บทที่ 332 : ความลับที่ยิ่งใหญ่!

หางที่สามของสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางได้งอกออกมาแล้ว พลังชีวิตในตัวของมันก็เพิ่มสูงขึ้นทันทีด้วย อีกทั้งยังเข้มข้นกว่าพลังชีวิตจากสมุนไพรที่นี่เสียอีก!

เจ้ามังกรน้อยที่กำลังเล่นน้ำพุอยู่อย่างสนุกสนาน จู่ๆก็เกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมา มันรีบเลื้อยไปหลบอยู่ด้านหลังกอหญ้าที่สูงใหญ่ และไม่กล้าปรากกฏตัวออกมาอีกเลย!

และนี่คือความแข็งแกร่งของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหลังจากหางที่สามได้งอกออกมาแล้ว! ในขณะที่มันยังมีเพียงแค่สองหางนั้น ก็ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเจ้ามังกรน้อยแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อหางที่สามของมันงอกออกมา เจ้าสีนิลมังกรน้อยก็ถึงกับหวาดกลัวจนต้องหนีไปซ่อนไม่ให้เห็นแม้แต่เงา!

หลิงหยุนรู้ดีว่าหางที่สามของเจ้าขาวปุยนั้นเพิ่งจะเริ่มงอกเท่านั้น และยังต้องอาศัยระยะเวลาอีกสักพักกว่าที่หางของมันจะเติบโตเต็มที่ จนพร้อมที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการกลายร่างเป็นมนุษย์ และต้องเผชิญกับด่านทดสอบที่เหี้ยมโหด ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีอะไรต้องกังวลนัก

หลังจากที่มันได้ติดตามหลิงหยุนลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์ในครั้งนี้ เจ้าขาวปุยเองก็ได้รับประโยชน์อย่างมากมายจนทำให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังน้อยกว่าตู้กู่โม่ที่ได้ประโยชน์มากกว่านัก ไม่เพียงแค่กำลังภายในของเขาก้าวหน้าขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไป แต่ยังได้รับพลังอมตะเข้าไปอีกครั้ง และยังมีโอกาสได้ฟังเสียงมรรคาแห่งเต๋าที่กังวาลใสอีกด้วย..

หากไม่ได้รับพลังชีวิตที่มากพอ เจ้าสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะเติบโตได้ช้ามาก และต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะโตเต็มที่ แต่ตอนนี้ไม่เพียงเจ้าขาวปุยจะได้รับพลังชีวิตเข้าไปอย่างมากมาย แต่มันยังได้รับพลังอมตะเข้าไปอีกด้วย!

ทันทีที่เจ้าขาวปุยรู้สึกตัว.. มันก็กระพริบตาถี่ และจิตใต้สำนึกของมันก็ต้องการมองหาหลิงหยุนก่อนสิ่งอื่น แต่เมื่อมันเห็นหลิงหยุนยืนอยู่ในสภาพเปลือยกายเช่นนั้น ใบหน้าที่มีเสน่ห์แสนหวานของมันก็ยิ้มออกมาอย่างอายๆ สุนัขจิ้งจอกที่กำลังเอียงอายคล้ายกับมนุษย์ หลิงหยุนเองก็เพิ่งเคยจะเห็นมาก่อน..

หากมันกลายร่างเป็นมนุษย์เมื่อไหร่แล้วล่ะก็ เจ้าขาวปุยจะต้องกลายเป็นหญิงสาวที่สวยงามจนไม่อาจหาคำพูดมาอธิบายได้อย่างแน่นอน

นี่น่ะเหรอสุนัขจิ้งจอก.. สุนัขจิ้งจอกเก้าหาง!

ดวงตาคู่สวยของเจ้าขาวปุยมองหลิงหยุนอย่างเอียงอาย แต่ก็ไม่กล้าที่จะมองเต็มตา จึงได้แต่จับจ้องที่ใบหน้าของหลิงหยุนแทน หลิงหยุนเองที่เห็นสายตาของมันยังรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเช่นกัน พร้อมกับแอบคิดในใจว่า

‘นี่นอกเหนือจากรูปร่างที่ใช่มนุษย์จริงๆ เจ้าขาวปุยก็รู้เรื่องทุกอย่างไม่ต่างจากหญิงสาวคนหนึ่ง ข้าคงไม่สามารถปฏิบัติกับมันราวกับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งได้อีกแล้วสินะ..”

ใบหน้าของหลิงหยุนเริ่มมีอาการอึดอัด และจู่ๆก็รีบเอามือปิดของสงวนของตัวเองไว้ แล้วก็รีบเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย

“ขาวปุย.. อย่าจ้องมองข้าแบบนั้น? รีบไปตามเจ้ามังกรน้อยกลับมาให้ข้า.. เร็วเข้า!”

หลิงหยุนรีบหางานให้กับเจ้าขาวปุยทำ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหาใบไม้เพื่อมาทำเป็นที่ปิดบังของสงวนของเขา..

ระหว่างที่มองหานั้น หลิงหยุนก็มองไปเห็นตู้กู่โม่ที่นอนสลบไสลอยู่บนพื้น พร้อมกับมองเสื้อคลุมที่มีคราบเลือดและคราบสกปรกที่เขาสวมอยู่

“เหตุใดเจ้ายังคงหลับอยู่อีก..” หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย และอดคิดไม่ได้ว่าตู้กู่โม่มีกำลังภายในอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 แต่เหตุใดจึงยังคงนอนหลับไหลไม่ได้สติจนถึงตอนนี้

หลิงหยุนรู้ว่าไม่ควรขยับตัวตู้กู่โม่อีก เพราะนี่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บแต่อย่างใด การสลบไสลของเขานั้นเป็นเพียงแค่อาการ และเป็นโอกาสที่จะสามารถบรรลุได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และความเข้าใจในธรรมชาติของตัวตู้กู่โม่เองด้วย

เวลานี้ ดวงดาวบนท้องฟ้าก็ได้สลายหายไป ท้องฟ้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาว และท้องฟ้าก็สว่างไสวยิ่งกว่าที่เคย

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจว่านี่มันกี่วันเข้าไปแล้วที่เขาลงมาที่นี่?

หากคำนวนจากเวลาของตู้กู่โม่ที่บอกว่าวันนั้นเป็นช่วงเย็นของวันที่ 10 เมษายน ตอนนี้ก็ผ่านมานานมากแล้ว อย่างน้อยวันนี้ก็น่าจะเป็นวันที่ 12 เมษายน?

“อะไรนะ?! วันนี้เป็นวันที่ 12 เมษายนงั้นรึ..? เป็นวันเกิดหนิงน้อยนี่นา! ข้าต้องไปงานวันเกิดของนาง ไม่เช่นนั้นยัยเด็กปีศาจนั่นต้องเอาข้าตายแน่?!”

หลิงหยุนลงมาที่ก้นหลุมยักษ์ในวันที่ 6 เมษายน แต่ออกจากหลุมยักษ์อีกทีในวันที่ 12 เมษายน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะใช้เวลาอยู่ที่ก้นหลุมนานถึงเพียงนี้!

เมื่อวันที่เสี่ยวเม่ยหนิงไปหาหลิงหยุนที่บ้านด้วยความขุ่นเคืองนั้น เธอก็ได้ย้ำกับหลิงหยุนหลายครั้งว่า เขาจะต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของเธอ และหลิงหยุนเองก็ได้รับปากเธอทุกครั้ง.. เขาจึงจำได้แม่นยำ!

 “ฟ้าดิน.. ขออย่าให้วันนี้เป็นเช้าวันที่สิบสามเลย..”

หลิงหยุนมองขึ้นไปบนยอดเขารอบๆหุบเขาใกล้ๆ เขารู้สึกว่าที่นั่นสูงกว่าที่นี่อย่างน้อยก็สองกิโลเมตร ส่วนลูกที่สูงที่สุดนั้นน่าจะสูงราวสามพันเมตร เขาได้แต่ใคร่ครวญระยะทางอยู่ในใจเงียบๆ พร้อมกับครุ่นคิดว่าที่นี่คือที่ใหน?

หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกลัวหรือกังวลว่าจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เพราะด้วยความสามารถของตู้กู่โม่ ต่อให้เป็นหน้าผาไป่จ้างที่ว่าสูงนักหนา ก็สามารถปีนได้อย่างง่ายดาย

“นี่..” ในที่สุดตู้กู่โม่ก็ตื่นขึ้นมา และทำเสียงอู้อี้พร้อมกับลืมตาขึ้น

“พวกเราอยู่ที่ใหน? แล้วสมุดจักรพรรดิล่ะ เจ้าเห็นมันหรือไม่?” ตู้กู่โม่ลืมตามาก็ตั้งคำถามมากมาย

“ยอดเขาแห่งนี้ช่างดูคุ้นเคยนัก.. นี่พ่อยอดคนแห่งสำนักหมอสวรรค์ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? กำลังเล่นเป็นชีเปลือยอยู่ในเขาลึกหรือยังไง?”

ดวงตาทั้งคู่ของตู้กู่โม่ที่จ้องมองส่วนล่างของหลิงหยุนนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับคิดในใจว่า

‘เจ้านั่นของเจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดจึงช่างใหญ่โตนัก? นั่นมันใหญ่โตเกินไปแล้ว?!’

หลิงหยุนถามขึ้นทันที “ตื่นได้แล้วเหรอ?” จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้ตู้กู่โม่แล้วพูดขึ้นว่า

“เล่นเป็นชีเปลือยบ้าอะไรกัน? นายนอนหลับอุตุเหมือนหมู แต่ฉันสิ.. ต้องยืนแก้ผ้าตากลมอยู่ที่นี่คนเดียวมานานกว่าชั่วโมงแล้ว!”

“รีบๆถอดเสื้อคลุมของนายมาให้ฉันเร็วเข้า!” หลิงหยุนเดินเข้าไปหาตู้กู่โม่เพื่อถอดเสื้อคลุมของเขาออก

“นี่.. เจ้าจะถอดเสื้อคลุมของข้าไปไม่ได้ มันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวข้า..” ตู้กู่โม่ดิ้นรนไม่ยอมให้หลิงหยุนถอดเสื้อคลุมของเขาออก

เสื้อคลุมตัวนี้ตู้กู่โม่สวมมันมานานกว่าสามปีแล้ว และตลอดสามปีนี้เขาก็ไม่เคยถอดไปซักเลยสักครั้ง เรียกได้ว่าถ้าถอดออกมาก็สามารถตั้งกับพื้นได้เลย เขามองว่าเสื้อคลุมนี่เป็นสัญลักษณ์ของยอดฝีมือที่ล้ำเลิศ

ทั้งคู่ทะเลาะกอดฟัดกันราวกับเด็ก แต่ตู้กู่โม่ก็สู้แรงของหลิงหยุนไม่ได้ ในที่สุดหลิงหยุนก็ถอดเสื้อคลุมของตู้กู่โม่ออกมาจนได้

แต่ก็ยังโชคดี.. เพราะถึงแม้ตู้กู่โม่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และดูตลกเมื่อไม่ได้สวมเสื้อคลุม แต่ก็ยังดีที่เขาไม่ต้องเปลือยร่างเป็นชีเปลือยเหมือนหลิงหยุน

หลิงหยุนไม่สนใจ และรีบสวมเสื้อคลุมของตู้กู่โม่อย่างถือวิสาสะ แต่ถึงแม้จะสวมเสื้อคลุมแล้ว เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นของร่างกายส่วนล่าง แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ได้ปิดบังของสงวนจากสายตาของเจ้าขาวปุย

“นี่พวกเราอยู่ที่ใหนกัน? ที่นี่มีสมุนไพรพลังชีวิตอยู่มากมาย ว่าแต่เจ้าพบสมุดจักรพรรดิบ้างไม๊?!”

หลิงหยุนพูดหน้าตาเศร้าสร้อย “สมุดจักรพรรดิบ้าบออะไรกัน? พวกเราดันไปเปิดค่ายกลจักรวาลเข้าน่ะสิ แล้วค่ายกลนั่นก็พาพวกเรามาที่นี่ นายไม่เห็นหรือไงว่าพวกเราทั้งหมดไม่ได้อยู่ในถ้ำแล้ว..”

หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางที่พวกเขาออกมา เรื่องอื่นๆตู้กู่โม่เองก็รู้เห็นเองกับตาแล้ว ส่วนเรื่องสมุดจักรพรรดิ และพู่กันจักรพรรดินั้น เขาไม่สามารถบอกตู้กู่โม่ได้จริงๆ

การฝึกพลังลับหยินหยาง การใช้พลังหยินหยางเปิดสัญลักษณ์ไท่จี๋ พู่กันจักรพรรดิที่พุ่งออกจากแหวนพื้นที่และพุ่งเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา สมุดจักรพรรดิที่พุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนของเขา อีกทั้งอักขระโบราณมากมายที่เปล่งประกายสีทองสดใส รวมถึงถนนดวงดาวที่พู่กันจักรพรรดิบรรจงร้อยขึ้น..

เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ และเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่และสำคัญสำหรับหลิงหยุนมาก!

ยิ่งไปกว่านั้น.. การที่สมุดจักรพรรดิพุ่งออกจากประตูศิลา และหายเข้าไปในจุดตันเถียนของเขานั้น เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนว่า หลิงหยุนคือเจ้าของของสิ่งของเหล่านี้ ต่อให้ผู้อื่นอยากจะแย่งชิงไป ก็คงไม่สามารถทำได้

และเหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งกระตุ้นให้หลิงหยุนต้องการฝึกฝนให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อที่เขาจะได้สามารถมีญาณเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับจุดตันเถียนของเขากันแน่

ตอนนี้เขารับรู้ได้เพียงว่ามันมีพลังชี่หมุนเวียนอยู่ภายใน แต่มันก็เป็นเพียงพลังหยินและพลังหยางเท่านั้น ส่วนพลังอมตะที่อยู่ในร่างกายของเขานั้น ก็ยังคงอยู่เหนือการควบคุมของเขาอยู่ดี

“ค่ายกลจักรวาล.. ค่ายกลนี้มีพลังอำนาจมากมายเหลือเกิน แสงที่ทอประกายสวยงามเหล่านั้นคือแสงอะไรกัน? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าตนเองได้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว?”

ตู้กู่โม่ประหลาดใจอย่างมาก เขาอธิบายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้เลย กำลังภายในของเขาก้าวกระโดดอย่างไร้ขอบเขตหลังจากที่ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไป เหตุการณ์หลังจากนั้นก็ดูวุ่นวายโกลาหล

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามตู้กู่โม่ว่า “นายได้ยินเสียงอะไรบ้างไม๊? ถ้าได้ยิน.. ได้ยินเสียงอะไรบ้าง แล้วจำอะไรได้บ้างไม๊?”

ตู้กู่โม่นึกใคร่ครวญ แล้วตอบอย่างไม่ลังเล “ดูเหมือนจะได้ยินเสียงหนึ่งก่อนที่ข้าจะเป็นลมสลบไป เสียงนั้นยังก้องอยู่ในใจของข้า แต่ข้ากลับไม่เข้าใจ ไม่รู้แม้แต่ว่ามันคือะไร..”

เสียงมรรคาแห่งเต๋านั้น กลับตราตรึงลงในจิตใจของหลิงหยุน เขายังไม่เข้าใจในตอนนี้ แต่รู้ว่าสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่

หลิงหยุนยิ้มให้กับตู้กู่โม่แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่มันน่าจะเป็นกฏสวรรค์! หรืออาจจะเป็นเนื้อหาในสมุดจักรพรรดิ มันน่าจะมีประโยชน์อย่างนายอย่างที่สุดสำหรับการฝึกฝนในวันข้างหน้า นายอย่าได้ลืมเด็ดขาดล่ะ!”

ตู้กู่โม่ทั้งตื่นเต้นและตกใจ “นั่นก็หมายความว่าเราได้สมุดจักรพรรดิแล้วสิ?!”

หลิงหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ก็เกือบจะใช่นะ..”

เจ้าขาวปุยไปตามจับเจ้าสีนิลมาจนได้ หลิงหยุนเห็นมันกำลังยืนอย่างภูมิใจอยู่บนหัวของเจ้าสีนิล ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของเจ้าสุนัขจิ้งจอกเต็มไปด้วยความร่าเริง และสายตาที่กระตือรือร้น

“จิ้งจอกตัวนี้ช่างสวยงามนัก แล้วก็ยังมีถึงสองหางอีก.. แล้วเหตุใดเจ้างูเหลือมตัวนี้ถึงได้มีเขาอยู่บนหัว?”

ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างไสว ตู้กู่โม่จึงมองเห็นเจ้าขาวปุยได้อย่างชัดเจน และอดที่จะชื่นชมไม่ได้ และสังเกตุเห็นเจ้าสีนิลมังกรน้อยด้วย

หลิงหยุนอธิบายให้ตู้กู่โม่ฟังว่าสีนิลไม่ใช่งูเหลือม แต่เป็นมังกรที่กำลังจะกลายร่าง และตอนนี้มันก็กลายร่างสำเร็จแล้ว และร่างกายก็เล็กลงเหลือเพียงแค่ห้าฟุต

“มิน่าเจ้าถึงได้ใช้เวลามากมายไปกับการพยายามรักษามัน ที่แท้มันก็เป็นมังกรนี่เอง..”

จู่ๆ ทั้งหลิงหยุน ตู้กู่โม่ เจ้าขาวปุย และเจ้าสีนิลต่างก็ได้ยินเสียงดังต่อเนื่องกันอยู่ทางหุบเขาด้านตะวันออก!

“แย่แล้ว..!! ข้าก็คิดอยู่ว่าที่นี่ช่างคุ้นตานัก ที่แท้ก็เป็นป่าดงดิบเสินหนงเจี๋ย!”

ตู้กู่โม่ร้องออกมา!