บทที่ 389

บทที่ 389

จ้านอู่ฉางพยักหน้าให้ “ข้าตัดสินใจแล้ว และนี่ก็เป็นการตัดสินใจจากองค์เหนือหัวของข้าด้วย”

หลังจากได้รับคำยืนยัน ซ่งเทียนก็ตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก เขาคืออ๋องแห่งแคว้นเปิง แล้วถ้าเขาไปที่แคว้นหนิง จะยังได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีหรือเปล่านะ ? ชายแก่ได้สติจึงได้รีบพูด “ไม่ ! ไม่มีทาง ถ้าพวกเจ้ากลับไปแล้วข้าล่ะ ?”

จ้านอู่ตี้ขมวดคิ้ว “ข้าก็บอกไปแล้วไง ท่านจะตามพวกเรากลับไปที่แคว้นหนิงก็ได้ แล้วก็ไปจัดตั้งแคว้นของท่านที่นั่นเอา”

พูดน่ะมันง่าย ซ่งเทียนเองก็รู้ดีว่าถ้าออกไปจากแคว้นเฟิงแล้วเขาจะไม่มีทางกลับเข้ามาได้อีก

เขาอยากจะพูดต่อ แต่จ้านอู่ตี้ก็พูดขัดคอขึ้นมาเสียก่อน “ไม่ต้องพูดมากแล้ว นี่เป็นบัญชาจากท่านอ๋องของข้า ถ้าท่านไม่ต้องการก็อยู่ที่นี่แล้วรอความตายเสีย”

ประโยคนี้ทำให้ใบหน้าของซ่งเทียนสั่นเทาด้วยความโกรธ พวกขุนนางเองก็เช่นเดียวกัน พวกเขากำหมัดกัดฟันด้วยความไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นขุนนางคนหนึ่งที่เข้ามากระซิบข้างหูซ่งเทียน “ฝ่าบาท สถานการณ์ตอนนี้อันตรายเกินไป ข้าแนะนำว่าเราควรจะล่าถอยไปยังแคว้นหนิงก่อนเพื่อเป็นการตั้งหลัก จากนั้นเราค่อยมาทวงแผ่นดินของเราคืน”

“สิ่งที่เขาพูดมามันก็มีเหตุผลที่สุดแล้ว ฝ่าบาทอย่าดื้อด้านมากจะได้ไหม !” จ้านอู่ตี้เหลืออดจนต้องตะคอกออกมา แม้จะเรียกว่าฝ่าบาทแต่ในใจเขาได้หามีความเคารพไม่

ซ่งเทียนไม่ใช่คนโง่ หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว ถ้าหากเขายังต่อต้านพวกเทียนหยวนต่อไป มันก็จะมีแต่ยิ่งทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไปอีก ทางที่ดีเขาควรจะหนีเข้าไปยังแคว้นหนิงก่อนแล้วจัดตั้งกองทัพของตัวเองขึ้นมาใหม่ จากนั้นจึงค่อยกลับมายึดแคว้นคืนทีหลังก็ยังไม่สาย “สวรรค์ทอดทิ้งข้าแล้ว !”

เพื่อรักษาชีวิตตนเอง ซ่งเทียนก็มีแต่ต้องยอมรับการตัดสินใจของจ้านอู่ฉางโดยเลือกที่จะติดตามพวกหนิงกลับไปยังแคว้นของพวกเขา

ทว่าการเดินทางก็ไม่ง่ายเลย เพราะระหว่างทางพวกเขาก็ได้พบกับกองทัพของจีหยิงที่รอคอยอยู่ก่อนแล้ว

ตอนนี้กองทัพของจีหยิงล้อมเมืองเอาไว้และยังไม่ได้ออกคำสั่งเข้าโจมตี ด้วยพวกเขากำลังทำการเจรจากับผู้ว่าเมืองเพื่อให้อีกฝ่ายยอมแพ้ ทว่าคนผู้นั้นก็ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แน่นอนว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้ก็เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น ด้วยคนผู้นี้ต้องการจะดูสถานการณ์เพื่อให้ได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดกลับมา

และก็เป็นในตอนนี้เอง ที่กองทัพหนิงและกองทัพเปิงมาถึง…

เมื่อเห็นว่าพวกศัตรูกำลังใกล้เข้ามา จีหยิงก็จึงออกคำสั่งให้พวกทหารตั้งขบวนรบในทันทีโดยไม่สนใจเรื่องเจรจาใดอีก

เมื่อพวกศัตรูมาถึง พวกเขาก็ได้เห็นเข้ากับทหารเฟิงจำนวนมากที่ตั้งขบวนทัพรออยู่เสียอย่างนั้น ทำให้พวกเขาคิดสงสัย ว่าหรือตอนนี้เมืองเฟ่ยจะเปลี่ยนฝั่งไปแล้วกันนะ ?

ซ่งเทียนรู้ดีว่าเมืองเฟ่ยไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของเขาโดยตรง และผู้ว่าเมืองเฟ่ยเองก็ไม่อยากจะตายไปกับซ่งเทียน ดังนั้นจึงได้ยอมรับการยอมแพ้นี้

และในเวลานี้ บริเวณหน้ากำแพงเมืองเฟ่ยก็เต็มไปด้วยทหารเฟิง ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างดี

กองทัพของจีหยิงขวางทางพวกเขาอยู่ ซ่งเทียนขี่ม้าออกไปด้วยความโมโห ก่อนที่จะถูกหยุดเอาไว้ด้วยกองทหารองครักษ์

เขามองจีหยิงที่เคยอยู่ใต้บัญชาของตนและฝืนยิ้มออกมา “ท่านมาทำอะไรที่นี่ ?”

จีหยิงเขินจนหน้าแดง ด้วยในใจก็ยังรู้สึกผิดที่ทรยศต่อซ่งเทียนอยู่ดี แต่เมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้ว ก็คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อีก…

เขาถอนหายใจแล้วควบม้าออกมาจากกองทัพ ก่อนจะประกบมือทักทาย “แม่ทัพจีหยิง ขอต้อนรับท่านซ่ง”

ที่เรียกไปแบบนั้นเพราะจีหยิงยังนับว่าซ่งเทียนคือท่านอ๋องของเขา

ซ่งเทียนขมวดคิ้วและไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา “ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาเป็นอย่างดี ทั้งยังมอบยศถาบรรดาศักดิ์ให้ตั้งมากมาย แต่นี่คือสิ่งที่เจ้ามอบให้กับข้าหรือ ? ทำไมเจ้าถึงได้ทำกับข้าเยี่ยงนี้กัน ?”

ถึงซ่งเทียนจะไม่เก่งกาจในการรบ แต่เขาก็มีฝีปากกล้าเอาเรื่อง ทำให้จีหยิงพูดไม่ออกในทันที

ซ่งเทียนถอนหายใจอีกครั้ง “แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องมีเหตุผลส่วนตัวที่ทำแบบนี้แน่ ๆ และข้าก็จะให้อภัย …หากเจ้ากลับตัวมาหาข้าอีกครั้งตั้งแต่ตอนนี้ ข้าสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งสำคัญกับเจ้า ! และนั่น มันก็รวมไปถึงอำนาจที่ข้ามีด้วย !”

คำพูดนี้มันเกินกว่าเหตุไปมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนอำนาจของกษัตริย์ก็ไม่เคยถูกแบ่งให้กับใครอื่นได้อย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว และการกระทำดังกล่าว มันก็ทำให้พวกทหารโดยรอบที่ได้ยินพากันตกตะลึง

จีหยิงที่หลงกลไปกับคำพูดนี้ดูจะเริ่มคล้อยตามเล็กน้อย แต่แล้วนายทหารคนหนึ่งก็พลันเข้ามาห้ามไว้ก่อน “ท่านแม่ทัพ อย่าไปฟังคำของเขาเลย ท่านต้องช่วยแคว้นด้วยการจัดการกบฏเหล่านี้ซะ !!”

จากนั้นจูนัวก็ตะโกนออกมา “ตาแก่ จะบอกอะไรให้นะ แม่ทัพจีหยิงน่ะเป็นคนที่จิตใจหนักแน่น เขาไม่คิดจะทรยศใครเพื่อไปอยู่กับคนที่กำลังจะตายอย่างเจ้าหรอก”

จริง ๆ แล้วที่เขาเลือกเข้ากับถังหยินไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวความตายหรอก แต่ที่เลือกก็เพราะต้องการทำเพื่อแคว้น เพื่อจัดการพวกกบฏ และทำให้แคว้นเฟิงกลับมาเป็นหนึ่งเดียวอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง !!

คิดถึงตรงนี้เขาก็พลันสูดหายใจเข้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองซ่งเทียน “ข้าเป็นคนเฟิง ข้าก็จะขอตายแบบชาวเฟิง ! ฟังข้าเถอะท่านซ่ง ถ้าท่านยอมแพ้ท่านจะปลอดภัย ข้าจะขอร้องให้เขาไว้ชีวิตท่าน แต่ถ้าท่านไม่ยินยอมล่ะก็ ข้าจะขอติดตามท่านไปยังปรโลกเอง !!”

ดวงตาของซ่งเทียนลุกเป็นไฟ เขาตะโกนลั่น “ไร้สาระ ! ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ข้าบั่นหัวเจ้าไปนานแล้ว ! มีใครอยากจะไปตัดหัวเจ้านี่ไหม ?!”

“ข้าเอง” แม่ทัพเปิงนายหนึ่งขี่ม้าวิ่งออกมา

แม่ทัพเปิงทุกคนอยากจะลองฝีมือของตัวเอง ทว่าเขาคนนี้เสนอตัวเร็วที่สุด

จูนัวโบกมือเตือนจีหยิง “ท่านแม่ทัพถอยไปก่อน ข้าจะไปรับมือเขาเอง”

เมื่อเห็นว่าจีหยิงไม่ยอมเข้าต่อสู้ด้วย แม่ทัพเปิงก็ใจสั่นด้วยความหวาดหวั่น

ทว่าจูนัวไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแทงหอกเข้าใส่ศัตรูในทันทีด้วยหวังใช้จังหวะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว !!!

แม่ทัพเปิงตะลึงแล้วรีบหลบไปด้านข้าง

เคร้ง !

หอกของจูนัวพุ่งเฉียดอกของแม่ทัพเปิงไปนิดเดียวเท่านั้น เขาเหงื่อออกอย่างตื่นตระหนก

“เจ้าพลาดไปหน่อยนะ !” แม่ทัพเปิงสบถแล้วฟันดาบใส่จูนัว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยกหอกขึ้นมาป้องกันเอาไว้

อาวุธทั้งสองเข้าปะทะกันจนเกิดประกายไฟออกมา จากนั้นจูนัวจึงใช้หอกของเขาแทงเข้าใส่ด้านหลังของศัตรู

แม่ทัพเปิงเองก็ใช้ดาบป้องกันเอาไว้ ทว่าจูนัวก็ใช้จังหวะนี้ชักดาบของเขาออกมาฟันเข้าใส่สีข้างของอีกฝ่าย !!!