ตอนที่ 604

Elixir Supplier

604 อะนอเร็กเซีย

 

เขาดื่มชาในถ้วยจนหมด กลิ่นชายังคงติดอยู่ภายในปากและฟันของเขา

 

“ชาดี!” เขาถอนหายใจ

 

ทั้งสองเดินออกมาจากคลินิกและเดินขึ้นไปบนเนินเขาซีชาน

 

“เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคราวก่อน ชาวบ้านคงจะกังวลกันมากเลยสินะ” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“ครับ มีหลายคนที่อยากจะย้ายออกไปจากที่นี่” หวังเย้าพูด

 

“หมู่บ้านกลางเขาออกจะดีมากแท้ๆ” ศาสตราจารย์หวูพูด “มันเงียบสงบมาก ตั้งแต่ที่ฉันมาถึงที่นี่ และอยู่ที่นี่ได้สักพัก หัวใจของฉันก็รู้สึกสงบ แล้วเธอล่ะ?”

 

“ผมจะอยู่ที่นี่ต่อไปครับ” หวังเย้าพูด

 

ทั้งสองเดินไปถึงหลุมแรก ที่พวกเขาเคยมาครั้งก่อน ด้านในมีหลุมอยู่มากมาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของหวังเย้า “ลงไปดูข้างล่างกันเถอะครับ”

 

พวกเขาลงไปที่ก้นหลุม ด้านใน พวกเขาเห็นรูหนูและหนูตายอยู่ภายใน

 

“นี่มันอะไรน่ะ?” ศาสตราจารย์หวูถาม

 

“ผมวางยาหนูเอาไว้ครับ ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลดีซะด้วย” หวังเย้าพูด

 

ศาสตราจารย์หวูรู้ว่า หนุสามรถก่อปัญหาได้มากมายแค่ไหน พวกมันมีความสามารถในการผลิตลูกหลายในปริมาณมากและความสามารถเอาชีวิตรอดสูง รวมถึง การเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมด้วย พวกมันสามารถไปได้ทั่วเนินเขา ถ้าหากหนูเหล่านี้นำพาเชื้อร้ายไปด้วยทุกที มันก็คงจะกลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมาก

 

ทั้งสองเดินไปที่หลุมอื่น และสุดท้ายก็มาจบที่หลุมที่มีก้อนหินที่ถูกทำลายอยู่

 

“ฉันเข้าใจเรื่องจุลชีววิทยา แต่ฉันไม่รู้เรื่องแมลงเลย!” ศาสตราจารย์หวูคุกเข่าลงและมองดูหินอย่างละเอียด เขาถ่ายรูปไปหลายรูป “เขาน่าจะสนใจเรื่องนี้”

พวกเขาเดินไปรอบๆอย่างระมัดระวัง หลังจากถ่ายรูปได้พอสมควรแล้ว พวกเขาก็ลงไปจากเขา

 

“ศาสตราจารย์หวูครับ งานของคุณยุ่งมากเลยเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ช่วงนี้ ฉันงานยุ่งมากจริงๆ” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“อยู่กินข้าวกลางวันด้วยกันก่อนดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เอาสิ” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

พวกเขาพากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารไม่ไกลจากหมู่บ้าน แต่ก่อน มักจะมีลูกค้าอยู่กันเต็มร้าน ทำให้แทบจะไม่เหลือที่ให้นั่ง แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่า

 

“อ้าว หมอหวัง เชิญๆ เข้ามานั่งข้างในเลยครับ!” เมื่อเห็นว่ามีลูกค้ามา เจ้าของร้านก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับในทันที

 

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม “วันหยุดก็น่าจะมีคนเยอะๆสิ”

 

“เฮ้อ ก็เพราะโรคระบาดนั่นแหละครับ” เจ้าของร้ายพูด “เขาพูดกันว่า โรคระบาดเกิดขึ้นในหมู่บ้านของหมอ แล้วก็มีคนตายไปเป็นสิบ ร้านของผมก็ดันอยู่มาใกล้กับหมู่บ้านพอดี แล้วใครมันจะกล้ามากินที่นี่กันล่ะครับ? สี่วันมานี้ มีลูกค้ามาแค่สองกลุ่มเท่านั้นเอง”

 

หวังเย้ารู้สึกแย่แทนเจ้าของร้าน ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ร้านอาหารก็อาจจะต้องปิดตัวลง

 

“เราขออาหารสักสองสามจาน กับไวน์ขวดหนึ่งได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ได้สิครับ รอสักครู่” เจ้าของร้านพูด

 

ในเมื่อพวกเขาเป็นแขกเพียงกลุ่มเดียวในร้าน อาหารจึงถูกนำออกมาเสริฟอย่างรวดเร็ว อาหารทุกจานล้วนเต็มไปด้วยความงดงามจากผืนดินและลำธาร

 

“ศาสตราจารย์หวู ถึงร้านนี้จะเล็ก แต่อาหารรสชาติใช้ได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

เดิมที หวังเย้าอยากจะเชิญคนขับรถแลผู้ช่วยของศาสตราจารย์มากินด้วยกัน แต่ผู้ช่วยก็ได้ปฏิเสธคำชวนของเขา เพราะคิดว่า ศาสตราจารย์น่าจะมีเรื่องที่ต้องการคุยกับชายหนุ่มเพียงลำพัง

 

“อืม ใช้ได้เลย” ศาสตราจารย์หวูใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมาชิม “ไม่เลว”

 

“อยากจะดื่มสักหน่อยไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เอาสิ”

 

ทั้งสอง กิน ดื่ม และพูดคุยกันอย่างมีความสุข

 

“เธอเคยคิดที่จะย้ายไปอยู่ที่อื่นบ้างรึเปล่า?” หลังจากที่ดื่มไปแล้วสามแก้ว ศาสตราจารย์ก็ถามขึ้นมา พวกเขาทานอาหารกันเกือบจะเสร็จแล้ว

 

“ผมชอบชีวิตแบบนี้ครับ สถานที่แบบปักกิ่งไม่เหมาะสำหรับคนอย่างผมหรอก” หวังเย้ายิ้ม

 

ถึงมันจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง แต่มันก็ซับซ้อนเกินไป แล้วอากาศก็ไม่ดีด้วย ผู้คนที่ทำงานและอาศัยอยู่ในปักกิ่ง มักจะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มันไม่ใช่แค่เพราะอากาศที่เป็นพิษเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงความกดดันต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องค่าที่อยู่อาศัยราคาหลายล้านหยวน การอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อย่าง ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, และกวางโจว ได้สร้างความกดดันให้กับคนชนชั้นกรรมมาชีพอย่างมาก

 

“ด้วยความรู้ที่เธอมี, จากการคาดการณ์ของคนรุ่นหลังอย่างฉัน, เธอสามารถเทียบชั้นได้กับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้ง่ายๆเลยนะ” ศาสตราจารย์หวูพูด “ฉัน…ช่างมันดีกว่า” เขายิ้มและโบกมือ

 

ถ้าหวังเย้าต้องการจะสอนหนังสือจริงๆ ก็คงจะมีคนจากมหาวิทยาลัยออกตัวเชิญเขาไปนานแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องไกลตัว เพราะหลายๆคนที่ได้มีโอกาสพบกับเขา ต่างก็ต้องการเรียนการแพทย์และกังฟูจากเขากันทั้งนั้น

 

หลังจากดื่มไวน์เข้าไปแล้ว ใบหน้าของศาสตราจารย์หวูก็แดงเล็กน้อย ในวันธรรมดา เขาแทบจะไม่ดื่มเลย เมื่อจบมื้ออาหาร เขาก็หอบกล่องปิดผนึกที่หวังเย้ามอบให้กับเขากลับไปด้วยความระมัดระวัง

 

“เดินทางปลอดภัยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ขอบคุณมาก ถ้าไปปักกิ่ง ก็อย่าลืมบอกฉันด้วยล่ะ” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

หวังเย้าไม่ลืมบอกกับผู้ช่วยของศาสตราจารย์หวู “ถ้าศาสตราจารย์รู้สึกไม่สบาย ช่วยบอกผมด้วยนะครับ”

 

การเดินขึ้นไปบนเนินเขาซีชานในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้สวมชุดป้องกันเลย ในสภาพการเดินทางแบบนี้ ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย แต่ไม่ใช่กับศาสตราจารย์หวู และเขาก็อาจจะติดเชื้อได้

 

“ได้ครับ” ผู้ช่วยพูด

 

เขาติดตามศาสตราจารย์หวูมานานพอสมควร และพอจะรู้นิสัยของเขาอยู่บ้าง เขาแทบจะไม่ดื่มเลย ถ้าหากต้องดื่ม เขาก็จะไม่ดื่มเยอะจนเกินพอดี แต่ตอนนี้ เขากลับมีสภาพเมาเล็กน้อย ทั้งที่โดยปกติ เขาจะดื่มแบบนี้กับคนที่เขาคุ้นเคยด้วยเท่านั้น

 

หลังจากที่ส่งพวกเขาแล้ว หวังเย้าก็กลับไปที่คลินิก ในตอนบ่าย มีชายวัย 40 เข้ามาที่คลินิก เขาดูผอม ใบหน้าของเขาซีดเซียวและพูดอย่างอ่อนแรง

 

“สวัสดีครับ หมอหวัง การกักตัวของที่นี่ถูกยกเลิกซักทีนะครับ” เขาพูด เขาเคยมาที่นี่แล้วสองครั้ง ทุกครั้งที่เขามา เขาก็ต้องเจอกับเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าหมู่บ้านเพื่อไม่ให้คนนอกเข้าไปด้านใน

 

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ แล้วคุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ผมไม่อยากกินข้าว พอกินไปได้นิดหน่อย ผมก็จะรู้สึกไม่สบายขึ้นมาทันทีเลย” ชายคนนั้นพูด

 

“มันเป็นเพราะคุณไม่อยากจะกินอะไรเลย หรือคุณแค่ไม่อยากกินอาหารบางอย่างเข้าไปหรือครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ผมไม่อยากจะกินอะไรเลยครับ” เขาพูด

 

“มาครับ ผมขอตรวจดูหน่อย” หวังเย้าพูด

 

เมื่อดูจากสีหน้าของเขาแล้ว หวังเย้าก็สามารถบอกได้ว่า การไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีไม่เพียงพอ ร่างกายของเขาขาดพลัง ร่างกายของเขาไม่ได้มีกลิ่นแปลกปลอม มีเพียงลมหายใจที่ร้อนกว่าปกติเท่านั้น

 

หลังจากจับดูชีพจรของเขาแล้ว หวังเย้าก็รู้สึกแปลกใจ “ร่างกายของคุณยังค่อนข้างแข็งแรงดีอยู่นะครับ”

 

ส่วนการเต้นของชีพจรนั้น มันไม่มีปัญหาใหญ่อะไร นอกจากร่างกายที่อ่อนแรงและโลหิตกับพลังฉีไม่เพียงพอ

 

“จริงเหรอ? แล้วทำไมผมถึงไม่อยากอาหารเลยล่ะ?” เขาถาม

 

“นั้นเป็นอาการของโรคอะนอเร็กเซียครับ” หวังเย้าพูด “คุณเริ่มมีอาการแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

 

“ก็ประมาณเดือนหนึ่งได้” เขาพูด

 

“มีเรื่องอะไรที่อาจจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดอาการนี้บ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“โอ้ มีสิ มันเป็นเรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว” เขาพูด “ภรรยาของผมนึ่งซาลาเปาเอาไว้ ตอนที่ผมกินมันเข้าไป ผมก็เจอเส้นผมอยู่ในซาลาเปาด้วย ตอนนี้ ผมรู้สึกขยะแขยงมาก จนแทบจะอ้วกออกมาเลยล่ะ”

 

“หลังจากนั้นอีกสองสามวัน ภรรยาของผมก็ทำลูกชิ้นเนื้อ ตอนที่กินเข้าไป ผมก็เจอเส้นผมอีก แล้วก็อ้วกออกมา จากนั้น ผมก็ไม่กินอะไรไปสามวัน เพราะพอกินเข้าไปทีไร ผมก็รู้สึกอยากจะอ้วกขึ้นมาทุกที พอผ่านไปได้สักสองสามวัน อาการก็เหมือนจะดีขึ้นมาหน่อย ผมเลยออกไปดื่มข้างนอก ผมสั่งไส้ใหญ่หมูมากิน มันรู้สึกเหมือนกับกำลังกินขี้หมูเข้าไป แล้วผมก็เลยอ้วกออกมา”

 

อยู่ๆสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป คล้ายกับว่า เขากำลังจะอาเจียนออกมา

 

นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเย้าเจอกับอาการป่วยแบบนี้ ซึ่งเป็นอาการป่วยทางด้านจิตใจ “แล้วเวลาหิว คุณทำยังไงเหรอครับ?”

 

“ถึงผมจะรู้สึกหิว แต่ผมก็ไม่อยากกินอะไรอยู่ดี ทุกๆวัน ผมต้องบังคับให้ตัวเองกินอยู่ตลอดเวลา” เขาพูด “แต่มันก็ต้องเป็นของกินที่ผมชอบกินเป็นประจำด้วย”

 

“ดูเหมือนจะมีปัญหาซะแล้ว” หวังเย้าพูดกับตัวเอง

 

สำหรับในเวลานี้ เขาไม่สามารถหาทางออกที่เหมาะสมได้

 

“เอาเบอร์ติดต่อของคุณให้ผมไว้ก่อนนะครับ ถ้าผมคิดหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้แล้ว ผมจะโทรหา แต่ผมแนะนำให้ลองไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ๆดูนะครับ บางที พวกเขาอาจจะมีทางรักษาได้” หวังเย้าพูด

 

“อ้อ ได้ๆ” ชายคนนั้นทิ้งเบอร์ติดต่อเอาไว้ ก่อนที่เขาจะจากไป

 

อะนอเร็กเซีย?

 

โรคนี้มักจะมีให้เห็นในภาพยนตร์, รายการโทรทัศน์, หรือไม่ก็ในนิยาย มันสามารถหาดูได้จากในข่าวเช่นกัน คนไข้มีอาการป่วยแลไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ดังนั้น ร่างกายจึงผอมบางมากๆ ในเคสพิเศษ พวกเขาถึงขนาดต้องฉีดยาเพื่อให้การทำงานภายในร่างกายเป็นปกติ