมาให้เอง ทั้งสองจะเข้ามาต่อสู้กันในสนามประลองที่เลือกหลังจากที่การนับถอยหลังสิ้นสุดลง ผู้ชนะจะได้รับแต้มชัยชนะ ในขณะที่ผู้แพ้เองก็ไม่โดนลงโทษอะไรด้วย การจัดอันดับในอารีน่าจะนับเอาจากแต้มชัยชนะเท่านั้น นอกจากนี้แต้มชัยชนะยังสามารถใช้แลกเปลี่ยนของรางวัลได้ด้วย ในบรรดาของรางวัลที่มีให้แลก เซียวเฟิงสนใจแต้มสกิลมากที่สุดแล้ว
การต่อสู้แต่ละแบบมีเสน่ห์เป็นของมันเอง นอกจากนี้รายละเอียดยิบย่อยเองก็ยังมีให้อ่านอีกเยอะด้วย ไม่ว่าจะเป็นหากใครก็ตามที่ตายในอารีน่า พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษและจะสามารถคืนชีพในจุดที่ตายได้เลย หรือจะเป็นอาวุธและอุปกรณ์รวมถึงสกิลทุกชนิดสามารถนำมาใช้ในสนามประลองได้ แต่ไม่สามารถเรียกสัตว์ขี่หรือสัตว์เลี้ยงมาช่วยได้ เป็นต้น
ในทันทีที่เซียวเฟิงเข้าใจกฎของอารีน่า ก็ได้รับข้อความส่วนตัวจากซางกวน อาโอเชินพอดี เขาหันกลับไปมองด้านหลังแล้วจึงพบกับกลุ่มชายฉกรรจ์จากกิลด์แอนติควิตี้ที่กำลังทำตัววางมาดเดินเข้ามาจากทางนั้น
“เฮ้ ๆ นี่มันคนดังประจำเขตนี่หว่า? นายคือเจ้าแห่งฮีลเลอร์ใช่มะ?”
มู่หรงหยุนเป็นฝ่ายพูดก่อน เขามองไปยังเซียวเฟิงด้วยสายตาที่เย็นชาพร้อมกับแสดงท่าทีข่มเหงอย่างไม่ปกปิด
“มีอะไรหรือเปล่า?” เซียวเฟิงเหลียวมองพวกเขาทั้งหมด โดยเฉพาะซีเหมินชุยเสวีย ก่อนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“เป็นนายจริง ๆ ด้วย พ่อคนดังประจำเขตฮัวเซีย นายควรจะไปรีบเก็บเลเวลเพื่อรักษาอันดับไว้ไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงมาอยู่ในสนามประลองได้ล่ะหือ?”
คำพูดที่เหมือนจะเหยียดหยามตลอดเวลายังหลุดออกมาจากปากของมู่หรงหยุนไม่หยุด เขาพูดเหมือนกับว่าถ้าเซียวเฟิงหยุดเก็บเลเวลสักชั่วโมง เซียวเฟิงจะสูญเสียอันดับ 1 ไปเสียอย่างนั้น
“ฉันก็แค่เหนื่อยกับการเก็บเลเวล ก็เลยอยากจะหาอะไรอย่างอื่นเล่นบ้างถึงได้มาที่อารีน่านี่ เผื่อว่าจะมีคนมาให้สู้ด้วยสักหน่อย” เซียวเฟิงยิ้มและไม่ได้แสดงความหงุดหงิดออกมาแต่อย่างใด
“หา? นี่ฉันหูเพี้ยนป่ะเนี่ย? นักบวชมาที่นี่เพื่อจะประลองเหรอ? นี่ฉันจะหัวเราะตายไหมวะเนี่ย!”
“ปี ๆ นึงพวกเราก็เจอคนแปลก ๆ เยอะอยู่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าปีนี้จะเป็นนักบวชที่ทำตัวแปลก ๆ นี่นายสามารถเข้าอารีน่าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”
“นายเหมาะกับการไปทำภารกิจแล้วก็อัปเลเวลจากการเคลียร์มอนสเตอร์ดีกว่านะ หรือไม่ก็ไปลงดันเจี้ยน อารีน่าไม่มีอะไรให้นักบวชทำแล้วสนุกหรอก นี่นายได้อ่านกฏการประลองแล้วหรือยังเนี่ย?”
“ที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับนาย! อย่ามาทำให้ตัวเองเสียหน้าเลยดีกว่า! ฉายาผู้เล่นอันดับ 1 ของนายน่ะ มันไม่ช่วยให้นายรอดไปได้หรอกนะ!”
“อารีน่ามันเอาไว้แสดงความแข็งแกร่ง คนที่วัน ๆ เอาแต่ฆ่ามอนสเตอร์แล้วอัปเลเวลอย่างนายน่ะ มีค่าพอจะมาที่นี่เหรอ?”
กลุ่มของนักดาบหนุ่มเหล่านี้ต่างพากันเยาะเย้ยและหัวเราะ พวกเขาชี้ไปยังเซียวเฟิงราวกับว่าเห็นตัวตลกก็มิปาน
“ฉันเห็นนายอ่านกฏของอารีน่าอยู่เมื่อกี้ ยังไม่เข้าใจความหมายของการประลองดีล่ะสิ? ถ้ายังไงให้พวกเราช่วยอธิบายให้ไหม?”
หนึ่งในคนเหล่านี้ มู่หรงหยุนคือผู้ที่หัวเราะเสียงดังสุด เขามองเซียวเฟิงด้วยสายตาแดกดันและดูหมิ่น
“ได้สิ ฉันไม่เคยประลองมาก่อนเลย พวกนายเองน่าจะช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีให้ฉันได้” เซียวเฟิงยังคงยิ้ม แถมยังยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกด้วย
“ฮ่า ๆๆ นายนี่มันมือใหม่จริง ๆ! มานี่ พวกนายอย่ามาแย่งเชียว เดี๋ยวฉันจะสอนนายถึงวิธีการประลองเอง เอาล่ะ ตอนนี้ฉันจะชวนนายเข้าไปในการต่อสู้อิสระก่อน นายเพียงแค่ต้องกดยอมรับเท่านั้น”
** มาแล้วผู้อ่านจ๋าาา เปิดนิยายให้อ่านฟรี กว่า 700 ตอน **
คัดสรรนิยาย 4 เรื่อง 4 แนว สุดฮิตมาให้อ่านกันตลอดช่วงซัมเมอร์นี้ ต้องรีบไปอ่านแล้ววว
ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย – 18 เม.ย. นี้
อ่านได้เลยที่ www.enjoybook.co
ติดตามผลงานและข่าวสารจากเราได้ที่ เพจ EnjoyBook