บทที่ 1264 – ติ๊เฉิน

 

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยยังพักอยู่เมืองจักรพรรดิอีกสองสามวัน ในช่วงนั้นเขาได้ทำการกินยาทิพย์สรรพรสที่มีความสามารถเพิ่มความเร็วให้ผู้กิน 50 ส่วน

 

ด้วยผลในตอนนี้ความเร็วของชิงสุ่ยเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้มันส่งผลโดยตรงในการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้เขานั้นสามารถประยุกต์ มันเขากับทักษะและการโจมตีต่างๆของเขาได้ เช่นหากเขาใช้มันกับหุบเขาเก้าเทวา มันจะทำให้หุบเขาก้าวเทวาของเขาทวีความรุนแรงขึ้นเป็นสองเท่า ในตอนนี้มันการเป็นอาวุธที่ร้ายกาจยิ่งขึ้นไปกว่าเก่า ชิงสุ่ยรู้สึกขอบคุณ ฟู่ร่งอย่างบอกไม่ถูกที่ได้มอบโอกาสเช่นนี้ให้กับเขา

 

โดยทั้งหมดทั้งมวลนี่ชิงสุ่ยนั้นแทบไม่ได้ใช้วัตถุดิบอะไรของเขาเลย ทั้งหมดเป็นของฟู่ร่งทั้งหมด

 

ในตอนนี้ ปีใหม่กำลังใกล้เข้ามา ชิงสุ่ยได้ออกเดินทางด้วยย่างก้าวเก้าเทวาตรงไปที่ตระกูลฮู เพื่อหวังว่าจะได้เจอกับติ๊เฉิน ในตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวลอย่างมาก

 

นี่เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่เขามายังทวีปอูเซียตะวันตก เขานั้นค่อนข้างพอใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขาอย่างมากในหนึ่งปีที่ผ่านมา  อาจกล่าวได้ว่าการเติบโตของเขานั้นอยู่ในระดับที่สูงอย่างมาก แทบไม่มีใครเทียบได้

 

 

ในไม่ช้าเขาก็มาถึงตระกูลฮู  เมื่อมาถึงเขานั้นได้รับการตอนรับอย่างดี ในตอนนี้ชิงสุ่ยมองไปรอบๆและพบการหญิงงามคนหนึ่ง เธอนั้นดูคล้ายกับฮูยี่หย่าอย่างมาก แต่เธอนั้นมีดวงตาที่โตกล่าว และมีสีปากที่สดใสอย่างมาก ถึงอย่างไรก็ตามร่างกายของเธอนั้นก็ทรงเสน่ห์ไม่น้อยกว่าสาวงามคนใดเลย ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเธอนั้นเป็นหญิงสาวที่ควรค่าในการทะนุถนอมอย่างมาก

 

ฮู อวี้เซียน!

 

 

ชิงสุ่ยคาดเดาได้ว่าเธอนั้นเป็นหญิงสาวที่มาจากนิกายบงกชเทวะอย่างแน่นอน  ตอนนี้ชิงสุ่ยสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากร่างกายของเธอ

 

 

“ชิงสุ่ยนี้พี่สาวของข้า นางชื่อว่าอวี้เซียน นางพึ่งกลับมาจากการไปฝึกฝนในเมื่อไม่เร็วมานี้”ฮู ยี่หย่ากล่าวอย่างมีความสุข

 

“ดีใจที่ ข้าได้มีวาสนาได้พบกับท่าน!”

 

“เช่นเดียวกัน”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา

 

“”ข้าได้ยินเรื่องของคุณชายชิงสุ่ยมานานแล้ว ข้าต้องขอบคุณท่านอย่างมากในสิ่งที่ผ่านมา”ฮู อวี้เซียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

 

“เกรงใจไปแล้ว ข้าสิควรต้องขอบคุณพวกท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวเหมิน ข้าคงจะไม่ได้พบกับท่านหญิงติ๊หวู่”ชิงสุ่ยกล่าวขอบคุณ

 

“ด้วยความยินดี  จริงสิด้วยความแข็งแกร่งของท่านในตอนนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะมีใครรับมือท่านได้อีกแล้ว แม้แต่ตระกูลของข้าหรือท่านหญิงติ๊หวู่ ก็คงยากรับมือกับท่าน ”เธอกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ

 

“ฮ่าๆ ไม่จริงเลย จริงสิแล้วท่านหญิงติ๊หวู่ยังไม่กลับมารึ?”อันที่จริงนี่เป็นคำถามที่เขาต้องการถามมาโดยตลอด

 

“ท่านหญิงจะกลับมาในเร็วๆนี้  อาจจะอีกสองสามวัน”เธอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ชิงสุ่ยรู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะเขาไม่รู้ว่าติ๊เฉินนั้นจะกลับมาหรือไม่ตั้งแต่เธอจากเขาไปนี่ก็เป็นเวลาเกือบแปดปีแล้วที่เขาไม่ได้พบเจอกับเธอเลย

 

ในตอนนี้จิตใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความอ้างว้าง แม้แปดปีจะไม่ถือว่าช้ามากนัก แต่ในใจของชิงสุ่ยกับรู้สึกว่ามันยาวนาน การพลัดพรากจากคนรักเป็นเวลาแปดปีนั้นถือได้ว่ามันไม่ต่างอะไรกับนรกดีๆสำหรับเขา

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้หยุดลงและไม่ได้ถามอะไรอีกต่อไป นั้นเพราะนิกายของเธอนั้น ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องราวสู่โลกภายนอกเท่าไร แม่แต่ท่านหญิงติ๊หวู่ก็ยังไม่เคยบอกเรื่องราวกับเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นต้องการที่ออกเดินทางไปต้อนรับเธอด้วยตัวเอง แต่น่าเสียที่เขานั้นไม่รู้ว่าเธอนั้นอยู่ที่ไหน มันทำให้เขาจำใจที่ต้องรอต่อไปอีกสามวัน นอกไปจากนี้ดูเหมือนพวกเธอจะใช้เส้นทางพิเศษในการเดินทางอีกด้วย มันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะไปดักรอพวกเธอ

 

 

ชิงสุ่ยได้แต่รอให้เวลาสามวันผ่านไปอย่างทุกทรมาน ในเช้าวันที่สามชิงสุ่ยออกมาข้างนอกและเฝ้ามองไปที่ขอบฟ้าไกลๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยร้อนใจอย่างมาก  สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเลย แม้ในขณะต่อสู้เป็นตาย ในวันนี้หากติ๊เฉินไม่ปรากฏตัวขึ้น เขาไม่รู้ว่าเขาจะสามารถควบคุมอารมณ์ในตอนนี้ได้หรือไม่  หากเธอไม่ยอมออกมา เขาจำเป็นต้องใช้กำลังบีบบังคับฮู อวี้เซียนและติ๊หวู่ สือฉาหรือไม่?

 

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและเฝ้ารอการมาถึงของพวกเขาในตอนนี้  เขาทำเช่นนั้นตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งกระทั้งเที่ยงวัน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลบไปที่ไหน

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความร้อนใจอย่างมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าความอดทนของเขาจะมีน้อยขนาดนี้  ในตอนนี้ราวกับโลกกำลังจะแตกออกในใจของเขา

 

ในขณะนั้นเองชิงสุ่ยได้มองไปที่ทางทิศใต้ มีจุดสีดำที่กำลังใกล้เข้ามาทางเขาอย่างรวดเร็ว

 

 

ในขณะนั้นเลือดในร่างกายของเขาได้สูบฉีดขึ้นมา ย่างก้าวเก้าเทวาถูกเปิดใช้โดยไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาตรงไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว

 

ในตอนนั้นเองชิงสุ่ยได้พบกับวิหคเพลิงนภาขนาดใหญ่ แม้ว่าจะเป็นเวลานานมามากแล้วแต่เขาสามารถจดจำมันได้อย่างดี มันคือวิหคเพลิงนภาของติ๊เฉินนั้นเอง

 

หาเทียบกับก่อนหน้าตอนนี้มันนั้นเติบโตขึ้นอย่างมากมาย กลิ่นอาบของมันเต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง มันนั้นเป็นสัตว์อสูรที่สืบสายเลือดชนิดเดียวกับวิหคเพลิงของเขามา ดังนั้นมันจึงเต็มไปด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่ง ในตอนนี้วิหคเพลิงของชิงสุ่ยได้บินเข้าไปใกล้ๆมันอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าวิหคเพลิงนภาในตอนนี้จะมีขนาดเท่ากับกับวิหคเพลิงของเขา แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังอ่อนแอกว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำของเขาอยู่ดี แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า มันนั้นมีความสามารถในการเติบโตที่ไม่ต่างกับวิหคเพลิงของเขาเลย

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยมองไปที่กลุ่มคนที่อยู่บนวิหคเพลิงนภา หนึ่งในนั้นคือติ๊หวู่ สือฉา แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเธอมากนัก ในขณะที่เขากำลังส่องสายตาไปที่คนอื่นๆโดยรอบ

 

 

ในขณะนั้นเองภาพและความรู้สึกคุ้นเคยโผล่ขึ้นมาในหัวใจของเขา ความกดดัน อึดอัดในใจของเขาได้จางหายไปจนหมด ราวกับคนที่กระหายน้ำได้ดื่มกินน้ำก็มิปาน

 

ภาพของผู้หญิงที่เขาเฝ้าตามหา และคิดถึงตลอดมา ได้ปรากฏข้าหน้าของเขาแล้ว

 

ติ๊ เฉิน!

 

เหมือนดังอดีต เธอนั้นยังคงสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวที่บริสุทธิ์ ผมสีดำเข้มของเธอได้ถูกรวบเอาไว้ ใบหน้าของเธอยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันเต็มไปด้วยความงดงามและอ่อนเยาว์

 

ในตอนนี้ถึงแม้เธอจะใส่ผ้าปิดหน้าอยู่แต่ชิงสุ่ยก็สามารถจดจำเธอได้ ดวงตาที่งดงามของเธอนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะลืมไปจากหัวใจของเขา

 

เช่นเดียวกันในตอนนี้เธอก็รู้สึกว่าชิงสุ่ยนั้นยังคงเหมือนเดิม ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยก็ตาม

 

“ขอบคุณท่านหญิงติ๊หวู่ ที่ช่วยเฉินเอ๋อเอาไว้ หากมีโอกาส ข้าจะแวะไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ แน่นอนบุญคุณในครั้งนี้ข้างจะไม่ลืมเด็ดขาดและจะตอบแทนท่านด้วยทุกๆอย่างที่ข้ามี”ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่ยิ้มอออกมา

 

“ไม่เป็นอะไร ตอนนี้นางก็หายดีแล้ว ไม่ต้องตอบแทนอะไรข้าหรอก หากแต่เจ้ามีปัญหาใดก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ประตูบ้านของข้านั้นยินดีตอนรับพวกเจ้าเสมอ แล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้านั้นขอตัวก่อน”ติ๊หวู่ สือฉากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเธอก็หันไปพยักหน้ากับติ๊เฉิน ก่อนที่จะจากไป

 

 

ชิงสุ่ยมองไปที่ติ๊เฉินก่อนที่จะค่อยๆเข้าไปหาเธอ ในตอนนี้ไม่มีคำพูดใดระหว่างทั้งสอง  มีแต่ความคิดถึงโหยหาและห่วงใยในสายตาของทั้งคู่

 

 

“ตอนที่เจ้าจากไป เจ้าได้ทิ้งไว้แค่จดหมายฉบับเดียวเท่านั้น มันทำให้ข้าทรมานอย่างมาก และกลัวว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกในชีวิตของข้า มันเป็นอะไรที่ข้ากลัวอย่างมาก”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยร้อยยิ้มจาง และเดินเข้าไปหาเธอ

 

“ชิงสุ่ย!”

 

ในตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงของเธอ เสียงของเธอนั้นยังไพเราะและอ่อนโยนเหมือนดังเก่า  แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรตอนนี้เขากลับรู้สึกอึดอัดเมื่อได้ยินมัน

 

“ข้ากลัวอย่างมากว่าเจ้าจะลืมข้าไปแล้ว เมื่อข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ข้าจึงรีบหาเจ้า แต่ด้วยความอ่อนแอของข้ามันทำให้ข้าต้องใช้เวลานานมากที่จะตามหาเจ้าให้เจอ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอีกมากมายในตระกูลชิง ที่ข้าไม่อาจทิ้งไปได้ ดังนั้นข้าจึงรีบจัดการปัญหาทั้งหมดลง เพื่อที่จะได้มาหาเจ้าในตอนนี้…”

 

ในขณะนี้ติ๊เฉินนั้นรู้ดี ชิงสุ่ยนั้นเป็นคนของห้าทวีปดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะอ่อนแออย่างมาก หากเทียบกับ4ทวีปในตอนนี้ มันจึงทำให้เขาต้องใช้เวลาสักพักในการเตรียมที่จะเดินทางมาที่ 4ทวีปแห่งนี้  แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เขานั้นก็ได้ปรากฏอยู่ข้างหน้าของเธอแล้ว

 

 

“ข้านั้นต้องอดทน ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง และใช้ความพยายามอย่างมากในการตามหาข่าวของเจ้าในก่อนหน้านี้ข้ายังอ่อนแออย่างมากจึงไม่สามารถมาหาเจ้าได้ ข้าต้องขอโทษเจ้าจริงๆ และข้ารู้ดีว่าถึงแม้ขาจะฝืนมาหาเจ้า ก็เพียงแต่จะเป็นภาระให้เจ้าเท่านั้น ดีไม่ดีข้าอาจไม่สามารถมีชีวิตมาเจอเจ้าได้ด้วยซ้ำ ข้าขอโทษจริงๆที่มาหาเจ้าช้าไป แต่ถึงอย่างไรข้าไม่เคยยอมแพ้เรื่องของเจ้า มันจึงทำให้ข้านั้นพยายามอย่างหนักและแล้วข้าก็ได้มาเจอเจ้าในวันนี้!”

 

“ข้าไม่เคยโทษเจ้า พอเถอะหยุดขอโทษได้แล้ว!”ติ๊เฉินกล่าวเบาๆขณะที่น้ำตาได้ไหลรินออกมา ถึงอย่างไรในตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นก็เต็มไปด้วยความสุขและความเศร้าเสียใจอย่างบอกไม่ถูก

 

ชิงสุ่ยรวบรวมความกล้าและเดินมาที่ข้าหน้าของเธอ เขาจับลงไปที่มือทั้งสองข้างของเธออย่างอ่อนโยน ในขณะที่มองเข้าไปในดวงตาของเธอ ในช่วงเวลานี้ราวกับโลกทั้งใบได้หยุดหมุนลง

 

 

ติ๊เฉินปล่อยให้ชิงสุ่ยจับมือของเธอ ขณะที่เธอร้องไห้ออกมา

 

 

“ชิงสุ่ย นิกายนิกายบงกชเทวะ ไม่ยอมให้สาวกของพวกเขา นั้นแต่งงาน!”

 

“ข้ารู้ดี ข้าเคยได้ยินมา”ชิงสุ่ยกล่าวโดยไม่สนใจ

 

“สำหรับใครที่อยากจะแต่งงานต้องออกจานิกายบงกชเทวะเสียก่อน” ติ๊เฉินกล่าวออกมา

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว แล้วทำไมรึ เจ้าไม่ต้องออกจากนิกายบงกชเทวะอย่างนั้นรึ? การออกเดินทางร่วมกับข้ามันจะดีกว่าเจ้านั้นจะคงอยู่ที่นิกายบงกชเทวะเสียอีก”ชิงสุ่ยกล่าวออกมา ในขณะที่รู้สึกไม่พอใจเท่าไร