บทที่ 297 จางเสี่ยวหยู
บทที่ 297 จางเสี่ยวหยู
“ฮ่า ๆๆ นายนี่มันมือใหม่จริง ๆ! มานี่มา พวกนายอย่ามาแย่งฉันเชียว เดี๋ยวฉันจะสอนหมอนี่ให้รู้จักการประลองเอง ก่อนอื่นฉันจะชวนนายต่อสู้อิสระก่อน นายเพียงแค่ต้องกดยอมรับเท่านั้น”
ชายหนุ่มผู้มีชื่อตัวละครว่า เจียงเทียน เป็นฝ่ายชิงกดคำเชิญเข้าร่วมการต่อสู้อิสระแก่เซียวเฟิงก่อนด้วยสีหน้าพึงพอใจ การที่เขาสามารถส่งคำเชิญให้เซียวเฟิงได้เร็วกว่าคนอื่นนั้น นำพาความเสียดายมาให้แก่ทุกคนไม่น้อย
การต่อสู้อิสระ คือการต่อสู้ที่ผู้เล่นสามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หนึ่งต่อหลายคน หรือจะเป็นตะลุมบอนก็ได้ทั้งหมด และด้วยความที่มันไม่จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ได้รับแต้มชัยชนะในการต่อสู้แบบนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนปั๊มแต้มกันนั่นเอง
เซียวเฟิงยิ้มและไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มทำเพียงตอบรับคำเชิญนั้นอย่างว่าง่าย แล้วทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีขาวก็นำพาตัวเขาเข้าไปยังสนามประลองที่เลือกไว้พร้อม ๆ กับเจียงเทียน ขณะเดียวกันตัวเลขนับถอยหลัง 10 วินาทีก็ปรากฎขึ้นมาบนหัวของแต่ละฝ่ายด้วย
“การประลองกับกำจัดมอนสเตอร์น่ะ มันคนละแบบกันเลยนะ อย่าคิดว่าการที่นายสามารถอัปเลเวลได้เร็วกว่าคนอื่นด้วยอาวุธที่ได้เปรียบในภารกิจจะทำให้นายสูงส่งนักเลย เดี๋ยวฉันจะสอนให้รู้เองว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงคืออะไร!”
เจียงเทียนแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ ในขณะที่เหยียดหยามเซียวเฟิงอยู่ เขายกมือขึ้นเหมือนเล็งปืนไปทางเซียวเฟิง จากนั้นก็ดึงดาบที่อยู่ด้านหลังออกมาด้วยมือขวามาชี้หน้าเซียวเฟิงด้วยเช่นกัน
“เข้ามาเลย”
คทาแห่งปราชญ์ในมือของเซียวเฟิงสะบัดขึ้นลง เขาจับด้ามยาว ๆ ของมันเหมือนกับกำลังจับค้อน ส่วนที่ปลายหัวที่มีคริสตัลใส ๆ ขนาดเท่าลูกวอลเลย์บอลอยู่ลูกหนึ่งเองก็ดูจะน้ำหนักกำลังดีเช่นกัน
และในจังหวะที่เวลานับถอยหลังกำลังจะเข้าสู่เลข 0 นั้นเอง
“คมดาบฟาดฟัน!”
ร่างของเจียงเทียนเริ่มขยับทันทีที่เวลานับถอยหลังหมดไป ร่างที่เคยใช้สองนิ้วชี้ใบหน้าเซียวเฟิง ตอนนี้ได้หายไปจากจุดเดิมแล้วในชั่วพริบตาเดียว
แม้จะจับสัมผัสได้เรื่อย ๆ แต่เมื่อหันตามมันก็เป็นเพียงภาพมายาไปแล้ว นักดาบหนุ่มใช้วิธีนี้ก่อนจะเข้าประชิดอีกฝั่งได้ มือซ้ายของเขาเหวี่ยงไปด้านหลังขณะที่มือขวาที่ถือดาบก็ถูกสะบัดมาด้านหน้าพร้อมโจมตีเซียวเฟิงด้วยกระบวนท่าคมดาบฟาดฟัน!
ความเร็วของเขาถือว่าเร็วมาก ๆ เลยทีเดียว เพราะด้วยระยะทางระหว่างขอบสนามฝั่งหนึ่งมายังอีกฝั่งหนึ่งนั้นมันค่อนข้างไกลไม่น้อย แต่คนคนนี้สามารถพุ่งเข้ามาหาเซียวเฟิงได้ในเวลาเพียงวินาทีเดียว แต่กระนั้นแล้ว เซียวเฟิงก็ยังไม่ได้ตอบสนองใด ๆ
ถึงอย่างนั้นเจียงเทียนก็หาได้ประมาทไม่ เขาเคลื่อนตัวเองเข้าไปใกล้เซียวเฟิงพร้อมกับดาบที่เปล่งประกายของตน แสงที่สะท้อนบนดาบนั้นแสดงให้เห็นว่ามันถูกดูแลมาอย่างดีตลอดการใช้งาน แต่ไม่ทันจะได้พินิจพิเคราะห์ความงามดาบเล่มนี้นัก เจียงเทียนก็เปิดฉากการโจมตีใส่เซียวเฟิงทันที
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
การโจมตีที่รุนแรงนั้นเหมือนกับฝนดาวตกที่กระหน่ำลงมา คือท่วงท่าที่จะฟัดดาบลงมาต่อเนื่องกันสามครั้งของคลาสนักดาบ แต่เจียงเทียนได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นการสะบัดคลื่นดาบออกไปสามครั้ง แต่การจะทำเช่นนี้ได้จะต้องใช้ความเร็วที่สูงมาก และมันจึงทำให้คลื่นดาบดังกล่าวพุ่งเข้าใส่เซียวเฟิงด้วยความเร็วระดับที่ตัวเองยังเกือบจะมองไม่ทันด้วย ซึ่งเป้าหมายของคลื่นดาบเหล่านั้นล้วนเป็นจุดอ่อนของมนุษย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หว่างคิ้ว คอและหัวใจ
“เยี่ยม ฝีมือของเจียงเทียนพัฒนาขึ้นเร็วจริง ๆ”
“เสียดายที่ฉันเร็วไม่เท่าเจ้าเจียงเทียน ไม่งั้นฉันคงจะได้ไปสอนไอ้นักบวชหลงตัวเองนี่แทนแล้ว นี่มันคิดจริง ๆ เหรอว่าจะไม่มีใครสามารถหยุดมันได้เพียงเพราะมันเลเวลเยอะกับมีอุปกรณ์ระดับสูงอยู่? คนแบบนี้สมควรจะอยู่ในอารีน่าจริง ๆ เหรอ?”
“ฉันล่ะอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าไอ้คนที่ถูกเรียกว่า ผู้เล่นอันดับหนึ่งของเขตฮัวเซียเนี่ย ตอนที่ถูกพวกเราเล่นซะยับในการประลองจะทำสีหน้ายังไง น่าสนใจสุด ๆ ไปเลยว่าไหม?”
ที่ด้านล่างสนาม คนบางส่วนก็กำลังพยักหน้าอย่างชื่นชม พวกเขาไม่ลืมที่จะเยาะเย้ยเซียวเฟิงไปด้วยตลอดเวลา มีเพียงซีเหมินชุยเสวียเท่านั้นที่ยังคงเงียบ และเฝ้ามองสถานการณ์บนสนามประลอง
เด็กน้อยซางกวน อาโอเชินก็มารับชมการประลองนี้ด้วย เขาหาตำแหน่งดี ๆ เพื่อให้เห็นการต่อสู้ชัด ๆ และนั่งลงไปหลังจากได้อ่านข้อความตอบกลับจากเซียวเฟิงมาแล้ว แววตาที่เป็นประกายจับจ้องไปยังสิ่งที่เกิดบนสนามด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“ทำไมหมอนั่นถึงไม่ขยับเลยล่ะ? เจียงเทียนเข้าไปใกล้ขนาดนี้แล้ว ยังไม่คิดจะถอยอีกเหรอ? ไอ้นักบวชนี่คิดจะสู้กับนักดาบระยะประชิดจริงดิ?”
“บางทีอาจจะกลัวจนสติแตกไปแล้วก็ได้ ฮ่า ๆๆ ยังไงซะก็ไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนทำแบบเจียงเทียนได้ด้วยสิ”
เจียงเทียนเข้ามาใกล้เซียวเฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ กระนั้นเซียวเฟิงก็ยังไม่ได้ขยับไปไหน มันยิ่งทำให้ผู้คนที่อยู่ข้างสนามยิ่งแสดงความเยาะเย้ยออกมามากขึ้นไปอีก…
แต่แล้วเซียวเฟิงก็ขยับในจังหวะสุดท้าย เมื่อคลื่นดาวทั้งสามเข้าใกล้ตัว ชายหนุ่มก็ยกแขนขึ้นพร้อมกับคทานักปราชญ์ที่ถูกถือไว้เหมือนค้อน จากนั้นก็ตั้งท่าเหมือนนักกีฬาเบสบอลก่อนจะหวนคทาออกไปเต็มแรงเมื่อจังหวะมาถึง
ผัวะ!
-498! คริติคอล!
[การประลองจบลงแล้ว! ฝ่ายที่ชนะคือ ผู้เล่นแด๊ด!]
ทุก ๆ คนไม่ได้ขยับไปไหนทั้งสิ้น แต่ได้ยินเพียงเสียงของบางสิ่งบางอย่างปะทะกัน รู้ตัวอีกทีร่างของเจียงเทียนก็กระเด็นลอยออกไปเหมือนกับว่าวที่สายป่านขาดเสียแล้ว ตัวเลขแสดงความเสียหายที่ปรากฏบนหัวเขา มันแสดงให้เห็นว่าเขาถูกฆ่าตายเพราะการโจมตีครั้งนั้นอย่างแน่นอน
“กะ…เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
นอกจากซีเหมินชุยเสวียที่ยังอยู่ในท่าทีสง่างามแล้ว ชายหนุ่มทุกคนที่อยู่รอบสนามต่างก็ดูแตกตื่นกันหมด พวกเขามองไม่ทันเลยว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?
จะมีก็แต่ซางกวน อาโอเชินที่หลบซ่อนอยู่ในฝั่งของผู้ชม เขาปิดปากตนเองไว้แน่นเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดรอดออกมา การโจมตีต่อเนื่องของเจียงเทียนเหล่านั้นไม่ถึงตัวเซียวเฟิงเลยแม้แต่ครั้งเดียว แถมตัวเจียงเทียนยังโดนหวดด้วยคทาจนกระเด็นไปเลยด้วย
การเคลื่อนไหวทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนสนามประลองนั้นอยู่ในสายตาของซีเหมินชุยเสวียทุกอย่าง เขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งนั้นเป็นแค่การหวดคทาทั่ว ๆ ไปเท่านั้น แต่เพราะความเร็วของเซียวเฟิงมันเร็วเสียยิ่งกว่าเจียงเทียน มันเลยทำให้ตัวเจียงเทียนเองไม่สามารถตั้งตัวได้ทัน เขาโดนการโจมตีของเซียวเฟิงที่แม้จะเริ่มทีหลังแต่ก็ถึงตัวก่อน แม้แต่ตัวเจียงเทียนก็ยังมองไม่ทัน แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น?
นอกจากนี้ซีเหมินชุยเสวียยังค่อนข้างมั่นใจอีกด้วยว่า พลังโจมตีของเซียวเฟิงนั้นไม่ธรรมดา และถ้าหากการโจมตีนั้นติดคริติคอลล่ะก็ ไม่มีผู้เล่นคนไหนสามารถรอดจากการโจมตีที่เข้าถึงตัวได้เลย
ยิ่งในครั้งนี้ถึงกับทำให้ซีเหมินต้องขมวดคิ้ว เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเผชิญหน้ากับเซียวเฟิงในอีเวนต์ล่าสมบัตินั้น ความรุนแรงของพลังโจมตีนี้ก็เคยทำให้เขาต้องหลบเลี่ยงไม่สู้ด้วยมาแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซีเหมินคิดว่าตัวเองจะสามารถไล่ตามเซียวเฟิงได้ทั้งเลเวลและอุปกรณ์เสียอีก กลับกลายเป็นว่า วันนี้พลังโจมตีของเซียวเฟิงก็ทิ้งห่างเขาไปอีกครั้ง คนคนนั้นมีความเร็วในการพัฒนาตนเองมากเกินไป จนแม้แต่ซีเหมินชุยเสวียยังไม่สามารถคิดว่าตนเองสู้ได้
“ไม่เอาน่า นี่ตายแล้วเหรอ? นายยังไม่ได้สอนฉันถึงเรื่องการประลองเลยนะ ฉันไม่เห็นได้เรียนรู้อะไรเลย”
เจียงเทียนกลับไปฟื้นคืนชีพใหม่ที่ข้างสนาม ซึ่งเซียวเฟิงที่ยังอยู่ในสนามก็ไม่รอช้าที่จะหันไปมองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงยียวน
ขณะที่พูดออกไปเช่นนั้น เซียวเฟิงก็ยกคทาแห่งปราชญ์มาลองขยับเล่น ๆ เพื่อลองวัดน้ำหนัก ไม่คาดคิดเลยว่าตอนใช้คทานี่หวดจะทำให้รู้สึกดีได้ขนาดนี้
“เจียงเทียน เกิดอะไรขึ้นกับนายน่ะ? ทำไมนายถึงโดนฆ่าในเสี้ยววินาทีแบบนี้? พวกฉันมองอะไรไม่ทันเลย”
กลุ่มนักดาบรีบเข้าไปห้อมล้อมเจียงเทียนเอาไว้ ขณะที่เหลือบมองเซียวเฟิงด้วยแววตาไม่สู้ดีไปด้วย
“ฉะ…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน… แต่อาวุธของเจ้านั่นระดับสูงมาก จนฉันไม่สามารถรับความเสียหายไว้ได้ อย่าโดนมันตีแม้แต่ครั้งเดียวเชียว” เจียงเทียนส่ายหน้าไปมาด้วยความงุนงงและตกใจ เขาพยายามอธิบายด้วยทุกสิ่งอย่างที่พอจะเข้าใจได้
“ฉันจะไปเอง! แค่ไม่โดนตีก็พอสินะ!”
ชายคนที่สองที่เดินออกมานั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจาก มู่หรงหยุน ที่เคยถูกเซียวเฟิงฆ่าไปเมื่อครั้งก่อน ในตอนนี้ความเกลียดชังมันได้ปะทุขึ้นมาแล้ว จากทั้งครั้งก่อนหน้าและเมื่อครู่นี้ เขากดเชิญเซียวเฟิงเข้าสนามประลองด้วยสายตาที่เยือกเย็น
“โอ้ ฉันเคยเจอนายมาก่อน เพราะงั้นนายจะต้องให้คำแนะนำฉันได้ดีมากเลยแน่ ๆ ฉันยังไม่เข้าใจกฏของการประลองสักเท่าไหร่”
เซียวเฟิงยิ้มและตอบรับคำเชิญนั้นเหมือนเดิม จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ถูกเทเลพอร์ตเข้าไปอยู่ในสนามประลองพร้อม ๆ กัน
“พวกนายทำอะไรกันอยู่น่ะ?”
ตอนนั้นเอง เสียงใสกังวานและขี้เล่นของหญิงสาวก็ดังขึ้นจากกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันสงสัย
“นายหญิงจาง!”
เจียงเทียนและคนอื่น ๆ รีบหันกลับไปมอง แล้วจึงพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือจางเสี่ยวหยู พวกเขาทั้งหมดรีบสลัดท่าทีเหยียดหยามก่อนหน้า และพูดกับเธอด้วยความสุภาพทันที
“ไม่ครับ พวกเรา…เอ้อ พวกเรากำลังสั่งสอนบทเรียนให้ชายคนนั้นครับ” เจียงเทียนพูดหลังจากหยุดคิดครู่หนึ่ง
“เอ๋ แต่นายดูเหมือนจะไม่ชนะนี่นา ใช่หรือเปล่า? คนคนนั้นเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญเหรอ? นายคิดว่าตัวนายเหมาะกับเขาหรือไง?” จางเสี่ยวหยูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงปัญหาเพียงแค่มอง แต่มันกลับกลายเป็นว่าปัญหานี้ทำให้เธออยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิมเสียอีก
“เขาก็ต้องไม่เหมาะกับผมอยู่แล้วล่ะครับ! หมอนั่นน่ะแค่มีอาวุธดีกว่าก็เท่านั้น! อาวุธที่ตีทีเดียวตาย ใครจะไปรับมือไหวล่ะครับ!” เจียงเทียนหน้าแดงขึ้นมาทันทีขณะที่พยายามพูดแก้เขิน
“น่าสนใจ แสดงว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ ด้วย” ดวงตาคู่สวยของเธอเปล่งประกายไปด้วยแสงระยิบระยับ แล้วร่วมดูการประลองด้วยอีกคน
ผัวะ!
-520! คริติคอล!
[การประลองจบลงแล้ว! ฝ่ายที่ชนะคือผู้เล่นแด๊ด!]
ทว่าเมื่อเธอหันไปมองการแข่งขันที่เพิ่งจะเริ่ม ผลลัพธ์มันก็แสดงออกมาทันที เช่นเดิม เพียงแค่การหวดคทาหยาบ ๆ บนหัวของมู่หรงหยุนก็ปรากฏค่าความเสียหายอันมหาศาลขึ้น ไม่ว่ามู่หรงหยุนจะใช้วิธีการหลบหลีกเร็วขนาดไหน แต่ความเร็วของเซียวเฟิงก็ยังคงมากกว่าที่มู่หรงหยุนจะสามารถโต้ตอบได้ทันเหมือนเจียงเทียน ดังนั้นเขาจึงถูกหวดด้วยคทาที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนค้อน และถูกฆ่าในวินาทีเดียวพร้อมกับร่างที่กระเด็นลอยไปไกลจนออกนอกสนามไป
“ฮะ!? มู่หรงก็แพ้เหรอ!”
ผู้คนที่อยู่ข้างสนามประลองสีหน้าเปลี่ยนกันหมด ครั้งนี้พวกเขาเห็นกันชัดเจนว่ามู่หรงหยุนพยายามป้องกันแล้ว ทว่าก็ยังไม่สามารถป้องกันการโจมตีของเซียวเฟิงได้อยู่ดี อันที่จริงการโจมตีของเซียวเฟิงไม่ได้ทะลายการป้องกันของมู่หรงหยุนแต่อย่างใด หากแต่เขาสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของมู่หรงหยุนออก มันจึงทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายจะใช้กระบวนท่าป้องกันตอนไหน ดังนั้นเซียวเฟิงจึงไม่โจมตีตอนที่มู่หรงหยุนใช้กระบวนท่าดังกล่าวและรอจังหวะให้กระบวนท่าจบไปจึงได้โจมตีปิดฉากในคราเดียว
“ซีเหมิน ดูเหมือนว่านายจะเป็นเพียงคนเดียวแล้วนะ อาวุธกับเลเวลของหมอนั่นน่ะระดับสูงมากเลย เหลือแค่นายแล้วจริง ๆ พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก”
แม้จะไม่อยากจะพูดนัก แต่เจียงเทียนก็ทำได้เพียงเท่านั้น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเซียวเฟิงมาจากอาวุธอยู่ดี
ซีเหมินชุยเสวียไม่ได้พูดอะไรขณะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในสนามประลองด้วยตนเอง ต่อให้ไม่มีใครบอกให้ทำ เขาก็ตั้งใจจะสู้กับเซียวเฟิงอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่เพื่อสานต่อการต่อสู้จากเมื่อครั้งอีเวนต์ล่าสมบัติ แต่เพื่อยืนยันถึงความต่างกันของทั้งสองคนเมื่อครู่ด้วย
“เยี่ยมเลย! ซีเหมินพร้อมต่อสู้แล้ว! ไอ้หมอนั่นไม่รอดแน่!”
“ฮึ่ม! คิดว่าอาวุธของตัวเองเจ๋งมากนัก เดี๋ยวจะได้รู้เลยว่าความห่างชั้นที่แท้จริงคืออะไร?!”
“ซีเหมินคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด ท่ามกลางพวกเรา ไม่ว่าจะด้วยเลเวลหรืออาวุธก็ตาม! เพราะงั้นเจ้านั่นน่ะทำอะไรไม่ได้แน่! ซีเหมิน จัดการมันเลย!”
กลุ่มของนักดาบที่เกรี้ยวกราดต่างอยากจะเห็นเซียวเฟิงกลายเป็นตัวตลกเต็มแก่แล้ว ตอนนี้มีเพียงจางเสี่ยวหยูผู้มาใหม่เท่านั้นที่ไม่ได้พูดอะไร เธอเอาแต่มองไปยังเซียวเฟิงตลอดพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วยราวกับคิดเรื่องอะไรอยู่…
“ผู้เล่นที่ชื่อ แด๊ด มาจากที่ไหนน่ะ?” ทันใดนั้นเอง จางเสี่ยวหยูก็เอ่ยถามขึ้นมา
“เขาเป็นผู้เล่นที่เป็นที่รู้จักกันในเขตฮัวเซียนี้น่ะครับ ปกติจะถูกเรียกว่า เจ้าแห่งฮีลเลอร์ แต่ต้นกำเนิดนั้นยังไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน” เจียงเทียนตอบอย่างสง่างาม
“แล้วจูเก้ออยู่ไหน? ฉันอยากจะถามข้อมูลของชายคนนี้” เธอถามขึ้นอีกครั้ง
“จูเก้อไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ แต่ถ้ายังไงท่านหญิงแอดเพื่อนเขาแล้วถามดูก็ได้ ชื่อตัวละครของจูเก้อคือเล่าสวีครับ” เจียงเทียนตอบ
“เข้าใจแล้ว”
จางเสี่ยวหยูพยักหน้า จากนั้นเธอก็ไม่รอช้า เปิดรายชื่อเพื่อมาเพื่อส่งคำขอเป็นเพื่อนกับเล่าสวีทันที
ขณะเดียวกันนั้นเอง บนสนามประลอง การต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของซีเหมินชุยเสวียนั้นคือของจริง เขาคือผู้ที่สมควรจะถูกเรียกว่าผู้เล่นระดับสูง เจ้าตัวไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าเทพเจ้าสายฟ้าคนนั้นเลย ถ้าหากเซียวเฟิงไม่ได้ความได้เปรียบมาจากอาวุธที่ใช้อยู่ ซีเหมินชุยเสวียจะต้องกลายเป็นศัตรูที่ตึงมือมากแน่ ๆ แต่เพราะความสามารถของชุดมังกรที่สวมอยู่นี้ ความแข็งแกร่งของซีเหมินชุยเสวียจึงยังไม่เพียงพอ
ถึงอย่างนั้น ก่อนหน้านี้เซียวเฟิงก็อยากจะประลองกับซีเหมินชุยเสวียอยู่แล้ว ผู้ที่เก่งกาจระดับปรมาจารย์ในเกมนี้นั้นมีไม่มากนัก ดังนั้นแล้ว นี่จึงเป็นโอกาสที่หาได้ยาก เซียวเฟิงจึงเตรียมตัวสำหรับการ ‘เล่น’ กับซีเหมินชุยเสวียให้นาน ๆ หน่อย
ทันทีที่การนับถอยหลังสิ้นสุดลง ร่างที่อยู่คนละฝั่งของสนามประลองที่ถือว่าเป็น ‘เจ้า’ ทั้งคู่ก็เริ่มต่อสู้กันโดยพลัน
ส่วนที่ด้านล่างข้างสนาม จางเสี่ยวหยู่ที่เพิ่มเล่าสวีเป็นเพื่อนเรียบร้อยแล้วก็รีบถามคำถามก่อนหน้าอีกครั้ง
“ว่าอะไรนะ? นายบอกว่าชื่อจริงของเขาคือเซียวเฟิงเหรอ? แน่ใจใช่ไหมว่าเขานามสกุล เซียว น่ะ?”
“อ่าฮะ มีรายละเอียดอื่นอะไรอีกไหม? บอกให้ฉันรู้หน่อย?”
“ไม่มีแล้วเหรอ? โอเค ไม่เป็นไร”
หลังจากที่คุยกันสั้น ๆ จางเสี่ยวหยูก็วางสายไป กระนั้นแล้วเธอกลับขมวดคิ้วแน่นขึ้นขณะจ้องมองเซียวเฟิงบนสนามประลองนั้น